ศึกยุทธ์ใต้ขุนเขาเงาจันทรา - บทที่ 13 ใบไม้ผลิมาเยือนเพื่อใคร-1
บทที่ 13 ใบไม้ผลิมาเยือนเพื่อใคร-1
วังติ้งซีอ๋อง
บัลลังก์บนพระตำหนักว่างเปล่า
ฮั่ววั่งหนึ่งคนหนึ่งม้า ห้อตะบึงไปยังรัฐติง
………………………..
ในป่านอกจุดพักม้าทางการรัฐติง
หลี่อวิ้นกับทังจงซงยืนประจันหน้า ทั้งสองห่างกันไม่ถึงหนึ่งแขน
ทังจงซงได้กลิ่นหอมจางที่ส่งมาจากบนตัวหลี่อวิ้น และรับรู้ได้ถึงจิตสังหารที่แผ่มาจากตัวนางเช่นกัน
หลี่อวิ้นสงวนท่าทีงดงามหยาดเยิ้มไปนานแล้ว มือขวากำกระบี่ไว้แน่น ตัวกระบี่ซ่อนอยู่ในเสื้อคลุม ทำให้คนไม่เห็นสภาพจริงของมัน
“วิชาปาดกระบี่ของฐานเมฆาทะเลบูรพาเลื่องลือว่าออกกระบี่ทะเลแยก คืนนั้นใต้เท้าผู้หนุนฐานฝึกกระบี่ถึงได้รู้ว่าสมคำร่ำลือ”
ทังจงซงเดินขึ้นมาครึ่งก้าวและเอ่ย
“ทำไมเจ้าต้องทำเช่นนี้”
หลี่อวิ้นขบริมฝีปากงามเบาๆ และถามกลับ
ก่อนหน้านางไม่เคยสงสัยคุณชายใหญ่ทังแห่งติ้งซีผู้ขึ้นชื่อเรื่องเสวยสุขไปวันๆ คนนี้ ตอนนี้ความจริงวางอยู่ตรงหน้า ทำให้นางรู้สึกขายหน้านัก
รับกับประโยคนที่ทังจงซงพูดตอนอ่านจดหมายในกระโจมพอดี ‘คนฝึกนกอินทรีมักถูกนกกระจอกจิกตา’
หลี่อวิ้นสูงส่งถึงผู้หนุนฐานเมฆาย่อมสูงส่งเป็นผู้เรียกอินทรีรวมฝูงสุนัข เขาคุณชายทังพฤติกรรมเหลวแหลก เสเพลต่อต้าน รวมกับฐานะแต่กำเนิดของเขาอย่างมากก็นับเป็นนกกระจิกที่แข็งแกร่งอยู่บ้างตัวหนึ่ง
แต่เวลานี้ นกกระจอกกลับมีอำนาจคุมเชิงผู้ฝึกอินทรีแล้ว ถึงขั้นทำให้ผู้ฝึกอินทรีต้องปล่อยอินทรีกับสุนัขวิ่งไป
ทังจงซงไม่เอ่ยปากอีก คำถามนี้ไม่ต้องให้เขาตอบหลี่อวิ้นก็รู้คำตอบได้
เขาดึงกระบี่ยาวออกจากฝัก ถือแนวนอนตรงหน้าอก
ในเมื่อรู้ว่าการฟาดฟันของอีกฝ่ายถึงแก่ความตายได้ เช่นนั้นก็ต้องลงมือก่อนได้เปรียบ
หลี่อวิ้นเห็นทังจงซงชักกระบี่ กำลังบนมือลดลงอีกสามส่วนโดยไม่ฟังคำ
นางยังคิดไม่ตกว่าควรออกกระบี่หรือไม่
กระบี่ออก
เลือดสาด
ศีรษะร่วง
แล้วนำมาสู่การไล่ล่าจากเขตติ้งซีอ๋องไม่มีวันสิ้นสุด เผชิญหน้าผู้ปกครองแห่งเขตติ้งซีอ๋อง ฮั่ววั่ง
“เจ้าไม่มีทางชนะข้า!”
หลี่อวิ้นยังเอ่ยคำโน้มน้าว แต่ทังจงซงออกกระบี่แล้ว
ไม่ว่าเขาจะวางดาบใช้กระบี่ตอนไหน แต่ตราบใดที่ใช้กระบี่แล้วก็ไม่มีทางให้มันออกจากฝักและกลับมาโดยไม่บรรลุผลอันใดแน่นอน
บริเวณนี้ใกล้ทางหลวง หากเริ่มสงครามต้องเกิดเสียงดังมากแน่
หลี่อวิ้นมองเด็กหนุ่มตรงหน้า ถึงได้รู้ว่าใต้เนื้อหนังอันดื้อรั้นมีเหวลึกมืดมิดไม่สิ้นสุดซุกซ่อนอยู่
เขากำลังเดิมพันครั้งใหญ่ด้วยชีวิตของตนเอง
เขาพนันว่าหลี่อวิ้นไม่กล้าสังหารเขา
พนันว่าจะต้องมีคนนอกพบเห็นการปะทะในบริเวณนี้
ยิ่งพนันกับติ้งซีอ๋อง พนันว่าเขาไม่อาจนั่งบนภูดูเสือกัดกัน[1]ได้อีกต่อไป
คน อย่างไรก็เป็นสัตว์ประสาทสัมผัส
ดังนั้นแค่การบรรยายบนกระดาษขาวอักษรดำไม่เพียงพอโดยสิ้นเชิง จำต้องให้พวกเขาได้เห็น ได้ยิน ได้สัมผัส
ได้เห็นแสงกระบี่ทั่วฟ้า ได้ยินเสียงทวนทอง[2]ปะทะกัน สัมผัสพลังกระบี่อันดุดันทรงพลัง
เช่นนี้ถึงจะกระตุ้นความริษยา ความทะเยอทะยานทั้งหมดในกายขึ้นมาได้ สุดท้ายกลายเป็นความรู้สึกกระหายชัยชนะอันถือดี จากนั้นมุ่งสังหารหลี่อวิ้นสุดกำลังไม่ให้เหลือทางรอด
มุ่งสังหารมือกระบี่ผู้โอ้อวดไม่เจียมตัวและเหยียดหยันสรรพสิ่งในมหัพภาคติ้งซีคนนี้
ทังจงซงฟันกระบี่แนวขวางจากซ้ายจรดขวา
ขณะนั้นเข่าซ้ายงอเล็กน้อย ขาขวาเกร็งตึงเตะออก ปลายเท้าวาดเส้นโค้งสายหนึ่งบนพื้นหิมะ ทำให้หิมะตกบนพื้นกระจายขึ้น เกิดเป็นเส้นกั้นบางๆ ชั้นหนึ่งระหว่างสองคน
ท่ามือนี้เพียงอย่างเดียวก็ไม่รู้ต้องฝึกหนักกี่ปี
ส่วนบนและล่างของร่างกายเคลื่อนไหวในทิศทางตรงกันข้ามโดยสิ้นเชิง มือฟันเท้าเตะประสานกันอย่างไร้ที่ติ
‘หรือว่าร้านสุรา หอนางโลมและบ่อนพนันทั้งหัวเมืองรัฐติงเป็นลานต่อสู้หมดเลย’
หลี่อวิ้นฝันก็คิดไม่ถึงว่าทังจงซงจะมีท่วงท่าและฝีมือเช่นนี้ นัยน์ตาทั้งคู่ของเขาจ้องกระบี่ในมือหลี่อวิ้นเขม็ง พูดให้ชัดคือด้ามกระบี่
ปลายกระบี่คือกลลวง มีเพียงการเคลื่อนไหวของด้ามกระบี่ที่สามารถมองทะลุวิถีของคนคนหนึ่งได้
หลี่อวิ้นพลันเงยหน้าไปด้านหลัง พลังรุนแรงกวาดจนผมดำของนางปลิวยุ่ง ใบหน้าก็เจ็บเล็กน้อย ทันใดนั้นรู้สึกอีกว่าบนยอดศีรษะมีเงามืดกลุ่มหนึ่ง ที่แท้พลังกระบี่ที่นางหลบพ้นยังไม่ลดอานุภาพของมัน ตัดไม้สามต้นขาดต่อเนื่อง และไม้สามต้นนี้ก็พุ่งเข้าหาหลี่อวิ้นในลักษณะตาข่าย ทังจงซงวางแผนไว้แล้วอย่างชัดเจน
เพลงกระบี่เน้นความสง่างามคล่องตัว เคลื่อนย้ายปราดเปรียว โจมตีถึงตายในคราวเดียว ไม่ใช่กลยุทธ์สำหรับการต่อสู้ระยะยาว
ด้วยประสบการณ์ของหลี่อวิ้น นางก็ประหลาดใจกับเพลงกระบี่อันทรงพลังของทังจงซงเช่นกัน
แต่นางยังคงไม่ชักกระบี่
หลี่อวิ้นมือซ้ายยันพื้น ให้ร่างกายหมุนกลางอากาศรอบหนึ่งแล้วร่วงลงกลางช่องระหว่างต้นไม้ทั้งสาม เท้าเพิ่งยืนคงที่ ทังจงซงถือกระบี่สองมือกระโดดขึ้นอีกครั้ง ฟันลงจากด้านบน
หลี่อวิ้นไม่มีทางให้ถอย ไม่มีที่ให้หลบในที่สุด ได้แต่ชักกระบี่ต้านไว้
“หึๆ!”
ทังจงซงเห็นหลี่อวิ้นชักกระบี่ อดเย้ยหยันไม่ได้
ยามสองกระบี่สบกัน ทังจงซงยืมแรงสกัดกั้นของหลี่อวิ้นยกเท้าขึ้นเหยียบส่งแรงมหาศาลบนคมกระบี่ หลี่อวิ้นผู้ไม่ได้เตรียมป้องกันสะเทือนจนง่ามนิ้วชา
ทังจงซงไม่ได้ยืมแรงออกกระบี่ต่อ แต่กลับยืนนิ่งไม่ไหวติงอยู่ที่เดิม
คลื่นกระทบที่ลอยขึ้นรอบตัวทั้งสองทะลวงผ่านการสกัดกั้นของผืนป่า ยกเอากระโจมในจุดพักม้าทางการด้านข้างขึ้นมาหลายหลัง
กระบี่มีสองคมนี่คือความรู้ทั่วไปที่แม้แต่เด็กสามขวบยังรู้ แต่เขากลับเหยียบเท้าขึ้นไป
ใจหลี่อวิ้นเกิดสับสนแวบหนึ่ง
ผู้คนมักเป็นเช่นนี้ในเรื่องที่ยังไม่รู้
ฝีมืออันเหลือเชื่อบวกกับเพลงกระบี่อันน่าประหลาดใจ
บนตัวคุณชายทังคนนี้ยังซ่อนความลับไว้อีกเท่าไร
“ดาบกระบี่ๆ ใครบอกว่าดาบและกระบี่นี้ต้องเป็นของสองสิ่งเสมอไปล่ะ”
ทังจงซงเอ่ยพลางใช้นิ้วชี้มือซ้ายดีดบนหลังกระบี่เบาๆ
“สิ่งที่เจ้าใช้ไม่ใช่เพลงกระบี่ แต่เป็นเพลงดาบ!”
หลี่อวิ้นเข้าใจทันที กระบวนท่าที่ปลดปล่อยและผ่อนรับเช่นนี้ของทังจงซงเป็นการใช้กระบี่แสดงเพลงดาบ
กระบี่นี้ก็ทำขึ้นพิเศษ คมมีดบางแคบ หลังกว้างหนา เป็น ‘กระบี่ดาบ’ เพียงหนึ่งเดียวโดยแท้จริง
มันทั้งแทงตัดได้ว่องไวเหมือนกระบี่ และต้านทานเพลงดาบอันรุนแรงแข็งกร้าวได้
ทังจงซงมอง ‘กระบี่ดาบ’ ของตน พยักหน้าพึงใจ
“ได้ยินว่าในยุทธภพมีผู้อาวุโสคนหนึ่ง คนเรียกกันว่ากระบี่ล้ำดาบคลั่ง แต่เขาก็แค่กระบี่มือซ้ายดาบมือขวาเท่านั้น เทียบกันแล้ว ข้าต่างหากคือกระบี่ล้ำดาบคลั่งที่แท้จริง!”
หลี่อวิ้นพลันทิ้งเสื้อคลุม เปลี่ยนกระบี่สามกระบวนกลางอากาศ
แม้ทังจงซงเป็นเด็กหนุ่มมากพรสวรรค์เพียงใด แต่ก็ใกล้เคียงขอบเขตปรมบุคคลเท่านั้น ความแตกต่างของขอบเขตกับประสบการณ์นั้นใช่ว่าทดแทนกันได้ง่ายๆ
ขอเพียงกระบวนท่าเดียว ต้องเอาคืนเขาให้เย็นวาบทั่วกายได้แน่
ทังจงซงเปลี่ยน ‘กระบี่ดาบ’ มามือซ้ายอย่างไม่รีบร้อน จากนั้นหันด้านคมกระบี่ฟันแขนขวาตนเองดาบหนึ่ง
ลึกจนเห็นกระดูก เลือดไหลดุจกระแสน้ำ
ทังจงซงร้องโหยหวนล้มลง ทับ ‘กระบี่ดาบ’ เล่มนั้นไว้ใต้ตนเอง
“คุณชาย! ท่านเป็นอะไรขอรับ!”
ตรงจุดพักม้าทางการ เผียวเจิ้งหงกับเจียงเหิงเจียวมาพร้อมทหารกองใหญ่
เห็นทังจงซงเจ็บหนักทนไม่ไหว เผียวเจิ้งหงรีบถอดเสื้อคลุมขนสัตว์ที่สวมอยู่มาคลุมบนกายเขา
หลี่อวิ้นถือกระบี่ยิ้มเจื่อน
นับแต่นางออกจากเมืองจี๋อิง ก็เป็นหมากบนกระดานแล้ว
“นางโสเภณีน่าชังถึงขั้นกล้าถือกระบี่ฟันข้า เจ้าคอยดูเถอะ! นางโลมเลื่องชื่ออะไร ข้าจะให้พ่อข้าจับเจ้าเป็นโสเภณีกองทัพ!”
“พวกเจ้ายังไม่รีบจับนางไว้อีก ช่างเถอะๆ…ด้วยวรยุทธ์ของพวกเจ้าหยุดนางไม่ได้แน่นอน เจิ้งหงเจ้ารีบไป! กลับที่ว่าการรัฐติงแล้วบอกแม่กับพ่อข้าว่า ลูกชายคนเดียวของพวกเขาถูกสตรีหอนางโลมคนหนึ่งฟันตายแล้ว ให้พวกเขาแก้แค้นเพื่อข้าให้จงได้!!!”
ทังจงซงร้องไห้โอดโอยอยู่บนพื้นเหมือนสุนัขหมดฤทธิ์จนตรอกตัวหนึ่ง
แผลกระบี่บนแขนไม่มีทางปลอมได้
แม้เจียงเหิงเจียวเป็นสหายรักกับหลี่อวิ้น แต่ด้วยหน้าที่จำเป็นต้องชักกระบี่ออกมาจ่อนางด้วยท่าทีเหี้ยมเกรียม…
ทังจงซงรู้สึกเวียนหัวเล็กน้อย เขาเสียเลือดมากเกินไปกลับไม่ได้เคลื่อนกำลังภายในห้ามเลือด
คำโกหกต้องสร้างให้ครบถ้วน เล่นละครต้องเล่นให้สมบูรณ์
นี่เป็นหลักการที่ทังจงซงปฏิบัติมาตลอด
กัดฟันลงมือกับตนเอง ก็เป็นการอดกลั้นถึงที่สุดอย่างหนึ่ง
หลี่อวิ้นดูการแสดงของทังจงซง ฉับพลันความรู้สึกสงสารเอ่อท้นขึ้น
“เจ้าอย่าบังคับข้า…”
หลี่อวิ้นเอ่ยกับเจียงเหิงเจียว
หัวคิ้วเจียงเหิงเจียวขมวดเป็นปม ใบหน้าที่เหี้ยมอยู่แล้วบัดนี้ยิ่งดุร้ายกดดัน ไม่มีความคิดยอมผ่อนแม้แต่น้อย
“หลี่อวิ้น อธิบายให้ชัดเจนดีกว่า”
หลี่อวิ้นไม่ได้ตอบ
นางยกกระบี่ในมือขึ้นอีกครั้ง
แขนขวาชูขึ้นสูง แขนเสื้อร่วงลงมา เผยให้เห็นมือแขนอันนิ่มนวลดุจหยกมันแพะกว่าครึ่งหนึ่ง
ปลายกระบี่ชี้ฟ้า
“วิชาปาดกระบี่ของฐานเมฆาข้าหาเหมือนที่ใดไม่ เจ้า…”
ทังจงซงเบิกตากว้างอยากมองให้ชัด กลับหมดสติไปอย่างช่วยไม่ได้
ท้องฟ้าสลัวมืดครึ้ม หกทิศวังเวง น้ำค้างเย็นกัดกระดูก ชั่วขณะเสียงสะอื้นพึมพำ เสียงร้องเคียดแค้นขมขื่นดังขึ้นจากทุกทิศทางอย่างไร้ต้นตอ เรียกชื่อบางคนท่ามกลางยมโลกอันเงียบเหงาคราแล้วคราเล่า ในความสลัวเห็นแสงโคมนำวิญญาณอยู่รำไร มันแขวนหน้ากากแวววาวดุจดอกท้อที่วิญญาณหญิงงามดวงนั้นเผยออกมา
กระบี่นี้ ลมบูรพาพัดกระหน่ำ ฝนเทดั่งเทพบันดาลกลางฟ้ามืดมัวไม่แบ่งกลางวันกลางคืน
………………………..
วังติ้งซีอ๋อง
เริ่นหยางพาหลานชายเข้าเมืองติ้งซีอ๋องแล้ว มองเห็นวังอ๋องอันยิ่งใหญ่นั้นนอนอยู่ใจกลางเมืองอย่างเสือหมอบมังกรขดได้แต่ไกล
เสียงดังครั่นครืนทำให้คนทั้งเมืองอ๋องสับสนงุนงง แต่กลับทำให้คนในวังอ๋องชุลมุนวุ่นวาย
ชายคามังกรคะนองน้ำสองตัวบนสันหลังคาพระตำหนักร่วงลงมาฉับพลันโดยไม่ทราบสาเหตุ
เริ่นหยางหรี่นัยน์ตาทั้งคู่ ใบหน้าเผยยิ้มบาง เขาเห็นชัดทีเดียว
พลังกระบี่สายหนึ่งเหมือนโฮ่วอี้[3]ยิงตะวันเก้าดวง กระเพื่อมมาจากทางรัฐติง ตัดชายคานั่นร่วงเต็มๆ
บนทางหลวงเมืองติ้งซีอ๋องที่มุ่งไปรัฐติง
ฮั่ววั่งดึงฉุดบังเหียนไว้แน่น
เขาเงยหน้ามองไปทางวังอ๋องของตนอย่างงุนงง
“ไอ้ระยำ!”
เพิ่งสิ้นเสียงด่า รอบด้านมีเสียงร่วงหล่นทอดมาครู่หนึ่ง
นกป่าจำนวนมากตกใจตายเพราะเสียงสบถด่าของฮั่ววั่ง ตกจากต้นไม้ลงมากระแทกบนกองหิมะและใบไม้ร่วง
………………………..
นอกเมืองจี๋อิง
บัณฑิตจางขยับพัดกระดูกขาวไปมา โบกขึ้นลง
เข็มสอดไม่เข้า น้ำสาดไม่เข้าโดยแท้
อย่างไรพัดก็เป็นอาวุธสั้น
ยุทธภพมีคำกล่าว ยาวหนึ่งชุ่นเหนือกว่าหนึ่งชุ่น สั้นหนึ่งชุ่นร้ายกาจหนึ่งชุ่น
ด้วยการกระทุ้งฟาดอันดุเดือดรุนแรงอย่างพยัคฆ์ขู่ขวัญของไม้เท้าสำนักยาวหนึ่งจั้งแปดฉื่อ บัณฑิตจางถอยร่นต่อเนื่อง
‘ตราบใดที่ไม่ปล่อยให้เขาใกล้ข้าในสามก้าว วิทยายุทธ์โจมตีจุดสำคัญอันสะเทือนฟ้าข่มขวัญวิญญาณนั่นของเขาก็ไม่มีทางสำแดงเดชได้ แต่หวดไม้เท้าสำนักไปมาเช่นนี้ พลังของข้าก็ลดลงไวมาก ต้องรีบลงมือ!’
บัณฑิตจางยังคงถือพัดปัดป้องซ้ายขวา ไม่เห็นความกังวลร้อนใจบนหน้าเลยสักนิด
แม้ฝีเท้าด้านล่างถอยหลังไม่หยุด แต่กลับมีจังหวะผ่อนยาวสั้น ไม่สับสนแม้แต่น้อย
ทุกพัดของเขาล้วนโจมตีอยู่ตรงช่วงหกฉื่อเจ็ดชุ่นของไม้เท้าสำนัก
ตำแหน่งนี้ยามปกติดูไม่ออกว่ามีอะไรพิเศษ
แต่ขอเพียงไม้เท้าสำนักเริ่มขยับ บริเวณนี้ก็ถึงชีวิตเหมือนเจ็ดชุ่นของงูพิษ[4]จุดรวมเส้นปลายประสาทบนกายคน
พัดกระดูกโจมตีตรงนี้ สี่ตำลึงปาดพันชั่ง[5]
บัณฑิตจางรู้ตัวว่าหลายปีนี้กำลังภายในไม่สู้เมื่อก่อน
ดังนั้นทุกกระบวนท่านี้จึงถูกซักซ้อมอยู่ในหัวมาแล้วนับครั้งไม่ถ้วน
ก้าวขึ้นตรงไหน ถอยหลังเมื่อไร
จัดการช่วงล่างหรือจู่โจมหน้าของอีกฝ่าย
หากออกแรงทันทีก็เหมือนฝึกซ้อม
………………………………………….
[1] นั่งบนภูดูเสือกัดกัน หมายถึง รอคอยโอกาส ค่อยโจมตีตอนคนอื่นพลาดพลั้ง
[2] ทวนทอง เปรียบเปรยถึงทหารกล้า
[3] โฮ่วอี้ บุคคลในสมัยพระเจ้าเหยา เป็นเรื่องเล่าในตำนานก่อนยุคราชวงศ์ของประเทศจีน
[4] เจ็ดชุ่นของงูพิษ จุดตายของงูอยู่ที่หลังหัวเจ็ดนิ้วจีน หากตีให้ตายต้องตีบริเวณนี้
[5] สี่ตำลึงปาดพันชั่ง หมายถึงการใช้แรงน้อยเอาชนะแรงมาก