ศึกยุทธ์ใต้ขุนเขาเงาจันทรา - บทที่ 134 ไต่เต้าและพังทลาย-7
บทที่ 134 ไต่เต้าและพังทลาย-7
“เหตุใดฟ้าใกล้จะมืดค่ำอีกแล้ว…วันนี้ยังไม่ได้ทำสิ่งใดเลย!”
ยามนี้ทังจงซงและบัณฑิตจางเพิ่งมาถึงถนนสายยาวสายนี้
ทังจงซงกล่าวขณะมองดูเมฆบนขอบฟ้าค่อยๆ แปรเปลี่ยนเป็นสีแดง
“เจ้าตื่นสายเกินไป วันเวลาย่อมสั้นลง”
บัณฑิตจางกล่าว
“ในหนึ่งวันทุกคนล้วนมีสิบสองชั่วยาม ท่านตื่นเช้าแล้วหนึ่งวันนี้จะยาวนานขึ้นหรืออย่างไร”
ทังจงซงแย้งกลับ
“ยิ่งตื่นเช้าเท่าใดก็ยิ่งทำสิ่งต่างๆ ได้มากเท่านั้น ย่อมรู้สึกยาวนานขึ้นเป็นธรรมดา”
บัณฑิตจางกล่าว
“ข้าก็ไม่เห็นท่านจะทำสิ่งใด…และหากจะกล่าวเช่นนี้ ข้านอนเกียจคร้านไม่ลุกจากเตียงก็เป็นเรื่องสำคัญอย่างยิ่งเช่นเดียวกันไม่ใช่หรือ”
ทังจงซงกล่าว
“เป็นครั้งแรกที่ข้าได้ยินคนกล่าวถึงความเกียจคร้านอย่างสง่าผ่าเผยเช่นนี้ หากเป็นคนอื่นข้าคงเมินไปแล้ว”
บัณฑิตจางกล่าว
“แต่ท่านก็สนใจข้านี่”
ทังจงซงกล่าว
“ข้าเปล่า ไม่รู้จะสนใจอย่างไร ไร้หนทางจัดการด้วย”
บัณฑิตจางกล่าวพร้อมกับเร่งฝีเท้า
“บอกข้าว่าท่านไม่สนใจข้า ก็เป็นการสนใจประเภทหนึ่ง!”
ทังจงซงวางมือหลังท้ายทอย กล่าวพลางก้าวฝีเท้าไม่เร่งรีบและไม่ช้าไป
“แต่ว่า ข้าได้ยินมาว่าคนอายุมากขึ้นยิ่งตื่นเช้าได้ง่าย”
ทังจงซงกล่าวต่อ
“เพราะเหตุใด”
บัณฑิตจางหันหน้ากลับมาเล็กน้อยพลางกล่าวถาม
“เพราะมนุษย์แก่ตัวลงก็อยากมีเวลาทำสิ่งต่างๆ มากขึ้นอย่างไรเล่า”
ทังจงซงกล่าวด้วยรอยยิ้มขบขัน
บัณฑิตจางว่าตนตกหลุมพลางเรื่องไร้สาระของเจ้าเด็กนี่เข้าอีกครั้งจนได้…แต่ฝีปากของเขาสู้ความสามารถแท้จริงไม่ได้อย่างสิ้นเชิง หากดวลฝีปาก เกรงว่าคงจะแพ้ราบคาบเป็นแน่
ทันใดนั้นจึงตัดสินใจว่าก่อนจะไปถึงสถานที่จัดงานเลี้ยงจะไม่เสวนากับเจ้าเด็กนี่อีก ไม่เช่นนั้นนอกจากตนต้องข่มโทสะแล้ว อาจทำให้ตนสิ้นลมเร็วขึ้นได้จริงๆ…
“ชีวิตที่หอทรงปัญญาธรรมดามากหรือ”
จู่ๆ ทังจงซงก็ถามขึ้น
แต่บัณฑิตจางกลับดูเหมือนไม่ได้ยินเสียอย่างนั้น
ทังจงซงเห็นยายเฒ่าคนหนึ่งนั่งอยู่บนตั่งไม้เล็กๆ ริมถนน ถือแผ่นรองเท้าข้างหนึ่งในมือกำลังบรรจงปักลวดลายบนนั้น
ปักลายอะไรทังจงซงก็มองเห็นไม่ชัด แต่ใช้ด้ายสีดำปัก
ทังจงซงรู้สึกประหลาดใจ เพราะทั้งถนนสายนี้มีร้านรวงมากมาย มีพ่อค้าแม่ขายตะโกนเรียกทักทายลูกค้าไม่น้อยเช่นกัน
มีเพียงยายเฒ่าผู้นี้ นางตั้งจิตแน่วแน่นั่งตัดขาดจากโลกภายนนอกอยู่ตรงนั้น ตั้งใจเย็บปักแผ่นพื้นรองเท้าในมือ ดูเงียบสงบเกินไปและดูไม่เข้าพวกเล็กน้อย
ทังจงซงไม่ได้คิดมากนัก เพียงรู้สึกประหลาดใจนิดหน่อย จนอดเหลือบมองหลายครั้งอย่างเลี่ยงไม่ได้
จนกระทั่งฝีเท้าของบัณฑิตจางหยุดลง เขาถึงได้ตระหนักว่าความรู้สึกประหลาดของตนนี้ถูกต้อง
“เจ้าคงไม่ใช่ยกตนเทียมฟ้า ดูถูกสิ่งนี้ ไม่ถูกใจสิ่งนั้นกระมัง”
บัณฑิตจางกล่าว
ทังจงซงไม่รู้ว่าหมายถึงสิ่งใด แต่ก็ยังตอบไปตามความรู้สึก
“แล้วอย่างไรเล่า”
“เจ้าไม่คิดว่าถนนสายยาวเส้นนี้ต่างออกไปหรือ”
บัณฑิตจางกล่าวถาม
“มีสิ่งใดต่างไปเล่า ข้าไม่คุ้นเคยกับหอทรงปัญญาเสียหน่อย ถนนสายนี้ข้าก็เพิ่งมาครั้งแรก ไร้การเปรียบเทียบ ข้าจะพบความแตกต่างได้อย่างไร”
ทังจงซงแบมือสองข้างพลางกล่าว
บัณฑิตจางพยักหน้า รู้สึกว่าคำพูดสมเหตุสมผล
แต่สายตาของเขาตรงไปตรงมายิ่งกว่าทังจงซงมากนัก
ทังจงซงเพียงเหลือบมองยายเฒ่าเย็บปักพื้นร้องเท้าอีกหลายครั้ง
แต่สายตาบัณฑิตจางจับจ้องบนกายนางอย่างแน่วแน่ โดยเฉพาะเข็มกับด้ายในมือ
ทังจงซงเพียงรู้สึกประหลาดใจว่าลวดลายใดจึงต้องใช้ด้ายสีดำเย็บปัก แต่ทว่าบัณฑิตจางย่อมรู้ดีแน่นอน ไม่มีผู้ใดใช้สีดำกับสิ่งของส่วนตัวแนบกายเช่นพื้นรองเท้า
เพราะสีดำไม่สิริมงคล
โดยเฉพาะเหล่าบัณฑิตของหอทรงปัญญา เอาแต่คำนึงเวลาสถานที่อย่างพิถีพิถัน ในทางกลับกันเอาความเพียรพยายามของตัวบุคคลที่สำคัญที่สุดไว้ตอนท้าย
ฉะนั้นพวกเขาเพียงอยากได้โชคดี เป็นมงคล ไหนเลยจะนำความโชคร้ายมาสู่ตน
พื้นรองเท้าลวดลายสีดำนี้ต่อให้จะเย็บปักอย่างดีเพียงใด คาดว่ามีเพียงเทศกาลเชงเม้งที่จะขายได้เพียงไม่กี่คู่เท่านั้น ใช้เผาเซ่นไหว้บรรพบุรุษ
ในยามปกติ เกรงว่าบัณฑิตเหล่านี้เห็นเข้าแล้วจะอ้อมไปอีกทาง หากมองอีกสักแวบก็คงจะรู้สึกเหมือนตนเองจะล้มเหลว…
โดยเฉพาะตอนนี้งานประชันพยัคฆ์มังกรวรรณกรรมใกล้จะมาถึง ร้านค้าทั้งหมดระดมสมองคิดหาวิธีสร้างรายได้มากขึ้น
สิ่งใดที่เขียนลงกระดาษเป็นพันคำ ความคิดวรรณกรรมหลั่งไหล กระทั่งในโรงสุรายังผลักดันอาหารแห่งปราชญ์ สุราเซียนกวี!
อาหารแห่งปราชญ์นี้ว่ากันว่าเป็นนักปราชญ์ขั้นเก้าที่เหนือกว่าตะวันแพรทองขั้นแปดผู้หนึ่ง หลังจากกินอาหารป่านานาชนิดที่ไม่ทราบชื่อจานหนึ่ง ทันใดนั้นก็บรรลุฉับพลัน คว้าพู่กันทะลวงพันธนาการสุดท้ายสายวรรณกรรมของตน ด้วยเหตุนี้จึงเลื่อนขั้นเป็นนักปราชญ์ขั้นเก้า
แต่อาหารป่าชนิดไหน น้ำแกงเช่นใด ทุกชนิดหนักเท่าใดราคากี่ตำลึง แต่ละที่แสดงความคิดเห็นอย่างอิสระ แต่ละร้านพยายามกล่าวอ้างต้นตำรับของตน วิจารณ์ร้านอื่นเป็นหนทางป่าเถื่อนที่ไม่ควรค่าแก่การนำออกมาให้ชม
แต่หากถามจริงๆ ว่า ‘ต้นตำรับมีสิ่งใดเป็นพื้นฐาน’
เกรงว่าพวกเขาจะพูดปดใหญ่โตกระทั่งว่า ‘เถ้าแก่ร้านเราเคยคบค้าสมาคมกับนักปราชญ์ผู้นั้น ในปีนั้นเขาทำอาหารให้นักปราชญ์ผู้นั้นเองกับมือ!’ อย่างหน้าไม่อายใจไม่เต้นแรงเสียด้วยซ้ำ
………………………..
สำหรับสุราเซียนกวี เป็นตำนานมีสีสันยิ่งกว่า
กล่าวกันว่าเป็นบัณฑิตผู้หนึ่ง เชี่ยวชาญด้านกวีในวรรณกรรม และเหตุนี้จึงเปล่งประกายเจิดจ้า ถูกขนานนามว่าเซียนกวี
เซียนกวีผู้นี้ไม่ได้กินอาหารใดๆ เพียงแต่ชอบดื่มสุรา
ไร้สุราไร้บทกวี แต่ครั้นดวลสุราก็แต่งกวีหลายร้อยบท
คนผู้นี้เป็นคนจริง ต่างจากเรื่องเล่าเทพบุ๋นที่กระพือข่าวลือจนหาต้นเรื่องเดิมไม่เจอ
หลิวรุ่ยอิ่งก็เคยได้ยินเรื่องนี้เช่นกัน นับตั้งแต่เขาได้รู้จักกับจิ่วซานปั้น เขาก็รู้สึกว่าจิ่วซานปั้นคือคนผู้นั้นกลับชาติมาเกิด
ไม่เช่นนั้นจะเหมือนกันราวกับแกะได้อย่างไร
เซียนกวีผู้นั้นประพันธ์กวีเป็นเช่นไร หลิวรุ่ยอิ่งวิจารณ์ไม่ค่อยจะเป็นนัก แต่เขารู้สึกว่ากวีที่จิ่วซานปั้นเขียนก็ไม่ได้แย่
หากกล่าวถึงปริมาณสุราที่ดื่มมากน้อยเพียงใด หลิวรุ่ยอิ่งจะกล่าวอย่างไม่ลังเลว่าจิ่วซานปั้นดื่มได้มากยิ่งกว่า
คิดดูแล้วก็น่าสนใจยิ่ง นี่เป็นกวีในสุราหรือสุราในกวีกันแน่
ดื่มสุราจึงประพันธ์บทกวีได้ หรือหลังจากประพันธ์บทกวีจึงต้องดื่มสุราเล่า
ไม่มีผู้ใดล่วงรู้เรื่องนี้
แต่หลิวรุ่ยอิ่งคิดว่า เรียกว่าเซียนกวี สู้เรียกเซียนสุราจะดีกว่า
เซียนสุราทำได้มากยิ่งกว่าแต่งกวี ตราบใดที่มีสุรา ไม่ว่าพายุหรือคลื่นกระทบเพียงไหนก็ยังเอาชนะเดินเล่นได้สบายๆ
แต่เซียนกวีนั้นคำจำกัดแคบเกินไป ราวกับว่านอกจากแต่งกวีแล้วไม่มีความรู้เรื่องอื่นเลยสักกระผีกเดียว
แต่หลักการ ความรู้ วิชา ทักษะบู๊ในใต้หล้านี้ครบเครื่องครบวงจร รู้จักพลิกแพลงมาแต่ไหนแต่ไร
บทความที่เซียนกวีเขียนแต่งย่อมไม่ใช่เรื่องน่าอาย กวีที่นักปราชญ์เขียนย่อมไม่แย่เช่นกัน
เพียงแต่ทุกคนล้วนมีแขนงที่ตนสนใจ
หลังจากเรียนรู้พื้นฐานจนแล้วเสร็จ จะใช้พรสวรรค์และความสามารถของตนอย่างไร ไม่ได้ขึ้นอยู่กับการวิจารณ์มั่วๆ จากคนอื่น
อาหารแห่งปราชญ์ สุราเซียนกวีโชคทั้งสองประเภทนี้คงอยู่เสมอมา ทุกปีขายไปได้ไม่น้อย พบกับเหตุการณ์ยิ่งใหญ่เช่นนี้ในรอบสิบปียิ่งเป็นอุปทานส่วนเกิน
หน้าร้านรวงอันทรงเกียรติเหล่านั้นต่อแถวยาวเหยียด และเนื่องจากบัณฑิตบางคนสภาพการเงินไม่คล่องจึงรวบรวมเงินทุนซื้อกาซื้อชามกลับไปแบ่งกันดื่มกินในภายหลัง
แม้ว่าไม่อาจกินอาหารเต็มชามดื่มสุราเต็มกา แต่อย่างน้อยก็ไหลเข้าปาก ไหลลงท้องก็สามารถเพิ่มความคิดและความมั่นใจได้หลายส่วน
………………………..
หลังจากเดินไปข้างหน้าไม่กี่ก้าว ทังจงซงจึงมองเห็นว่ายายเฒ่าผู้นั้นปักรูปดอกบัวไว้ที่พื้นรองเท้า
เนื่องจากมีผงฝุ่นจางๆ วาดโครงร่างที่พื้นรองเท้าด้านใน รอยสอยเย็บของนางกำลังปักไปด้านหน้าตามโครงร่างอย่างแน่นหนา ชั่วพริบตา พื้นผิวใบบัวครึ่งหนึ่งมีชีวิตชีวาขึ้นมา
“ขายแผ่นรอง! แผ่นรองหนังแกะทำมือแท้! บุขนกระต่ายใส่สบายแน่นอน! เหยียบพื้นย่อมพลิกทุกเส้นทางในโลกได้ ใส่ไว้ในรองเท้าย่อมไม่กลัวอันตรายทุกชนิด!”
ยายเฒ่ารอจนกระทั่งทังจงซงและบัณฑิตจางทั้งสองคนเดินเข้ามาใกล้จึงโก่งคอตะโกน
เสียงกังวานชัดเจน เต็มไปด้วยพลัง!
ไม่เข้ากับผมหงอกดำกระด่างบนศีรษะและใบหน้าเหี่ยวย่นของนางแม้แต่น้อย
ยิ่งไปกว่านั้นเสียงตะโกนนี้มีความสง่าและเหมาะสมยิ่งกว่าเสียงผู้อื่นนัก ดึงดูดบัณฑิตไม่น้อยเข้ามาแวะชมเอ่ยถาม
“ยายเฒ่า พื้นรองเท้าของท่านราคาเท่าไรรึ”
มีคนกล่าวถาม
“สิบห้าตำลึงเงิน”
ยายเฒ่าตอบโดยไม่เงยหน้าขึ้น
“คู่ละสิบห้าตำลึงหรือ นี่แพงเกินไปแล้วกระมัง!”
คนผู้นั้นอุทานกล่าว
เมื่อคนรอบข้างได้ยินราคานี้ ล้วนพากันถอนหายใจ
คิดว่ายายเฒ่านี่อยากได้เงินจนเสียสติไปแล้ว!
แม้ว่าพื้นรองเท้าทำมือของนางจะค่อนข้างประณีต รอยเย็บปักก็หนาแน่นยิ่ง ทั้งดูสบายและทนทาน แต่ราคานี้ทำให้เกือบทุกคนเอื้อมไม่ถึงจริงๆ
“ไม่ใช่หนึ่งคู่ แต่เป็นหนึ่งข้าง!”
ยายเฒ่าหยุดเข็มด้ายในมือและกล่าวขึ้น
“หนึ่งข้างสิบห้าตำลึงหรือ เช่นนั้นคู่หนึ่งก็สามสิบตำลึงน่ะสิ!”
ทุกคนยิ่งแปลกใจมากขึ้นไปอีก…
สามสิบตำลึงเงิน จัดงานเลี้ยงแสนอร่อยที่โรงน้ำชาและร้านอาหารที่ดีที่สุดในหอทรงปัญญาล้วนเหลือเฟือ!
ไยพอเป็นยายเฒ่าผู้นี้กลับไม่มีเงินซื้อแผ่นรองพื้นรองเท้าคู่หนึ่งได้เล่า
แม้ว่าแผ่นรองจะสำคัญ แนบชิดติดกายระหว่างวันตลอดเวลา แต่ถึงอย่างไรหาใช่สิ่งที่นำออกมาอวดอ้าง ไหนเลยจะเหมือนจัดงานเลี้ยงใหญ่เชิดชูหน้าตาได้อย่างไร
ชั่วครู่หนึ่ง คนเดินจากไปไม่น้อย
แต่ละคนต่างก็ส่ายหน้าพลางเดินออกไปพร้อมกับพึมพำ “ไม่รู้ว่ายายเฒ่านี่มาจากที่ใดกัน…หากไม่เสียสติก็คงจะเลอะเลือนไปแล้วกระมัง…”
“คู่หนึ่งไม่ใช่สามสิบตำลึง”
เห็นเพียงยายเฒ่าส่ายหัวเบาๆ พลางกล่าว
“หนึ่งข้างสิบห้าตำลึง หรือหนึ่งคู่ไม่ใช่สามสิบตำลึงเล่า”
ตอนนี้เองคนที่เหลือต่างพากันหัวเราะ พวกเขารู้สึกว่ายายเฒ่าจะต้องแก่เลอะเลือนแล้วเป็นแน่…คิดเงินง่ายเพียงนี้ยังไม่อาจคำนวณได้ชัดเจน แล้วยังจะมาตั้งแผงขายของได้อย่างไร
และไม่รู้ว่าลูกเต้าเหล่ากอของนางเป็นผู้ใด ตัวอยู่แห่งหนใด
ตอนนี้ตนเองก็เป็นเช่นนี้อยู่แล้ว ยังต้องออกมาตั้งแผงจนนอนกลางดินกินกลางทรายอย่างลำบากไม่ว่า หากมีอันเป็นไปในยามที่สมองเลอะเลือนเช่นนี้ ควรจะทำอย่างไรเล่า
ทุกคนทราบกันดีว่าบัณฑิตให้ความสำคัญกับความกตัญญู
ความกตัญญูกตเวทีคือสิ่งใด ทำความดีกับบิดามารดาคือความกตัญญู
ตัวอักษรเหล่า (老) เว้นครึ่งล่างแล้วแทนที่ด้วยตัวอักษรจื่อ (子) จะได้ตัวอักษรเซี่ยว (孝)
เดิมนี่ก็เป็นความดีและคุณธรรมประเภทหนึ่งที่ลูกเต้าปฏิบัติต่อบิดามารดา
ทุกปีหอทรงปัญญาและหอทรงภูมิล้วนคัดเลือกบุคคลที่มีความโดดเด่นจากทั่วทุกมุมในใต้หล้ามาเพื่อให้พวกเขารับราชการพิเศษ
ชุดบัณฑิต ‘กตัญญู’ นี้ก็เป็นประเภทหนึ่งในนั้น
ด้วยเหตุนี้ไม่ว่าจะกตัญญูแท้จริงหรือกตัญญูจอมปลอม ต่อให้จะเพื่ออนาคตของตนเองก็ตาม บัณฑิตเหล่านี้ก็ทำได้ไม่ขาดตกบกพร่อง
อย่างไรเสียสิ่งนี้สามารถรับราชการพิเศษได้เพราะ ‘กตัญญู’ และก็สามารถริบถอนเกียรติอย่างไร้เงื่อนไขเพราะ ‘ไม่กตัญญู’ ได้
นี่เป็นการลงโทษที่บัณฑิตน้อยคนนักจะสามารถรับได้
……………………………………………………….