ศึกยุทธ์ใต้ขุนเขาเงาจันทรา - บทที่ 122 น้ำใจเล็กน้อย-1
บทที่ 122 น้ำใจเล็กน้อย-1
เมื่อเงาคนเข้ามาใกล้ โอวเสี่ยวเอ๋อก็หันมาสำรวมกิริยาเมื่อครู่
ความรู้สึกบนหน้าเปลี่ยนเป็นสับสนและระมัดระวัง
นางดื่มสุราหมดจอกอย่างรีบเร่ง จากนั้นลุกยืนทันทีโดยไม่คิดสนใจหยดสุราที่ติดอยู่มุมปาก
“ท่านผู้นำตระกูล! ท่านมาได้อย่างไร!”
คนที่หลิวรุ่ยอิ่งเห็นหางตาคือผู้นำตระกูลโอว ‘บุตรแห่งกระบี่’ รุ่นปัจจุบัน โอวหย่าหมิง
หลิวรุ่ยอิ่งก็ยืนขึ้น กล่าวพลางประสานมือคำนับอย่างสุภาพ
“คารวะท่านผู้นำตระกูลโอว!”
นี่คือการเคารพผู้อาวุโสและผู้แข็งแกร่งขั้นพื้นฐาน
โอวหย่าหมิงสวมเสื้อคลุมต่วนโบราณสีหมึก ตกแต่งลวดลายเมฆมงคลสีขาวจันทร์ เส้นผมบนศีรษะดุจก้อนเมฆ นัยน์ตาสวยอ่อนโยน รูปร่างผอมสูงงามสง่า
จิ่วซานปั้นเห็นทั้งสองยืนกันหมด เขามองสุราที่เพิ่งรินในจอก สับสนเล็กน้อยว่าควรดื่มหมดค่อยยืนหรือยืนทักทายแล้วค่อยนั่งลงดื่ม
จอกของจิ่วซานปั้นไม่เคยใส่สุราทิ้งไว้ แต่ใช้สุราล้างจอก
เพราะทุกครั้งที่รินสุราเต็ม เขาก็จะยกขึ้นดื่มรวดเดียวหมด
สุราในจอกแค่เคลื่อนผ่านล้างรอบหนึ่งเท่านั้น
ให้เขายืนทำความเคารพตอนนี้ก็ทำลายจังหวะการดื่มสุราของเขาไม่ใช่หรือ
จิ่วซานปั้นจึงลุกขึ้นพลางดื่มสุราไปพลาง
ตอนยืนตัวตรงเขาก็ดื่มสุราในจอกหมดแล้ว
ไม่รบกวนทั้งสองฝั่ง
เพียงแต่การทำความเคารพพร้อมจอกสุราในมือออกจะหยาบคายเล็กน้อย แต่จิ่วซานปั้นไม่เข้าใจเรื่องพวกนี้
เขาลุกยืนตามหลิวรุ่ยอิ่งกับโอวเสี่ยวเอ๋อได้ก็ถือเป็นเรื่องหายากยิ่งแล้ว ไม่อาจขอเขาไปมากกว่านี้
“ข้าก็เพิ่งถึงไม่นาน ได้ยินหมิงหมิงบอกว่าเจ้ามาหอทรงปัญญากับสหายสองคน ข้าเลยอยากออกมาเดินเล่นบนถนนสักหน่อย ไม่แน่อาจได้เจอ”
น้ำเสียงโอวหย่าหมิงสมดุล บุคลิกงามสง่า ไม่เข้ากับชื่อ ‘บุตรแห่งกระบี่’ โดยสิ้นเชิง กลับจะเหมือนอาจารย์สอนหนังสือในหอทรงปัญญา
“ไม่ทราบข้าน้อยร่วมโต๊ะได้หรือไม่”
โอวหย่าหมิงเอ่ยถาม
โอวเสี่ยวเอ๋อได้ยินแล้วตกใจ ไม่ทันได้ตอบก็พลันกวักมือเรียกเสี่ยวเอ้อร์มาเพิ่มที่นั่งอีกที่
โอวหย่าหมิงเห็นจิ่วซานปั้นยังถือจอกสุราและลูบมันอยู่ในมือ เขาจึงเป็นฝ่ายรินให้เต็มจอก
“เหตุใดเกรงใจกันเช่นนี้ ลูกหลานยุทธภพรุ่นข้าเคยสนใจธรรมเนียมจารีตเสียที่ไหน!”
ประโยคเดียวโอวหย่าหมิงทำให้ช่องว่างระหว่างคนต่างฐานะต่างวัยทั้งสี่ลดลงไม่น้อยทันที
มีคำกล่าวอยู่เสมอว่าบนโต๊ะสุราไม่มีความอาวุโส
แต่กระทั่งลำดับตอนนั่งยังจัดเป็นระเบียบ แล้วจะมีใครไม่สนใจความต่างของฐานะกับอายุตอนดื่มเหล้าชนจอกด้วยกันได้เล่า
หากความอาวุโสนี้นับแค่อายุละก็ ทุกคนคงสบายใจขึ้นมาก
แต่ถึงเป็นคนใจงามอันดับหนึ่งในใต้หล้าก็คงไม่รู้สึกเคารพขอทานเฒ่าอายุใกล้เจ็ดสิบที่อยู่หน้าประตูหรอก
ความอาวุโสไม่ใช่แค่ตัวเลขฉาบฉวยอย่างอายุแล้ว
มันแสดงถึงตำแหน่งและฐานะของคนมากกว่า
บางครั้งอาจมีประสบการณ์ด้วย
แต่ประสบการณ์เยอะไม่ได้แปลว่าตำแหน่งฐานะจะสูง
ผู้คนเคารพตี๋เหว่ยไท่ เคารพฮั่ววั่ง เคารพโอวหย่าหมิง ส่วนใหญ่แค่เคารพเก้าอี้ที่พวกเขานั่งอยู่ใต้ก้นกับยศบนหัวเท่านั้น
เก้าอี้ตัวนี้เปลี่ยนให้ใครนั่งผู้คนก็จะเป็นเช่นนี้ ยศนี้เปลี่ยนเป็นอยู่ที่ใครผู้คนย่อมเป็นเช่นเดียวกัน
โอวหย่าหมิงไม่ได้ดื่มสุรา แต่หันหน้าไปทางนอกหน้าต่างเหมือนอยากคว้าชั่วเวลาสุดท้ายของยามเย็นไว้เพื่อมองมันอีกหน่อย
“ข้ามาพบสหายที่นี่”
โอวหย่าหมิงกล่าว
นี่ไม่ต้องให้โอวเสี่ยวเอ๋อเอ่ยปากถาม
นางก็ไม่กล้าถามเหมือนกัน
ในฐานะสมาชิกตระกูลโอวคนหนึ่ง ผู้นำตระกูลย่อมเป็นสิ่งมีชีวิตสูงส่ง ไม่อาจสั่นคลอน
นางมีแค่หน้าที่ยอมรับ ตั้งใจฟัง ไม่โต้ตอบ
“สหายของท่านคือลู่หมิงหมิงหรือ”
หลิวรุ่ยอิ่งเอ่ยถาม
“อาจารย์ของเจ้านับเป็นคนหนึ่ง แต่ยังมีอีกสามคน”
โอวหย่าหมิงกล่าว
“แต่ดื่มสุรากานี้หมด พวกเจ้าสามคนรีบกลับไปเสียดีกว่า”
โอวหย่าหมิงกล่าว
หลิวรุ่ยอิ่งไม่เข้าใจ
เมื่อครู่โอวหย่าหมิงยังพูดอยู่เลยว่าตนอยากร่วมโต๊ะด้วย
อย่าว่าแต่ดื่มสุราสามรอบยกอาหารห้าจาน เมื่อครู่เขาแค่รินให้จิ่วซานปั้นจอกหนึ่ง ไม่นับเป็นครึ่งรอบด้วยซ้ำ
หลิวรุ่ยอิ่งไม่รู้ว่าทำไมพอมาถึงหอทรงปัญญาแล้วทุกคนโน้มน้าวให้ตนกลับกันหมด
ก่อนหน้านี้ตู้เยี่ยนชายชุดขาวโน้มน้าวให้ตนออกจากหอทรงปัญญา ตอนนี้โอวหย่าหมิงเพิ่งเจอหน้าก็โน้มน้าวให้ตนออกจากโต๊ะสุรานี้
“ไม่ทราบท่านหมายความว่าอย่างไร”
หลิวรุ่ยอิ่งเอ่ยปากถาม
แม้ประโยคนี้ฟังแล้วเหมือนมีท่าทีไม่พอใจเล็กน้อย แต่หลิวรุ่ยอิ่งไม่เข้าใจจริงๆ ถึงได้ออกปากถาม
“เพราะสหายสามคนของข้าค่อนข้างอารมณ์ร้อน”
โอวหย่าหมิงกล่าว
“อารมณ์ร้อน?”
หลิวรุ่ยอิ่งสงสัย
“ใช่ อารมณ์ร้อนมาก…ดีไม่ดีพอเจอหน้าก็แทบอยากสังหารข้าทิ้ง”
โอวหย่าหมิงกล่าวพลางยิ้มส่ายหน้าอย่างจนใจ
หลิวรุ่ยอิ่งรู้ว่าในใต้หล้ามีความสัมพันธ์อย่างหนึ่งเรียกว่าเพื่อนตาย
นั่นเป็นมิตรภาพที่เกิดขึ้นเพราะเคยประสบความเป็นความตายร่วมกัน
เพื่อนตายให้ความสำคัญกับการร่วมเป็นร่วมตาย ไม่ใช่เจ้าตายข้ารอดอย่างที่โอวหย่าหมิงพูด
ความสัมพันธ์เจ้าตายข้ารอดก็มีอยู่มากเหมือนกัน
นั่นเรียกว่าแค้น
สังหารเจ้าเพื่อล้างแค้น เพื่อแก้เผ็ด
ลองถามในโลกมีใครเห็นอริของตัวเองเป็นสหายบ้าง
สหายกลายเป็นอริมีเยอะแยะ อย่างหลิวจิ่งเฮ่ากับตู้เยี่ยนชายชุดขาวก็เป็นเช่นนี้
หากได้เป็นอริแล้ว เช่นนั้นก็จะไม่ได้แตะคำว่าสหายอีกต่อไป
แต่อริมักยึดติดยิ่งกว่าสหาย
สหายอาจเพราะความสัมพันธ์ชิดใกล้ สนิทสนมกันเลยมีท่าทีเฉื่อยชา
แต่อริไม่ใช่ อริจะจ้องมองเจ้าอย่างใกล้ชิดเหมือนแมลงวันและหมาป่าหิวโหย มีความตื่นตัวคล่องแคล่วอยู่เสมอ ไม่มีทางลดละแม้แต่น้อย
หลิวรุ่ยอิ่งไม่รู้ว่าควรนับสหายอารมณ์ร้อนสองสามคนที่โอวหย่าหมิงบอกเป็นประเภทไหน แต่เขาแน่ใจยิ่งว่าโอวหย่าหมิงเป็นคนแปลก
แปลกที่หนึ่งเป็นเพราะเขาสนิทสนมกับลู่หมิงหมิง
ลู่หมิงหมิงสามารถสละตำแหน่งสายบุ๋นอย่างจันทราโปร่งเหลืองขั้นเจ็ดมาตีเหล็กอยู่คนเดียวในเมืองจิ่งผิง เห็นได้ว่าเขาก็เป็นคนแปลกคนหนึ่ง
สหายของคนแปลกย่อมไม่มีทางปกติ มีแต่เป็นคนแปลกเหมือนกัน
แปลกที่สองเป็นรังสีงามสง่าทั่วกายของเขา
หากเขาร้องลมชมจันทร์ เต้นระบำเขียนกลอนแต่งบทประพันธ์ยังเหมาะสมกว่า
แต่ถ้าบอกว่าเขาเป็นผู้นำตระกูลโอว ‘บุตรแห่งกระบี่’ รุ่นปัจจุบันผู้มีความสัมพันธ์อันดียิ่งกับผู้แข็งแกร่งมากมาย บริหารร้านค้าอาวุธที่ดีที่สุดและเป็นนักหลอมกระบี่ที่เก่งกาจที่สุดแห่งใต้หล้าในปัจจุบัน ไม่ว่าอย่างไรก็ดูไม่น่าเชื่อ
แปลกที่สามเป็นคำพูดของเขา
อะไรคือ ‘ลูกหลานยุทธภพรุ่นข้าเคยสนใจธรรมเนียมจารีตเสียที่ไหน’
หากเริ่นหยางเป็นคนพูดคำเหล่านี้ออกมา หลิวรุ่ยอิ่งจะไม่แปลกใจเลยสักนิด
แม้ขั้นฝึกตนเขาสะเทือนฟ้า แต่อย่างไรก็เป็นจอกแหนบนยุทธภพ ลอยชายไปตามโลกอันวุ่นวาย ไม่เคยสนใจหลักจรรยาใดของคนอย่างแท้จริง
แต่โอวหย่าหมิงต่างกัน ไม่มีกฎเกณ์ย่อมทำอะไรไม่สำเร็จ
หากความสัมพันธ์ของผู้อาวุโสกับผู้อยู่เบื้องล่างวุ่นวาย แล้วจะบริหารงานในตระกูลใหญ่เช่นนี้ได้อย่างไร
แต่ดูจากจุดที่ตระกูลโอวรับสายเลือดนอกเข้ามาได้เรื่อยๆ คิดว่าต้องมีหัวก้าวหน้าอย่างยิ่งเหมือนกัน
ทว่าคำพูดน่าตกใจประโยคนี้ของโอวหย่าหมิงกลับทำให้หลิวรุ่ยอิ่งเหมือนโดนฟ้าผ่ากลางกระหม่อม
“เป็นอริของท่านหรือ”
จิ่วซานปั้นเอ่ยถาม
หลิวรุ่ยอิ่งหัวเราะในใจ
ความน่ารักของจิ่วซานปั้นอยู่ตรงที่เขาสามารถจิ้มทะลุกระดาษกรุหน้าต่างชั้นสุดท้ายในใจคนได้เสมอ
เมื่อครู่เขาครุ่นคิดมากมาย กลับไม่สู้การถามอย่างตรงไปตรงมาของจิ่วซานปั้นประโยคเดียว
“ใช่ พวกเขามีความแค้นกับข้า”
โอวหย่าหมิงพยักหน้ายอมรับตรงๆ
จากนั้นรินสุราให้ตัวเองจอกหนึ่ง เงยหน้าดื่มรวดเดียวหมด
“ข้าไม่กล้าดื่มเยอะ ไม่อย่างนั้นเดี๋ยวจะสู้แพ้พวกเขา”
ปากโอวหย่าหมิงพูดไปพลางรินให้ตัวเองอีกจอก
“ความแค้นแบบใดหรือ”
จิ่วซานปั้นเอ่ยถามไม่ยอมเลิก
“ความแค้นที่ไม่ตายไม่หยุด”
โอวหย่าหมิงกล่าวพลางดื่มสุราในจอกหมดอีกครั้ง แต่ไม่ได้รินให้ตัวเองอีก
“ดื่มสุราสามจอก จอกที่เหลือนั้นหากสู้จบแล้วยังไม่ตายค่อยดื่มแล้วกัน”
โอวหย่าหมิงถือกาสุราลังเลอยู่ครู่หนึ่งพลางกล่าว
“ในเมื่อเป็นความแค้นถึงขั้นไม่ตายไม่หยุด เหตุใดยังเป็นสหายอยู่อีก”
พูดถึงตรงนี้ หลิวรุ่ยอิ่งก็ปล่อยกายใจ ทิ้งความระมัดระวังและเอ่ยปากถาม
โอวเสี่ยวเอ๋อเบิกตากลมอยู่ด้านข้าง นางไม่เคยเห็นด้านนี้ของผู้นำตระกูลเลยจริงๆ
ความจริงนางก็ไม่ค่อยได้เจอผู้นำตระกูล
ตระกูลโอวใหญ่นัก แม้ยังไม่เทียบเท่าเขตติ้งซีอ๋อง แต่ภายในตระกูลอำนาจของผู้นำตระกูลสูงกว่าติ้งซีอ๋องฮั่ววั่งในเขตติ้งซีอ๋องเสียอีก ไม่มีพื้นที่ให้นางสามหาวอวดดีแม้แต่น้อย
“เพราะพวกเขาสังหารข้าไม่ได้ ข้าก็สังหารพวกเขาไม่ได้”
โอวหย่าหมิงกล่าว
“ต่างฝ่ายสังหารไม่ได้ ก็สังหารกันต่อไปเช่นนี้หรือ”
จิ่วซานปั้นเอ่ยถาม
“แน่นอนอยู่แล้ว การฆ่าล้างแค้นมีหลักล้มเลิกกลางทางเสียที่ไหน ย่อมต้องเห็นเลือดข้ากระเซ็นสามฉื่อ หัวหล่นบนพื้นถึงสบายใจ หากยังไม่พอ เช่นนั้นก็จุดไฟอีกกองเผาข้าเป็นเถ้าถ่าน”
โอวหย่าหมิงยิ้มกล่าว
“ฮ่าๆ หากแค้นถึงขั้นนี้จริง เผาเป็นเถ้าถ่านก็คงไม่พอ”
จิ่วซานปั้นกล่าว
“แล้วเจ้าเห็นว่าควรทำอย่างไร”
โอวหย่าหมิงเอ่ยถาม
เขายกกาสุรารินให้จิ่วซานปั้นอีกจอก พร้อมรินให้หลิวรุ่ยอิ่งจอกหนึ่งด้วย
“ข้าไม่ค่อยสนับสนุนให้สตรีดื่มสุราข้างนอก ไม่ใช่เพราะหัวโบราณ แต่เพราะโลกนี้มีคนจ้องเอาเปรียบมากเกินไป โดยเฉพาะกับหญิงงาม”
โอวหย่าหมิงรินสุราเสร็จแล้วกล่าวกับโอวเสี่ยวเอ๋อ
โอวเสี่ยวเอ๋ออายนิดหน่อย ทั้งที่รู้ว่าผู้นำตระกูลเป็นห่วงตน แต่นึกถึงสภาพตนดื่มสุราร้องเพลงลั่นในวันปกติแล้วรู้สึกผิดในใจเล็กน้อย
“แม้การฝึกตนของเจ้าจะสูง กระบี่ชงโคตระกูลโอวของพวกเราก็แหลมคมพอ แต่อุบายของบุรุษใช่ว่าฝึกตนสูง กระบี่แหลมคมแล้วจะหลบได้ง่าย”
โอวหย่าหมิงกล่าวต่อ
หลิวรุ่ยอิ่งนั่งไม่ติดเล็กน้อย คำพูดนี้เหมือนกำลังว่าเขากับจิ่วซานปั้น
ไม่รู้จิ่วซานปั้นฟังเข้าใจหรือเปล่า เขายังคงไม่สะทกสะท้าน แต่หลิวรุ่ยอิ่งไม่ค่อยสบายใจ แม้เขาไม่มีความคิดอยากเอาเปรียบโอวเสี่ยวเอ๋อแต่อย่างใด แต่เขาก็ต้องยอมรับว่าโอวเสี่ยวเอ๋อเป็นผู้หญิงมีเสน่ห์รูปโฉมงดงามยิ่งคนหนึ่ง
ความแตกต่างรวมอยู่ในตัวเช่นนี้ คงมีไม่กี่คนที่ไม่หวั่นไหว
“แต่สหายทั้งสองของเจ้าดียิ่ง ฉะนั้นจะดื่มสุราก็ไม่เป็นไร ถ้าอยากดื่มให้เมาหนักสักหนก็ตามใจเจ้าเลย”
โอวหย่าหมิงพูดเปลี่ยนหัวข้อ ทำให้หลิวรุ่ยอิ่งสบายใจขึ้นเยอะ
จิ่วซานปั้นฟังประโยคนี้เข้าใจ
คำพูดดีๆ เขาฟังรู้เรื่องทั้งหมด
เพียงเห็นเขามองโอวเสี่ยวเอ๋ออย่างภูมิอกภูมิใจ เหมือนกำลังพูดว่า ‘ข้าเป็นคนดีนะ! ผู้นำตระกูลพวกเจ้าเป็นคนบอกเชียว!’
“ข้าว่านะ ต้องเอาขี้เถ้าที่เผาเสร็จแล้วผสมสุราดื่มด้วย จากนั้นค่อยถ่ายออกมาถึงจะสะใจ!”
จิ่วซานปั้นกล่าว
“จริงแท้ๆ ประเดี๋ยวข้าบอกพวกเขาเช่นนี้ ลองดูว่าทำได้หรือไม่”
โอวหย่าหมิงตบมือหัวเราะลั่น
ยามนี้เอง โถงใหญ่ที่คึกคักในตอนแรกเงียบลงหลายส่วนทันใด
……………………………………..