ศึกยุทธ์ใต้ขุนเขาเงาจันทรา - บทที่ 115 ไม่ทำลายไม่อาจสร้าง-2
บทที่ 115 ไม่ทำลายไม่อาจสร้าง-2
ขั้นฝึกตนวิถียุทธ์ของชายชุดขาวบรรลุถึงเทพบริราชเก้าทวีป!
มีเพียงผู้บรรลุขอบเขตนี้เท่านั้นถึงจะมีพลังปราณคุ้มกายชั้นบางๆ อยู่ภายนอกตลอดเวลา
แม้เบาบางยิ่ง แต่แข็งแกร่งยากทะลวง
ไม่ว่าเป็นอาวุธมองเห็นเช่นดาบกับหอกหรืออาวุธลับอย่างการขว้างหมากล้วนไร้จุดให้ลงมือ เพราะรอบกายของเขาไม่มีช่องโหว่แล้ว
“รู้ตัวแล้ว?”
ชายชุดขาวเอ่ยถาม
“ไม่นึกว่าชีวิตของข้าจะมีราคาเช่นนี้”
หลิวรุ่ยอิ่งยิ้มเจื่อน
“ชีวิตของทุกคนล้วนสูงค่านัก เพียงแต่ชีวิตเจ้าสำคัญกว่าคนอื่นมากจริงๆ”
ชายชุดขาวกล่าว
ใจหลิวรุ่ยอิ่งสงสัย แต่ชายชุดขาวไม่มีทีท่าจะอธิบายต่อแต่อย่างใด
ยามนี้ เขากลับรู้สึกเจ็บแปลบในท้องน้อยฉับพลัน
รุนแรงกว่าความเจ็บปวดในเส้นลมปราณแขนขวาก่อนหน้านี้ร้อยเท่า
ทำให้ทั่วทั้งร่างเขาสั่นเทาเล็กน้อย เอวก็โค้งลงหน่อยหนึ่ง
ตอนนี้ธรรมลักษณ์บรมครูที่เงียบสงบอยู่ใจกลางอินหยางสองขั้วกลับมามีกำลังอีกครั้งแล้ว คนตัวเล็กนั่นลุกขึ้นยืนจากแท่นสวรรค์ ชี้พื้นที่ว่างเปล่าจุดดาราสวรรค์มืดมัวด้านบนนั้นให้สว่างขึ้น
เพียงเห็นดาราสวรรค์นั้นเคลื่อนย้ายตามนิ้วมือของเขา ธรรมลักษณ์บรมครูเลื่อนนิ้วลง ดาราสวรรค์นั้นก็ลากหางยาวสายหนึ่งออกมากลางอากาศอย่างเต็มที่
แสงดาวแวววาม รวมตัวไม่แตกกระจาย
ธรรมลักษณ์บรมครูกางนิ้วมือขวาทั้งห้า ดาราสวรรค์ก็ถูกดึงเข้ามาอย่างช้าๆ ด้วยแรงฉุดไร้ที่มา
เมื่อถึงเบื้องหน้า เขาคว้าดาราสวรรค์ไว้บนมือและถือเล่นสลับมือซ้ายขวา
จากนั้นดึงทางด้านหลังอีกครั้ง กระบี่หยางแท้อวี้จิงก็ลอยอยู่ตรงหน้า
ธรรมลักษณ์บรมครูวางดาราสวรรค์บนด้ามกระบี่หยางแท้อวิ้จิง เหมือนลูกตุ้มตาชั่งตกในบ่อโคลน ดาราสวรรค์ค่อยๆ จมลงจนมิดไม่เหลือร่องรอย
แสงดาวไม่ชัดเจน หลิวรุ่ยอิ่งเพิ่งเห็นว่าธรรมลักษณ์บรมครูดูเป็นรูปเป็นร่างกว่าก่อนหน้านี้หลายส่วน
โดยเฉพาะเครื่องหน้าที่คลุมเครือมองไม่ชัดในตอนแรก ยามนี้กลับเห็นจมูกกับปากได้ชัดแล้ว
เพียงแต่ตำแหน่งของดวงตายังพร่ามัวเล็กน้อย เหมือนแฝงด้วยพลังแสงกลุ่มหนึ่งที่ยังก่อร่างไม่สมบูรณ์
จากนั้น ธรรมลักษณ์บรมครูถือกระบี่พลันกระโดดลงจากแท่นสวรรค์ โลกใบเล็กนี้ลดลงตามเงาร่างของเขาและถูกดูดเข้าร่างกายของเขาเหมือนระลอกคลื่น
เขายืนอยู่ตรงอินหยางสองขั้ว แทงลงกระบี่หนึ่ง อินหยางสองขั้วปรากฏรอยร้าว
แหล่งความเจ็บปวดรุนแรงของหลิวรุ่ยอิ่งเกิดขึ้นเพราะสิ่งนี้
เขาไม่รู้ธรรมลักษณ์บรมครูทำเช่นนี้เพื่ออะไร
อินหยางสองขั้วเกิดความเสียหาย พลังปราณทั่วกายเขาไหลออกเจ็ดแปดส่วนทันที
ส่วนที่เหลือ กลับเพียงพอให้เขาฝืนประคองร่างไว้เท่านั้น
“อ่อก!”
หลิวรุ่ยอิ่งพ่นเลือดสดออกมาคำใหญ่
ชายชุดขาวเห็นแล้วรีบร้อนถอยหลังไกลสองจั้ง
กลัวเลือดของหลิวรุ่ยอิ่งทำเสื้อผ้าเขาสกปรก
นึกไม่ถึงว่าชายชุดขาวยังเป็นโรครักสะอาดขั้นรุนแรงเช่นนี้ด้วย
ชายชุดขาวถอยหลังแล้วเลิกคิ้วมองหลิวรุ่ยอิ่ง
เขาคิดไม่ตกจริงๆ ว่าเหตุใดหลิวรุ่ยอิ่งถึงกระอักเลือด
แม้พลังปราณที่กระบี่เมื่อครู่ส่งมาจะเกินสภาพปกติของบรมภูมิเทียมไปมาก
แต่มนุษย์ก็เป็นสิ่งมีชีวิตยอดเยี่ยมที่ประกอบด้วยความเหลือเชื่อนับไม่ถ้วนอยู่แล้ว
ไขว่คว้าตำแหน่งแห่งที่ชั่วกาล ก้าวข้ามขีดกำจัดอยู่เสมอ นี่จึงจะเป็นมนุษย์
มนุษย์เกิดมาไม่มีปีก ไม่อาจบินร่อนที่ขอบฟ้าได้เหมือนอินทรี
ทั้งไม่มีกรงเล็บคมและฟันแหลมที่จะจู่โจมถึงชีวิตในคราวเดียวเหมือนเสือกับหมาป่า
มีเพียงจิตวิญญาณที่ไม่หยุดพัฒนาให้สมบูรณ์ระหว่างต่อกรกับธรรมชาติและประลองกับอานุภาพแห่งฟ้าดิน
เพราะมีจิตวิญญาณเช่นนี้ถึงได้สร้างความเหลือเชื่อนับไม่ถ้วน จึงมีธารหลักกับสาขาย่อยของสามลัทธิเก้าสำนักอย่างบุ๋น บู๊และศิลป์นับไม่ถ้วน
หนำซ้ำบรมภูมิเทียมก็ไม่ใช่วิถีฝึกยุทธ์ตามหลักทั่วไปอยู่แล้ว
ในเมื่อหลิวรุ่ยอิ่งฝึกตนเป็นบรมภูมิเทียม นั่นแปลว่าเดิมเขาก็เป็นคนเหลือเชื่อคนหนึ่ง
คนเหลือเชื่อใช้พลังเกินขอบเขต ย่อมเหมาะสมอย่างยิ่ง!
ชายชุดขาวแค่เป็นฝ่ายป้องกัน ไม่ได้ออกกระบวนท่าแม้เพียงครึ่ง
หลิวรุ่ยอิ่งพ่นเลือดคำนี้แล้วไม่อาจประคองท่ายืนได้อีก
เขาใช้กระบี่ดารายันพื้น คุกเข่าลงไปข้างเดียว
ก้มหน้า รวดร้าวหมื่นส่วน
เทียบกับความเจ็บปวด ในใจหลิวรุ่ยอิ่งเกิดความรู้สึกหลากหลายยิ่งกว่า
ลำบากฝึกฝนสิบกว่าปีถึงมีขั้นฝึกตนในวันนี้ กลับถูกธรรมลักษณ์บรมครูที่จู่ๆ ก็เกิดขึ้นเองทำลายในหนึ่งกระบี่
แต่ในกายตอนนี้เหมือนธรรมลักษณ์บรมครูนั่นไม่พอใจที่อินหยางสองขั้วเกิดแค่รอยร้าว
สองมือเขาจับด้ามกระบี่หยางแท้อวี้จิง หมุนครึ่งวงกลมในทิศตรงกันข้าม
การหมุนนี้กลับทำให้อินหยางสองขั้วพังทลายถึงขีดสุด
ทลายและหลุดร่วงทีละชิ้นใหญ่จากในสู่นอก จากนั้นหายไปไม่เหลือร่องรอย
“อ่อก!”
หลิวรุ่ยอิ่งพ่นเลือดสดคำใหญ่
เลือดคำนี้ไม่ได้เกิดเพราะอินหยางสองขั้วพังทลาย
แต่เป็นเพราะยามนี้หัวใจเขาเหมือนขี้เถ้ามอดดับ
หากคนคนหนึ่งอาศัยอยู่ในคลองมืดทั้งวัน อย่างน้อยก็ยังมีฟ้าให้แหงนมองดาว ยังมีแสงลวงตาให้เพ้อฝัน ยังมีความงดงามมากมายควรค่าให้พยายามไขว่คว้าเสมอ
แต่หลิวรุ่ยอิ่งไม่ใช่คนที่อาศัยอยู่ในคลองมืด
กรมสอบสวนดำมืดก็จริง แต่ตำแหน่งและสถานภาพของเขาก็กำหนดอำนาจไว้ในตัวเขาแล้ว
เกิดจากสิ่งนี้ เขาย่อมมุ่งแสวงความก้าวหน้า
แม้ในใจมีแสงลวงตาที่อยากไปไขว่คว้าเหมือนกัน แต่สิ่งที่เขามีอยู่นั้นคือฟ้าพร่างดาวที่คนอื่นใฝ่ฝัน
บัดนี้ฟ้าพร่างดาวทลายเป็นเสี่ยงๆ แสงลวงตาเหล่านั้นย่อมไม่สำคัญอีกแล้ว
แม้การที่ชาวนาไปเป็นฮ่องเต้จะมีช่องว่างใหญ่ยิ่ง แต่ขอเพียงให้เวลามากพอ ช้าเร็วต้องปรับตัวเข้ากับบทบาทได้ ไม่จำเป็นต้องทำได้แย่เสมอไป
อย่างไรล้วนไม่มีใครถูกกำหนดให้เป็นฮ่องเต้ตั้งแต่เกิด
ฮั่ววั่งเองก็เดินบนทางกระดูกขาวท่ามกลางภูเขาศพทะเลเลือดถึงได้มีวันนี้
แต่ถ้าให้ฮ่องเต้ผู้นี้หันกลับไปเป็นชาวนาอีกครั้ง
คงมีไม่กี่คนที่รับความห่างชั้นเช่นนี้ได้
ประหยัดเปลี่ยนเป็นฟุ้งเฟ้อนั้นง่าย ฟุ้งเฟ้อเปลี่ยนเป็นประหยัดนั้นยาก
แล้วความพยายามกับการผจญโลกหลายปีนี้ของหลิวรุ่ยอิ่งจะสรุปด้วยความประหยัดฟุ้งเฟ้อได้อย่างไรล่ะ
ขณะทบทวน เขานึกถึงฐานะของตัวเองรวมถึงความรับผิดชอบต่อความผิดที่แบกรับไว้
ลูกล้วนนับถือพ่อแม่ โดยเฉพาะตอนพ่อแม่ของตนเป็นวีรบุรุษผู้แข็งแกร่งของผู้คนนับพันหมื่นยิ่งเป็นเช่นนั้น
ระหว่างเติบโตอาจต่อต้านหรือขัดแย้ง แต่ส่วนลึกในใจเขายังคงเปี่ยมด้วยความเคารพนับถือ
การต่อต้านกับการขัดแย้งเป็นเพียงเกราะป้องกันความน้อยเนื้อต่ำใจของเขา
เมื่อญาติทางสายเลือดที่ล้ำค่าที่สุดของตนเป็นยอดเขาผาชันเกินเอื้อมอยู่ตรงหน้า
ยังมีใครทะนงตนได้อีก
แต่การเติบโตต้องใช้เวลา
ยอดเขาไม่ได้ผุดจากอากาศ ผาชันก็ไม่ได้เกิดในทันที
ต่างคนทุ่มเทแสดงฝีมือในการแข่งขันไม่หยุดหย่อนแล้วมีโชคมากกว่าคนอื่นอยู่บ้างทั้งนั้น
แต่เรื่องโชคก็เหมือนกัน ทำไมถึงหล่นอยู่บนหัวแค่คนสองคน
เพราะพวกเขาคู่ควร
หลิวรุ่ยอิ่งเติบโตมากับการจ้องมองแสงรอบตัวของพ่อแม่ที่ตายไป แม้ยอดเขาผาชันตรงหน้าเขาไม่ชัดเจนเท่าของคนอื่น แต่มันกลับเป็นแรงขับเคลื่อนให้เขาได้พอดี
ยิ่งไม่รู้ ยิ่งชวนให้คนใคร่รู้
ใคร่รู้แล้วยังกระตุ้นความคิดให้อยากไปสืบหาจนชัดแจ้ง
แต่ความคิดนี้ต้องการกำลังมากพอมาสนับสนุน
หลิวรุ่ยอิ่งไม่เคยคิดว่าตัวเองดีเด่น แต่เขารู้ว่าตลอดทางนี้ตนทำได้ไม่เลวเลย
แม้ช่วงเกียจคร้านปัดความรับผิดชอบก็มีอยู่ไม่น้อย
แต่ใครไม่เคยเป็นเด็กหนุ่มบ้างล่ะ
ไม่ทำเรื่องไร้เหตุผลสักสองสามอย่างในวัยต่อต้าน นั่นจึงจะเสียเปล่าอย่างแท้จริง
ความจริงเราทำตัวไร้เหตุผลได้ทุกเมื่อ ไร้เหตุผลนานเท่าไรก็ย่อมได้
ขอแค่สุดท้ายเข้าใจได้ว่าที่ตัวเองทำเช่นนั้นเรียกว่าไร้เหตุผลเป็นพอ
เห็นอินหยางสองขั้วกลายเป็นความว่างเปล่าทั้งหมด ธรรมลักษณ์บรมครูเอามือไพล่หลังและก้าวเดินอยู่ในตันเถียนที่ว่างเปล่าอย่างพึงใจยิ่ง คล้ายกำลังชื่นชมผลงานของตัวเอง
หลิวรุ่ยอิ่งหย่อนก้นนั่งบนพื้นเสียเลย
คุกเข่ามักทำให้คนไม่สบายตัว
ตัวหลิวรุ่ยอิ่งไม่มีความหวังใดแล้ว
ต่อให้ตอนนี้มีคนพังประตูมาช่วยเขาก็ไม่จำเป็น
ตรงกันข้าม เขาแค่อยากจบทั้งหมดนี้ให้เร็วหน่อย
เขารู้ว่าทุกอย่างที่เกิดขึ้นล้วนจริงแท้ยิ่ง
เขาจึงจ้องดาบคู่ในมือชายชุดขาวไม่กะพริบ
เขาอยากเลือกจุดจบที่เด็ดขาดที่สุดให้ตัวเอง
ถึงขั้นเริ่มวิเคราะห์ว่าดาบคู่นี้ต้องแทงเข้าร่างด้วยมุมและแรงแบบใดถึงทำให้เขาจบชีวิตได้โดยไม่เจ็บปวด
ดาบของชายชุดขาวเป็นดาบหน้าแคบ
แม้ความยาวไม่ต่างกับอันอื่น แต่หน้าดาบกว้างเพียงหนึ่งในสามส่วน
หากไม่ได้มีคมดาบแค่ด้านเดียว มองแวบแรกไม่ต่างกับกระบี่โดยสิ้นเชิง
ดาบเช่นนี้คุณสมบัติการแทงทะลุยอดเยี่ยม แต่กำลังในการฟันหรือผ่าไม่เพียงพอ
แต่มันดียิ่งสำหรับหลิวรุ่ยอิ่ง
แทงตายฟันเจ็บ
นี่เป็นหลักการที่ทุกคนรู้
ถ้าดาบของชายชุดขาวธรรมดามาก หลิวรุ่ยอิ่งถึงขั้นเคยคิดใช้กระบี่ดาราฆ่าตัวตาย
เพราะการถูกฟันทีละดาบจนหนังเปิดเนื้อปริแล้วตายเพราะเสียเลือดมากมันเจ็บปวดเกินไป
ในกายเขาเละเทะหมดแล้ว ไม่อยากให้ภายนอกเละเทะไปด้วยจริงๆ
แม้เหลี่ยงเฟินตายอย่างง่ายดาย
แต่สภาพการตายเช่นนั้นจะไม่ทำให้คนเก็บศพคลื่นเหียนหรอกหรือ
หลิวรุ่ยอิ่งไม่ยอมให้ตัวเองตายไปแล้วยังทำให้คนรังเกียจขยะแขยง
เขาจึงไม่อยากถูกฟันตาย
แต่แทงตายก็แบ่งจุดเหมือนกัน
ส่วนคอหรือว่าหัวใจ
คอถูกแทงทะลุต้องมีเลือดสดไหลพุ่งออกมา แบบนั้นต้องเปื้อนเสื้อผ้าของชายชุดขาวอย่างไม่อาจเลี่ยง คิดว่าเขาไม่มีทางทำเช่นนี้แน่
หากเป็นหัวใจ แค่เอียงไปนิดเดียวก็ยากที่จะตายในชั่วประเดี๋ยว
แต่ด้วยขอบเขตการฝึกตนเทพบริราชเก้าทวีปของชายชุดขาว คิดว่าไม่มีทางเกิดข้อผิดพลาดแน่นอน
คิดถึงตรงนี้ หลิวรุ่ยอิ่งสะบัดหัวพลางหัวเราะ
เขากำลังหัวเราะเยาะตัวเอง
เพราะเขาคิดไม่ออกโดยแท้ว่าบนโลกนี้ยังจะมีใครพยายามคิดวิธีฆ่าตัวเองให้ตายแทนศัตรู
…………………………
ยามแรกตอนอยู่หัวเมืองรัฐติง
ทังจงซงลากเขาไปฟังนักเล่าเสียงพิฆาตเล่าเรื่องที่โรงเรืองขวัญ
เรื่องเกาซวี่ข่ายฝึกวิชาตัวเบาน่าขันก็จริง แต่อย่างไรคนข้ามฟากในแม่น้ำจักรพรรดิก็มีแค่เขาคนเดียวจนถึงตอนนี้
บัดนี้ หลิวรุ่ยอิ่งก็เป็นอันดับหนึ่งในใต้หล้าเหมือนกัน
คนรนหาที่ตายอันดับหนึ่งในใต้หล้า
แม้ไม่ใช่ชื่อเสียงดีเด่อะไร
แต่ก็รับกับคำที่เขาประเมินเกาซวี่ข่ายในวันนั้น ‘อย่างน้อยก็เป็นอันดับหนึ่งในใต้หล้าแล้ว’
คราวนี้เขาไม่หัวเราะเยาะตัวเองอีกต่อไป
เขาคิดว่าตัวเองออกจะน่านับถือ เหมือนได้เข้าใกล้พ่อแม่วีรบุรุษที่เขาไม่เคยเห็นหน้านั้นขึ้นบ้างแล้ว
“เป็นไปได้อย่างไร…”
ยามนี้ชายชุดขาวเห็นเงื่อนงำในกายหลิวรุ่ยอิ่งแล้วเช่นกัน
เขาสัมผัสได้ว่าการฝึกตนทั้งกายหลิวรุ่ยอิ่งกำลังถอยร่นดั่งกระแสน้ำ ค่อยๆ กลายเป็นเหมือนคนธรรมดา
แต่มีเพียงตัวหลิวรุ่ยอิ่งที่รู้ว่าตอนนี้กระทั่งคนธรรมดาเขายังเทียบไม่ได้
คนธรรมดาไม่ฝึกยุทธ์ ในตันเถียนย่อมไม่เกิดอินหยางสองขั้วและไม่มีพลังปราณให้เรียกใช้ แต่ถ้าขยันทำงานก็สร้างกำลังกายได้อยู่บ้าง
ทว่าตอนนี้แม้แต่หนังตาเขาก็จะลืมไม่ขึ้นแล้ว
พลังชีวิตค่อยๆ หดหายเหมือนแสงตะวันใกล้ลับภูเขา
เหลือเพียงประกายไฟหิ่งห้อย
ชายชุดขาวไม่เคยเจอสถานการณ์ประหลาดเช่นนี้มาก่อน
นี่ก็ทำให้เขาเกิดใจใคร่รู้เช่นกัน
ต่อให้ยามนี้หลิวรุ่ยอิ่งชนะแน่นอน เขาก็มั่นใจเต็มเปี่ยมว่าฆ่าได้ในดาบเดียว
หนำซ้ำตอนนี้หลิวรุ่ยอิ่งที่เป็นผู้ฝึกยุทธ์ถือว่าตายไปแล้ว
ชายชุดขาวต้องอาศัยจังหวะนี้ทำความเข้าใจปรากฏการณ์ที่เขาไม่เคยพบเจอสักหน่อย
เขาเคยคิดว่าเป็นเพราะกระบี่นั้นของหลิวรุ่ยอิ่งรุนแรงเกินไปเลยทำให้อินหยางสองขั้วสะท้อนกลับ แต่อย่างไรก็ไม่ถึงขั้นยับเยินปานนี้
หลิวรุ่ยอิ่งรวมจิตทั้งหมดของตนดำดิ่งสู่ตันเถียนในกาย
เขาไม่มีความสนใจใดต่อเรื่องภายนอกแล้ว ยามนี้เขาแค่อยากรู้แน่ชัดว่าเหตุใดธรรมลักษณ์บรมครูถึงเป็นเช่นนี้
นึกถึงวันที่เขาฝึกสำเร็จในยามแรก ในใจตื่นเต้นหมื่นส่วน
เพราะการตื่นรู้ครั้งเดียวทำให้เขาข้าม ‘บังเกิดความคิดฉับพลัน’ ในขั้นแรกกับ ‘เห็นธาตุแท้ฉับพลัน’ ในขั้นที่สอง
เดิมนึกว่าตอนธรรมลักษณ์บรมครูกลับมาอีกครั้งจะก้าวเข้าสู่ ‘ผู้เป็นบรมครู’ ได้อย่างเต็มที่
ไม่นึกว่าผลที่ได้รับหลังอดทนเฝ้ารอจะเป็นเช่นนี้
ดังคาด ความโชคดีใช่ว่าเกิดขึ้นเอง
มาโดยไร้สาเหตุ ย่อมไปโดยไร้สาเหตุ
สิ่งที่ได้มาง่ายเกินไป ตอนสูญเสียก็จะง่ายขึ้นอีกเท่าหนึ่ง
…………………………………………