ศึกยุทธ์ใต้ขุนเขาเงาจันทรา - บทที่ 149 สักกี่คนจะเข้าใจเรื่องรักๆ ใคร่ๆ-2
บทที่ 149 สักกี่คนจะเข้าใจเรื่องรักๆ ใคร่ๆ-2
หลิวรุ่ยอิ่งเองก็รู้สึกว่าค่อนข้างเกินกำลัง แต่เขาคิดว่าแม้ตนจะทำไม่เป็น ทว่าหอทรงปัญญาใหญ่โตปานนี้ คงไม่ใช่ว่าจะหาคนทำเป็นสักคนไม่ได้หรอกกระมัง
คิดมากไปรังแต่จะเพิ่มภาระให้ตน ไม่สู้ไปลงมือทำเสียเลย รถถึงหน้าภูผาต้องมีหนทาง เรือมาถึงหัวสะพานย่อมมีทางตรงไป
ซึ่งประเด็นนี้หลิวรุ่ยอิ่งกลับต่างจากทังจงซงยิ่ง
ทังจงซงทำการใดต้องวางแผนให้แน่ชัดก่อนค่อยทำ
เรื่องเรื่องหนึ่งต้องมั่นใจเต็มสิบจึงจะลงมือ
ฉะนั้น เนิ่นนานเขาก็ยังไม่ทำสักเรื่อง และทำให้เขามีภาพลักษณ์ของลูกผู้ดีตีนแดงอยู่ในใจของทุกคน
แต่หลิวรุ่ยอิ่งกลับไม่เหมือนกัน พอคิดได้เขาก็จะทำทันที
จะทำสำเร็จหรือไม่ล้วนเป็นเรื่องในภายหลัง
แต่หากไม่ทำ เรื่องนี้จะไม่มีทางสำเร็จ
ทำแล้ว แม้จะทำผิด แต่อย่างน้อยยังอาจมีโอกาสอยู่บ้าง
ทว่า เรื่องที่ทังจงซงคิดและทำทั้งหมด ย่อมไม่อาจยกมาเทียบกับเรื่องการใส่กรอบบทกวียาวในเวลานี้
แต่ไม่ว่าเรื่องจะเล็กหรือไม่ ต้องพิจารณาเพียงด่วนหรือไม่
คนทั่วไปถ่ายหนักถ่ายเบาหาใช่เรื่องใหญ่โต แล้วเรื่องเล็กน้อยของพวกเราในเวลานี้ ผู้ใดจะกล้ายื้อเวลาให้เนิ่นนาน
หลิวรุ่ยอิ่งไม่คุ้นเคยกับหอทรงปัญญา จึงยังคงมุ่งหน้าไปยังถนนสายยาวที่เขาเคยไปก่อนนี้
เขารู้สึกว่าถนนสายยาวที่เจริญเช่นนี้ ต้องหาร้านใส่กรอบภาพได้สักแห่งแน่ หรือต่อให้หาไม่ได้ก็ต้องหาคนที่รู้มาลองสอบถามดู
เพิ่งก้าวเท้าแรกเข้ามาในถนนสายนี้ หลิวรุ่ยอิ่งก็เห็นแผ่นหลังหนึ่งที่ทั้งคุ้นเคยและไม่คุ้ยเคย
ที่คุ้นเคยเพราะเสื้อผ้าบนตัวเขาและอากัปกิริยาต่างๆ
ที่ไม่คุ้นเคยเพราะเดิมทีข้างกายเขาต้องมีของหนึ่งอย่างอยู่ด้วย แต่ยามนี้กลับไม่เห็นแม้เงา
“ฉางไต้ซือ?”
หลิวรุ่ยอิ่งเรียกลองเชิงคราวหนึ่ง
คนข้างหน้าได้ยินและหันหน้ามา
“นายกองหลิว ได้พบกันอีกแล้ว!”
ฉางอี้ซานเอ่ยเป็นทีสอบถาม
“ท่านนี้คือฉางไต้ซือ จันทราโปร่งเหลืองขั้นเจ็ด หนึ่งในเจ็ดหัตถ์เทวะ ข้าบังเอิญได้พบปะกับท่านฉางไต้ซือเป็นระยะเวลาสั้นๆ ระหว่างทางไปหอทรงปัญญา”
หลิวรุ่ยอิ่งแนะนำกับทังจงซง
จิ่วซานปั้นกลับรู้จักคุ้นเคยกับฉางอี้ซานมานานแล้ว
“เลื่อมใสมานานๆ!”
ทังจงซงประสานมือคำนับอย่างสุภาพ จิ่วซานปั้นที่อยู่ข้างๆ เห็นสิ่งใดก็เลียนแบบเช่นนั้น
หลิวรุ่ยอิ่งพบว่ายามจิ่วซานปั้นพบเจอกับโอกาสทำนองนี้ นับวันเขาก็รู้ว่าต้องทำสิ่งใดมากขึ้นแล้ว
ทว่าในความดีใจกลับมีความกังวลอยู่รางๆ…
แม้ความสัมพันธ์ระหว่างคนในโลกหล้าจะเป็นสัจธรรมที่ไม่อาจหักล้างได้ แต่หากต้องสูญเสียความเป็นตัวตนไปด้วยเหตุนี้ก็กลับไม่คุ้มกัน
“ไม่กล้าๆ ท่านทั้งสองล้วนเป็นผู้ล้ำเลิศ ข้าได้ยินชื่อเสียงมานาน ท่านหนึ่งคือ ศิษย์เอกแห่งฮั่ววั่ง ติ้งซีอ๋อง อีกท่านสามารถประมือกับเหลี่ยงเฟินได้โดยไม่ตกเป็นรองแต่อย่างใด ได้ยินว่าท่านยังเก่งกาจในการเขียนบทกวีอีกด้วย”
ฉางอี้ซานถาม
“ถูกต้อง! บทกวีที่ข้าเขียนนั้นดียิ่งนัก”
จิ่วซานปั้นกล่าว
เมื่อได้ยินเช่นนี้หลิวรุ่ยอิ่งกลับไม่กังวลอีก
จิ่วซานปั้นก็ยังคงเป็นจิ่วซานปั้นอยู่
ยังคงไม่รู้ว่าควรถ่อมตนเช่นไร
ในโลกของเขายังคงมีเพียงสีขาวและดำ ไม่มีสีเทาสักหยิบมือเจือปนอยู่
“หากมีเวลาข้าจะต้องขอคำชี้แนะสักคราว!”
ฉางอี้ซานกล่าวอย่างสุภาพ
“ตกลง ไม่มีปัญหา!”
หลิวรุ่ยอิ่งและทังจงซงกลับหัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออก…
คนเขาเป็นถึงบัณฑิตจันทราโปร่งเหลืองขั้นเจ็ด ในด้านบุ๋นนั้นเรียกได้ว่าเป็นรองเพียงสองท่าน แต่อยู่เหนือคนนับร้อยล้าน เป็นที่นับถือเลื่อมใสจากบัณฑิตทั่วหล้า
จิ่วซานปั้นตัวเจ้าก็เพียงพวกเสื้อขาวผ้าหยาบ เขาสนทนากับเจ้าอย่างมีมีมารยาทก็นับว่าให้ความสนิทสนมนักแล้ว
ขอคำชี้แนะประโยคนี้เป็นเพียงคำกล่าวตามพิธี นึกว่าจะมาร่ำเรียนการประพันธ์กับตัวเจ้าจิ่วซานปั้นจริงๆ เช่นนั้นหรือ
แต่จิ่วซานปั้นหาฟังเสียงนอกสายพิณออกไม่
หนำซ้ำแต่ไรมาเขาก็ทึกทักเอาว่าบทกวีที่ตนเขียนนั้นดีงามยิ่ง หาได้เห็นท่านแห่งหอทรงปัญญาเหล่านั้นอยู่ในสายตา
เสื้อขาวผ้าหยาบแล้วอย่างไร
ก็เพียงชื่อเสียงจอมปลอม ยังไม่สู้ตนขับขานลำเนาบางเบา ร่วมยอดสหายสักเพลง
แม้ว่าที่สุดแล้วจะไม่ได้รับการยอมรับจากทางการตราตั้งอะไรนั่น แต่ความสามารถเป็นของตนเอง ผู้ใดก็ชิงไปไม่ได้ อยู่อย่างองอาจทระนง ก็ย่อมเป็นขุนนางใหญ่เรืองอำนาจในชุดขาวนั่นเอง!
“ฉางไต้ซือสนใจจะไปวันนี้เลยหรือ!”
หลิวรุ่ยอิ่งกล่าว
ที่จริงเขาเจตนาจะเปลี่ยนเรื่องสนทนา ไม่คิดว่าจิ่วซานปั้นยังคงพูดต่อ
นั่นเพราะฉางอี้ซานผู้นี้มองคล้ายอ่อนโยนและให้ความชิดเชื้อ แต่อย่างไรก็เคยสมาคมด้วยน้อยนัก จึงไม่รู้ว่าอุปนิสัยที่แท้จริงของคนผู้นี้เป็นอย่างไร
หากเป็นพวกพยัคฆ์หน้ายิ้ม เกรงว่าวันหน้าจะต้องได้สวมรองเท้าเล็ก ไม่น้อยเลยทีเดียว
แต่หลิวรุ่ยอิ่งไม่กลัว เขาคลุกคลีอยู่ในกรมสอบสวนกลาง การมาที่นี่เดิมทีก็เป็นการมาทำงานอยู่แล้ว
ทังจงซงยิ่งไม่ได้ยี่หระ เพราะชื่อเสียงยศศักดิ์บนหัวเขาในยามนี้ยิ่งใหญ่จนผู้คนต้องตื่นตกใจ
เรื่องที่กังวลเพียงเรื่องเดียวก็คือจิ่วซานปั้น นั่นเพราะเขายังอยากทดสอบขั้นสายบุ๋นในหอทรงปัญญาอยู่
ด้วยระดับผู้ฝึกตนสายบุ๋นของฉางอี้ซาน ไม่แน่ว่าเขาอาจเป็นถึงกรรมการหลัก ฉะนั้นจึงล่วงเกินไม่ได้เป็นอันขาด
“ยามใดข้าก็สนใจยิ่งทั้งสิ้น”
ฉางอี้ซาน เอ่ยทั้งรอยยิ้ม
“แล้วอาหวงเล่า”
หลิวรุ่ยอิ่งไถ่ถาม
สิ่งที่เขารู้สึกประหลาดใจเมื่อครู่นี้ก็คือสุนัขที่ชอบกินแตงกวาดองและกลอกตามองบนของฉางอี้ซานตัวนั้นกลับไม่ได้อยู่ที่นี่
หากว่าอยู่ เขาก็อยากเห็นท่าทีที่อาหวงตัวนี้มีต่อทังจงซงจริงๆ
ดูว่ามันจะกลอกตามองบนใส่หรือจะหรี่ตาใส่เขากันแน่
“หมิงหมิงยืมอาหวงไปแล้ว”
ฉางอี้ซานกล่าว
“เขายืมอาหวงไปทำสิ่งใดหรือ”
หลิวรุ่ยอิ่งไม่เข้าใจ
“เคยได้ยินที่ว่าหากผ่านประตูที่ปิดไว้จะปล่อยสุนัขหรือไม่“
ฉางอี้ซานกล่าวทั้งรอยยิ้ม
หลิวรุ่ยอิ่งพลันรู้สึกขึ้นมาว่าฉางอี้ซานผู้นี้เหมือนจะไม่ใช่คนที่สมาคมด้วยยาก
อย่างน้อยที่ได้พบกันสามครั้ง เขาก็ไม่ได้วางท่าอะไร
ในสองครั้งหลังนี้หากบอกว่าเนื่องด้วยเขารู้ฐานะของพวกตนแล้วจึงได้มีท่าทีมีมารยาท แต่ครั้งแรกที่พบกันนั้นล้วนเป็นความบังเอิญ แม้แต่ชื่อเต็มของเขาตนก็ยังไม่รู้ เพียงจับพลัดจับผลูพบกับคนที่มาเชื้อเชิญโดยบังเอิญ ได้รู้ว่าเขามีนามว่าฉางไต้ซือก็เท่านั้น
“ประตูปิดปล่อยสุนัขไม่ใช่ว่าให้ไปกัดคนหรอกหรือ ท่านอาจารย์ของข้าต้องการให้กัดผู้ใดกัน”
หลิวรุ่ยอิ่งถาม
“เรื่องนั้นก็ไม่อาจรู้ หมิงหมิงเป็นคนประหลาดนัก…ไม่แน่ว่าอาจให้กัดตนเองก็เป็นได้ ทว่าเรื่องนี้ล้วนไม่เกี่ยวกับข้า ขอเพียงนำอาหวงมาคืนข้าโดยครบสมบูรณ์ก็พอแล้ว”
ฉางอี้ซานกล่างพลางยักไหล่
“พวกเจ้าทุกคนกลับน่าสนใจกว่า เหตุใดจึงมาเดินซื้อของแต่เช้าเพียงนี้ เพราะตกเย็นที่แห่งนี้ถึงจะเป็นเวลาของคนหนุ่มสาว!”
ฉางอี้ซานกล่าวทั้งยักคิ้วหลิ่วตา
หลิวรุ่ยอิ่งและจิ่วซานปั้นยังคิดตามไม่ทัน ทังจงซงกลับฟังเข้าใจแจ่มแจ้ง จึงเอ่ยยิ้มๆ กับฉางอี้ซานว่า
“หรือว่าฉางไต้ซือก็เป็นคนในสายนี้เช่นกัน”
“ไม่ได้ๆ ยามนี้ข้าเพียงอยากไปดูให้ทั่ว แม้ไร้หลักแหล่งพำนัก แต่จะไม่สนใจเรื่องประโลมโลกอีก”
ฉางอี้ซานกล่าวพลางโบกมือไหวๆ
“ไม่สนใจเรื่องประโลมโลก หาใช่ต้องผลักไส้ไว้นอกประตูนี่ขอรับ คนกลุ่มนี้ล้วนเป็นคนนอกวงการ ข้ามองปราดเดียวก็มองออกเจ็ดแปดส่วนแล้ว”
ทังจงซงกล่าว
“ฮ่าๆ คุณชายทังไม่ใช่ธรรมดาจริงๆ ด้วยดวงตาที่มองคนออกคู่นี้ วันหน้าต้องสยายปีกบินสูงได้เป็นแน่”
ฉางอี้ซานกล่าวด้วยรอยยิ้ม
“จะบินสูงหรือบินต่ำนั่นหาเป็นสิ่งใด หากลมเร่งร้อนเกินไป เดือนสูงเกินไป ข้าก็จะบินให้เร็ว บินให้สูง หากลมโชยเฉื่อย เดือนคล้อยต่ำ เช่นนั้นข้าก็จะบินให้ช้า บินให้ต่ำ”
ทังจงซงเอ่ย
ฉางอี้ซานได้ยินคำนี้ สีหน้ากลับแข็งนิ่ง
เขาเงยหน้าจับจ้องภูผาไกล รู้สึกว่าวสันตฤดูปีนี้คล้ายไม่งดงามดังวันก่อน
ทว่าไม่ว่าจะอยู่ที่ใด วสันตฤดูที่มีเพียงปีละหนนี้ล้วนไม่เคยเหมือนกัน
ต้นและดอกที่ผลิยอดอ่อนเร็วที่สุดเมื่อปีกลาย บางคราปีนี้กลับร่วงโรยเสียแล้ว
แม้วสันตฤดูจะทำให้สรรพสิ่งมีชีวิตชีวา แต่ในเวลาเดียวกันก็มักทำให้คนบางคน ของบางสิ่งสูญหายไปโดยไร้สาเหตุ
อย่างน้อย วสันตฤดูปีนี้ หลิวรุ่ยอิ่งก็สังหารคนไปไม่น้อย
ฟังเสียงจ้อกแจ้กคึกคักข้างหู ฉางอี้ซานกลับทอดทั้งหูและสายตาออกไปไกลกว่านั้น
ที่นั้นมีแมลงร่ำวิหคร้องที่เพิ่งเกิดขึ้นใหม่ และยังมีผักป่าตำราปกิณกะที่ผู้คนยังไม่รู้จักมักคุ้น
หิมะทับถมในเหมันตฤดูซุกซ่อนความลับมากมายในช่วงฤดูหนาวเอาไว้ในที่ที่ลึกที่สุดในฤดูกาลนี้ แต่เมื่อถึงยามที่ความเขียวขจีเข้าปกคลุมผืนดิน กลับทำให้สัมผัสถึงความเป็นจริงได้ยากยิ่งกว่าผืนดินรกร้างที่มีแต่เดิมเสียอีก
หิมะยามเหมันต์คือความนิ่ง ส่วนหญ้ายามวสันต์คือความกระตือรือร้น
เป็นเฉกเช่นคน ขอเพียงยังคงหายใจได้ ล้วนมักไล่ตามความมุ่งหวัง
เมื่อเทียบกันแล้ว ฉางอี้ซานควรเห็นสิ่งเหล่านี้เป็นเรื่องปกติวิสัยได้นานแล้วจึงจะถูก
เพิ่งผ่านวสันตฤดูของปีนี้ไปเท่านั้น เขากลับรู้สึกว่าภัยแฝงเร้นบางประการคล้ายกำลังสอดส่องดูอยู่
ทว่าถ้อยคำทั้งมวลของทังจงซงกลับทำให้เขาเกิดความกระจ่างขึ้นมาบ้าง
ความสูงต่ำในโลกหล้าเดิมทีก็หาใช่สิ่งที่กำลังของมนุษย์จะกำหนดได้ เพียงควบคุมปีกให้ล่องไปตามกระแสเป็นพอแล้ว
“เช่นนั้น ฤกษ์ดีไม่สู้วันนี้ คืนนี้ข้าจองโต๊ะที่หอจันทร์กระจ่างไว้โต๊ะหนึ่ง เดิมทีมีเพียงข้าผู้เดียว ไม่สู้พวกเราทั้งสี่ไปด้วยกันเสียเลย”
คล้ายว่าหาทางออกให้บางปัญหาได้แล้ว ฉางอี้ซานจึงกล่าวยิ้มๆ
“ตกลง!”
ทังจงซงและจิ่วซานปั้นตอบเป็นเสียงเดียว
พอจิ่วซานปั้นคิดว่ามีสุราให้ดื่มก็ย่อมไม่พลาดเด็ดขาด
ฝ่ายทังจงซงนั้นแปดส่วนเป็นเพราะระยะนี้อุดอู้อยู่นาน กำลังคิดหาโอกาสผ่อนคลายอยู่ทีเดียว
ลำพังฟังชื่อหอจันทร์กระจ่าง ก็สง่างามยิ่ง
ทว่าที่แห่งนี้กลับคือสถานเริงรมย์ของผู้ครองเก้าอี้ชั้นสูงแห่งหอทรงปัญญา
ครั้งเหล่าบัณฑิตยังไม่มีชื่อเสียงนั้น สองหูไม่รับฟังเรื่องนอกหน้าต่าง จิตใจสงบทั้งอยู่ในหลักการ
ทว่าเมื่อใดที่ได้สวมอาภรณ์บุ๋นนั้นแล้ว ไม่ว่าเขาจะอยู่ระดับใดล้วนต้องแบ่งครึ่งหนึ่งให้สุราและนารี
แม้ว่าดูไปแล้วสองสิ่งนี้จะทำให้คนเสื่อมถอยและตกต่ำ แต่ก็กลับเป็นต้นกำเนิดแห่งแรงบันดาลใจที่ไม่รู้จบสิ้นของเหล่าบัณฑิตเช่นกัน
สิ่งที่ทั้งสามไม่รู้ก็คือ หอจันทร์กระจ่างแห่งนี้เป็นที่พำนักของฉางอี้ซานในหอทรงปัญญา
แต่หลิวรุ่ยอิ่งกลับยังคงพะวงว่าบทกวียาวของตี๋เหว่ยไท่ในมือตนนั้นจะเอาใส่กรอบแขวนเช่นใด
ทว่าท่านที่อยู่ตรงหน้านี้ก็มิใช่ผู้เชี่ยวชาญที่ดีที่สุดหรอกหรือ
“ขอถามฉางไต้ซือทราบหรือไม่ว่าในหอทรงปัญญาแห่งนี้มีที่ใดที่ใส่กรอบภาพได้บ้าง”
หลิวรุ่ยอิ่งถาม
“เจ้าจะใส่กรอบหรือ”
ฉางอี้ซานค่อนข้างประหลาดใจ
เพราะการที่หลิวรุ่ยอิ่งมีของที่ต้องใส่กรอบกลับเป็นเรื่องประหลาดโดยแท้
“ข้ามีบทกวียาวไว้อาลัยที่ท่านประมุขหอตี๋เขียนให้เหลี่ยงเฟินอยู่แผ่นหนึ่ง ไม่รู้เหตุใดกลับถูกข้าบังเอิญนำกลับมาด้วย ข้าอยากจะใส่กรอบให้เรียบร้อยและส่งคืนแก่พี่น้องเบญจลักขีทั้งสี่”
หลิวรุ่ยอิ่งเอ่ยพลางหยิบบทกวียาวนั้นออกมา
ฉางอี้ซานรับมาด้วยสองมืออย่างระมัดระวัง
นี่เป็นบทกวีไว้อาลัยบทหนึ่ง บรรจุดวงวิญญาณผู้กล้าที่เสียชีวิตไปและความคำนึงถึงของผู้ที่ยังมีชีวิตอยู่ จึงไม่อาจปฏิบัติเช่นผลงานทั่วไปได้
“เจ้าคิดจะใส่กรอบอย่างไร”
ฉางอี้ซานดูแล้วเอ่ยปาก
“…ข้าน้อยด้อยความสามารถขาดความรู้ ไม่รู้เรื่องการใส่กรอบภาพนี้เลยแม้แต่น้อย ต้องขอคำชี้แนะจากฉางไต้ซือแล้ว”
หลิวรุ่ยอิ่งกล่าวด้วยท่าทีเกรงใจ
“ไม่ต้องเกรงใจเพียงนั้น ลู่หมิงหมิงเป็นอาจารย์ของเจ้า ข้ากับเขาศักดิ์เสมอกันทั้งยังสนิทเป็นที่สุด เช่นนั้นเจ้าก็เรียกข้าว่าอาจารย์อาเถอะ!”
ฉางอี้ซานโบกมือพลางว่า
พอคำเรียกขานเปลี่ยนไปก็กลับกระชับความสัมพันธ์ของคนทั้งสองเข้ามาอีกไม่น้อย
การเรียกขานว่าไต้ซือก่อนหน้านี้แม้จะสุภาพและให้ความนับถือ แต่ก็อดทำให้ดูห่างเหินไม่ได้ มายามนี้กลายเป็นอาจารย์อาก็ทำให้ความตึงเครียดที่หลิวรุ่ยอิ่งแบกอยู่ก่อนหน้านี้ผ่อนคลายลงไม่น้อยเลย
นึกไม่ถึงว่าการมาหอทรงปัญญาครั้งนี้ แม้จะมีเรื่องอกสั่นขวัญผวาอยู่ไม่น้อย แต่เมื่อนึกย้อนกลับเรื่องดีงามที่เก็บเกี่ยวได้กลับมีมากกว่าเสียอีก
สองในเจ็ดหัตถ์เทวะ สองบัณฑิตจันทราโปร่งเหลืองขั้นเจ็ด ผู้หนึ่งกลายเป็นอาจารย์ของเขา ผู้หนึ่งกลายเป็นอาจารย์อาของเขา
ต่อให้วันหน้าเมื่อกลับไปยังกรมสอบสวนกลาง ยามบอกเล่าเรื่องนี้ออกไปต้องทำให้ทุกคนตื่นตกใจและอิจฉาเป็นแน่
ทว่าในใจของหลิวรุ่ยอิ่งนั้นมีไม้บรรทัดอยู่อันหนึ่ง
แม้จะเรียกขานว่าอาจารย์และอาจารย์อาอย่างใกล้ชิดสนิทสนม แต่จะอย่างไรเขาก็ยังเป็นนายกองแห่งกรมสอบสวนกลาง
เมื่อต้นสังกัดต่างกัน แม้จะคุ้นเคยในฐานะศิษย์อาจารย์ แต่ก็เกรงว่ายากจะเปิดใจต่อกันได้โดยง่าย
………………………………………