ศึกยุทธ์ใต้ขุนเขาเงาจันทรา - บทที่ 116 ไม่ทำลายไม่อาจสร้าง-3
บทที่ 116 ไม่ทำลายไม่อาจสร้าง-3
หลิวรุ่ยอิ่งไถก้นไปด้านหลัง
ให้หลังของตัวเองพิงบานประตู
เขาไม่มีอารมณ์สนใจความเปลี่ยนแปลงภายในกายอีกแล้ว
ตรงกันข้าม หลิวรุ่ยอิ่งรู้สึกตัวเองผ่อนคลายอย่างไม่เคยมีมาก่อน
หนทางแห่งการฝึกยุทธ์ที่ยาวนานสิบกว่าปีห่อหุ้มเขาไว้ข้างในอย่างแน่นหนาเหมือนรังไหม
รังไหมชั้นนี้หนาเกินไป ห่อตัวเขาแน่นเหลือเกิน
ถึงขั้นทำให้เขาหายใจไม่ออก
นับแต่โบราณมา สิ่งที่ยากตัดสินที่สุดก็คือเกียรติยศกับความทะนง
หลิวรุ่ยอิ่งเป็นคนหยิ่งในศักดิ์ศรีมากคนหนึ่ง แต่นี่ไม่ใช่ความทะนงอย่างหนึ่งหรอกหรือ
เขาไม่นับเป็นคนมีพรสวรรค์ แต่เปรียบเทียบกันแล้ว หลิวรุ่ยอิ่งมีความสามารถพอ หัวสมองก็หลักแหลม
เพียงแต่เกียรติยศนั้นต้องการกำลังมากพอไปสนับสนุน
ในฐานะผู้ฝึกยุทธ์ ขอบเขตการฝึกตนวิถียุทธ์ก็คือกำลังสนับสนุน
รังไหมนี้ดูแล้วชวนให้คนสะอิดสะเอียน
แต่ไม่มีใครรู้ว่าข้างในกลายเป็นผีเสื้อที่งดงามแล้วหรือยัง
หากหลิวรุ่ยอิ่งมีขอบเขตเทพบริราชเก้าทวีปอย่างชายชุดขาวตรงหน้า เขาอาจทลายรังไหมกลายเป็นผีเสื้อได้
แต่ตอนนี้กระทั่งศักดิ์ศรีขั้นพื้นฐานเขายังไม่มีแรงรักษาไว้
จู่ๆ หลิวรุ่ยอิ่งก็อยากดื่มสุรามาก
ต่อให้เป็นไหสุราผสมของเซียวจิ่นข่านก็ไม่เป็นไร
เขาไม่ใช่คนดื่มสุราเป็น
คอก็ไม่แข็ง
แต่เขากลับหลงใหลความรู้สึกหลังดื่มจนเมา
ทุกครั้งที่เมาสุราเขารู้สึกเหมือนได้รับชีวิตใหม่
ถึงเมาสุราแล้วอ้วกเละเทะดูเหมือนขายหน้ายิ่ง
แต่นี่ไม่ใช่วิธีละทิ้งศักดิ์ศรีและความทะนงทั้งหมดหรอกหรือ
วางมาดนานเกินไป ย่อมต้องหาเวลาวางลงบ้าง
แม้พรุ่งนี้ต้องหยิบขึ้นมาอีก แต่ขอเพียงวางลงสักประเดี๋ยวก็รู้สึกผ่อนคลายได้ครู่หนึ่ง
การเมาสุราย่อมเป็นชั่วขณะที่ดีที่สุดเช่นนี้
แต่ตอนนี้หลิวรุ่ยอิ่งไม่มีสุรา
หากตนดื่มจนเมาเละก่อนชายชุดขาวฆ่าเขาตาย เช่นนั้นการตายครั้งนี้ก็คงไม่เจ็บปวดมากนัก
เพียงแต่หลิวรุ่ยอิ่งพูดไม่ออก เขายังวางศักดิ์ศรีที่เหลืออยู่น้อยนิดแล้วเอ่ยปากขอสุราดื่มกับชายชุดขาวไม่ลง
หลิวรุ่ยอิ่งยื่นมือหยิบกระบี่เจ็ดถ้อยสันดาปเล่มนั้นออกจากในอก
ในอกเขามีสองฉบับ
ฉบับหนึ่งคือต้นฉบับ ฉบับหนึ่งคือฉบับคัดลอกของเขา
เขามองอักษรบนหน้าปก พลันโยนกระบี่เจ็ดถ้อยสันดาปสองเล่มนี้ไปข้างหน้าทั้งหมด
“เจ้าก็อยากได้สิ่งนี้กระมัง”
หลิวรุ่ยอิ่งเอ่ย
“นี่คืออะไร”
ชายชุดขาวอยู่ไกลทั้งยังอับแสง เขามองอักษรด้านบนไม่ชัด
“กระบี่เจ็ดถ้อยสันดาป นี่ไม่ใช่เป้าหมายของพวกเจ้าหรอกหรือ”
หลิวรุ่ยอิ่งเอ่ย
“ข้าไม่มีเป้าหมายต่อสิ่งอื่นใด เป้าหมายของข้ามีเพียงเจ้า”
ชายชุดขาวกล่าว
“กระบี่เจ็ดถ้อยสันดาปเป็นของดี น่าเสียดายที่ไม่มีประโยชน์ต่อข้า”
ชายชุดขาวส่ายหน้ากล่าว
การฝึกตนของเขาสำเร็จแล้ว ไม่จำเป็นต้องเปลี่ยนวิทยายุทธ์อีก
ต่อให้สมบัติมีชื่อสะเทือนใต้หล้าวางอยู่ตรงหน้าก็ไม่มีทางหวั่นไหวแม้แต่น้อย
เพราะศักดิ์ศรีของเขาไม่จำเป็นต้องใช้ของพวกนี้มาสนับสนุนแล้ว
ความทะนงของเขาก็บรรลุถึงขีดสุดเหมือนการฝึกตนขอบเขตเทพบริราชเก้าทวีป
ความทะนงถึงขีดสุดก็คือการไม่ปรารถนาหรือร้องขอ
สิ่งที่ได้มาคือความมั่นคง
สิ่งที่มีอยู่ดีที่สุดแล้ว เหตุใดต้องไปฝังใจอิจฉาคนอื่นอีก
แต่หลิวรุ่ยอิ่งไม่เข้าใจ นายกองกรมสอบสวนตัวเล็กๆ อย่างตนมีคุณสมบัติอะไรให้เทพบริราชเก้าทวีปคนหนึ่งมาสังหารเขาด้วยตนเอง
มนุษย์แท่งน้ำแข็งบรมภูมิคนหนึ่งทำให้เขาเจออันตรายติดกันครั้งแล้วครั้งเล่าจนเกือบตายคาที่
แม้บอกว่าสิงโตจับกระต่ายก็ทุ่มเทสุดแรงเหมือนกัน
แต่สัตว์ป่าไม่มีความคิด
พวกมันไม่อาจปรับพฤติกรรมของตัวเองได้เหมือนคน
เทพบริราชเก้าทวีปคนใดล้วนไม่มีทางไปมาคนเดียว
ต่อให้เป็นขอทานหัวมุมถนนก็ยังมีสหายร่วมอุดมการณ์สองสามคน
หนำซ้ำด้วยขอบเขตการฝึกตนของเขา แค่เอ่ยปากนิดหน่อยก็หาคนที่พร้อมถวายชีวิตให้เขาได้แน่นอน
อย่างไรล้วนไม่ถึงขั้นลงมือด้วยตัวเอง
“แล้วตอนนี้บอกข้าได้หรือไม่ว่าข้ามีอะไรพิเศษกันแน่”
หลิวรุ่ยอิ่งเอ่ยถาม
ก่อนหน้านี้ชายชุดขาวบอกว่าชีวิตของเขามีค่ายิ่งกว่า แต่กลับไม่ได้พูดต่อ
หลิวรุ่ยอิ่งคิดว่าการทำความเข้าใจปัญหานี้ก่อนแล้วค่อยตายอย่างกระจ่างแจ้งไม่ใช่สิ่งที่ขอมากเกินไป
ต่อให้กรมสอบสวนจับคนมาตัดหัวก็ต้องเอ่ยถึงความผิดสักสองสามอย่างไม่ใช่หรือ
จะให้เป็นคนสับสนงงงวยโดยไม่มีคำอธิบายเลยก็ไม่ได้
“เจ้าไม่รู้หรอกหรือ”
ชายชุดขาวถามด้วยความแปลกใจยิ่ง
“ข้าไม่เข้าใจสักนิด ไม่งั้นข้าจะถามเจ้าอีกทำไม ตายไปอย่างสงบเช่นนี้ยังถือว่ามีศักดิ์ศรีอยู่บ้าง”
หลิวรุ่ยอิ่งเอ่ย
“เจ้าเป็นคนหนุ่มที่ไม่เลวเลยทีเดียว เพียงแต่ให้ความสำคัญกับศักดิ์ศรีมากเกินไป”
ชายชุดขาวกล่าว
“เอาเถอะ…ในเมื่อเจ้าไม่รู้จริงๆ ข้าก็จะบอกความจริงกับเจ้า ถือว่าให้เจ้าตายอย่างสบายใจ”
เพิ่งสิ้นเสียงพูดชายชุดขาว
หน้าต่างข้างกายหลิวรุ่ยอิ่งแตกละเอียดฉับพลัน
เงาร่างชุดขาวสายหนึ่งแวบเข้าในห้อง
คนผู้นี้ไม่ได้คลุมหน้า แต่หันหลังให้หลิวรุ่ยอิ่ง ทำให้เขาไม่เห็นหน้าตา
ยืนมือไพล่หลัง รูปร่างสูงใหญ่
หลิวรุ่ยอิ่งเห็นมือของเขาดูอ่อนนุ่มยิ่งกว่าชายชุดขาวเสียอีก
เพียงแต่ข้อกระดูกบนฝ่ามือใหญ่เป็นพิเศษ ดูก็รู้ว่าฝึกฝนวิทยายุทธ์ทางกายที่รุนแรงหนักหน่วง
หลิวรุ่ยอิ่งจำได้ว่าตัวเองเหมือนเคยเห็นมือคู่นี้ที่ไหน แต่ตอนนี้ทำอย่างไรก็นึกไม่ออก
“ไม่นึกว่าเจ้าตามอยู่ข้างกายเขาตลอด?”
ชายชุดขาวดาบคู่กล่าว
“ข้าแค่มาถึงพอดี”
ชายชุดขาวที่พังหน้าต่างเข้ามากล่าว
หลิวรุ่ยอิ่งจำเสียงนี้ได้แล้ว
ทั่วทั้งใต้หล้ามีแค่คนเดียวที่มีน้ำเสียงทรงพลังและไม่ขาดความอ่อนโยนเช่นนี้
แม้ตอนนั้นหลิวรุ่ยอิ่งได้เพียงคุกเข่าอยู่สุดหางแถวของขบวน กระทั่งเงยหน้ายังไม่กล้า แต่เสียงนี้ดังลอดเข้าสองหู ทำให้ชั่วชีวิตเขาไม่อาจลืมเลือน
ฉิงจงอ๋อง หลิวจิ่งเฮ่า
บุรุษผู้ยืนอยู่จุดสูงสุดแห่งใต้หล้า เป็นผู้นำห้าอ๋อง
ครั้งหนึ่งหลิวรุ่ยอิ่งคิดว่าจิตใจของตนสับสนเล็กน้อย แต่ความแน่ชัดในใจกลับไม่อาจลบไปโดยสิ้นเชิง
“ข้าไม่อยากลงมือ”
ฉิงจงอ๋องหลิวจิ่งเฮ่ากล่าวกับชายชุดขาว
“หากอยู่เมืองหลวงเจ้าชนะแน่ แต่เกรงว่าตอนนี้เจ้าต้องแบ่งความสนใจมาดูแลเขาด้วย เช่นนั้นระหว่างข้ากับเจ้าก็เสมอกัน”
ชายชุดขาวกล่าว
เขาเผชิญหน้าฉิงจงอ๋องหลิวจิ่งเฮ่าแล้วยังอวดดีได้ขนาดนี้ ทำให้หลิวรุ่ยอิ่งตกตะลึงไม่น้อย
“ไว้หน้าข้าสักครั้งไม่ได้เชียวหรือ”
หลิวจิ่งเฮ่าถามด้วยน้ำเสียงหารือ
ชายชุดขาวครุ่นคิด กลับส่ายหน้าอย่างเชื่องช้า
“ข้ารับปากสหายไว้แล้ว ข้าไม่อยากผิดสัญญา”
ชายชุดขาวกล่าว
“บังเอิญจริง ข้ารับปากสหายของข้าไว้เหมือนกัน ข้าก็ไม่อยากผิดสัญญา”
หลิวจิ่งเฮ่าเอ่ย
หลิวรุ่ยอิ่งไม่รู้ว่าสหายที่อีกฝ่ายพูดถึงเป็นใคร แต่ชัดเจนว่าคนนั้นขอร้องให้หลิวจิ่งเฮ่ามาคุ้มครองตน
ต่อให้คิดจนหัวระเบิดเขาก็คิดไม่ออกว่าตัวเองไปรู้จักสหายที่ยอดเยี่ยมเช่นนี้เอาตอนไหน
ถึงขั้นประโยคเดียวก็ทำให้ฉิงจงอ๋องหลิวจิ่งเฮ่าเดินทางไกลหมื่นลี้จากเมืองหลวงมาหอทรงปัญญาได้
“เจ้าหนุ่มน้อย หลบไปหน่อย อีกเดี๋ยวอาจเสียงดังอยู่บ้าง”
หลิวจิ่งเฮ่ากล่าวพลางหันกายเล็กน้อย
หลิวรุ่ยอิ่งพยักหน้าอย่างมึนงง ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นตรงหน้าเกินขอบเขตความเข้าใจของเขาไปแล้ว ทำให้เขาพูดไม่ออกสักคำ
หลิวจิ่งเฮ่าเห็นหลิวรุ่ยอิ่งหลบจนมีที่ว่างแล้ว เขาจึงยื่นมือขวาตรงไปหาชายชุดขาว
ชายชุดขาวแกว่งดาบคู่ บุกโจมตีทันที
ดาบหนึ่งฟันบนมือของหลิวจิ่งเฮ่า ทว่าเกิดเป็นเสียงโลหะ!
สองมือของหลิวจิ่งเฮ่าไม่ต่างกับดาบของชายชุดขาวแล้ว
ฉากนี้ทำให้หลิวรุ่ยอิ่งขวัญหนีดีฝ่อโดยแท้!
หลิวจิ่งเฮ่าพลิกมือคว้าดาบของชายชุดขาวไว้ จากนั้นพลันใช้แรงดึง
ชายชุดขาวเดินเซไปข้างหน้าสองสามก้าวด้วยถูกแรงมหาศาลฉุดดึง แต่ไม่นานก็ทรงตัวได้อีกครั้ง
แม้ดาบเล่มหนึ่งถูกหลิวจิ่งเฮ่ากำไว้แน่น แต่อย่าลืมว่าชายชุดขาวยังมีดาบอีกเล่ม
หลังจากเขาเพิ่งทรงตัวได้ ดาบขวาของชายชุดขาวพุ่งเข้ามาใหม่ แทงเข้าตรงหน้าหลิวจิ่งเฮ่า
ชายชุดขาวมีดาบสองเล่ม
แต่หลิวจิ่งเฮ่าก็มีสองมือเช่นกัน
เพียงเห็นมือซ้ายกันไว้ตรงหน้า ฝ่ามือหันออกนอก หลังมือหันเข้าใน
ดาบของชายชุดขาวแทงตรงฝ่ามือเขาอย่างแม่นยำ
ชัดทีเดียว ดาบนี้หลิวจิ่งเฮ่าก็รับลำบากเหมือนกัน
เพราะหลังมือของเขางอลงเล็กน้อย ฝ่ามืออยู่ในรูปถ้วยใบเล็ก ดาบกระบี่ของชายชุดขาวก็ถูกถ้วยเล็กนี้ครอบไว้ด้านใน ไม่อาจเดินหน้าถอยหลัง
“หัตถ์ราชันธรณีรวมศูนย์ สมคำร่ำลือจริง”
ชายชุดขาวกล่าว
“ดาบคู่ตาข่ายเมฆาของเจ้าเกือบดีแล้ว”
หลิวจิ่งเฮ่าเอ่ย
ฝ่ามือซ้ายเขาเหยียดตรงฉับพลัน ดันปลายดาบของชายชุดขาวออกไป
การฝึกตนทั้งหมดของหลิวจิ่งเฮ่าล้วนอยู่บนสองมือนี้
มือคู่นี้สามารถคลึงเคล้าผมสลวยกับหน้าอกของหญิงงาม ทั้งยังบดขยี้ความเปราะบางและความนุ่มนวลนับพันหมื่นในโลกให้แหลกคามือได้
ทว่าสิ่งที่เขาทำบ่อยที่สุดยังเป็นการใช้มือคู่นี้ตบเปลือกไม้แข็งหยาบเย็นเยียบบนตัวเอ้าเสวี่ยโหว พี่น้องร่วมสาบานในเมืองหลวง
………………………………………