ศึกยุทธ์ใต้ขุนเขาเงาจันทรา - บทที่ 108 อักษรเหว่ยไม่ครบขีด-3
บทที่ 108 อักษรเหว่ยไม่ครบขีด-3
หมอพเนจรตายแล้ว ฮั่ววั่งกับเยี่ยเหว่ยก็เตรียมตัวจากไป
สถานที่ที่ใช้ชีวิตมานานปีเช่นนี้ เป็นใครก็คงทำใจยาก
ฮั่ววั่งอยากไปท่องโลกกว้างคนเดียวสักครั้ง แต่เยี่ยเหว่ยไม่ยอม
ต่อมาทั้งสองสัญญาว่าห้าปีให้หลังจะพบกันที่เดิม จึงแยกย้ายคนละทิศทาง
ฮั่ววั่งไม่ได้เอาสิ่งใดติดตัวไป นอกจากเสื้อผ้าบนกาย เขาเอาไปแค่จดหมายครึ่งฉบับที่หมอพเนจรทิ้งไว้ให้
ครึ่งตอนล่างตัดให้เยี่ยเหว่ยแล้ว เขาเลยมีแค่ครึ่งฉบับ
หมอพเนจรสอนทักษะให้เขากับเยี่ยเหว่ยไม่น้อยจริงๆ
ฮั่ววั่งเจ้าเรือนสงคราม เยี่ยเหว่ยหนักอินหยาง
แม้แต่ฮั่ววั่งยังไม่รู้ว่าฐานะที่แท้จริงของหมอพเนจรคือไท่ไป๋ หนึ่งในห้าสุดยอดนักพรตอินหยางแห่งใต้หล้า เหมือนผู้เฒ่าเฉินที่ทำเก้าหยวนส่องเวหาในวังหลิวจิ่งเฮ่าฉิงจงอ๋องที่เมืองหลวงวันนั้น
ผู้เฒ่าเฉินขานรับดาวชั่วยาม
ไท่ไป๋ย่อมขานรับดาวพระศุกร์
ตอนเสี่ยวจีหลิงเล่าเรื่องในโรงน้ำชา มีคนเคยพูดว่าดาวพระศุกร์เป็นเจ้าเรือนของความอำมหิต
สุดยอดนักพรตอินหยางก็เป็นคน ตายได้เหมือนกัน
แต่สมัญญากลับไม่มีวันตาย
มันจะสืบทอดรุ่นสู่รุ่นต่อไปเช่นนี้
อาจเพราะเจอผู้สืบทอด อาจเพราะชั่วชีวิตนี้เห็นโลกมนุษย์ทะลุปรุโปร่งแล้วจึงต้องการแค่ความตาย
ความจริงหมอพเนจรไท่ไป๋เห็นแจ้งรู้ชัดในหลายๆ เรื่อง
แต่เขาไม่มีกำลังไปเปลี่ยนแปลง
หากทุกคนล้วนมีจิตใจบริสุทธิ์ดุจทองคำ ย่อมไม่จำเป็นต้องเปลี่ยนแปลง
แต่เขาไม่มีกำลังไปเปลี่ยนแปลง
หากทุกคนล้วนมีจิตใจบริสุทธิ์ดุจทองคำ ย่อมไม่จำเป็นต้องเปลี่ยนแปลง
น่าเสียดาย…โลกนี้ยังมีคนเลวอยู่มาก
มองไม่เห็นยังพอว่า แต่เห็นแล้วก้าวก่ายไม่ได้ คิดดูก็รู้ว่าความรู้สึกเช่นนั้นเป็นอย่างไร
คนในโลกล้วนอยากสร้างผลงานพิเศษ ก่อตั้งกิจการใหญ่โต
แต่มีใครเคยสนใจเสียงร้องไห้ของเด็กคนหนึ่งในควันไฟแห่งสงครามบ้าง
………………………..
ยุคราชวงศ์
สามปีครึ่งที่เยี่ยเหว่ยแยกกับฮั่ววั่ง
ถัดจากทางตะวันตกของเมืองหลวงหนึ่งร้อยยี่สิบลี้
‘ลิขิตสวรรค์มิอาจคาดเดา ลิขิตสวรรค์ยากคาดเดา ลิขิตสวรรค์อาจคาดเดา’
ที่แห่งนี้ไม่มีชื่อที่ทางการตั้งให้
ทุกคนต่างเรียกมันว่าหุบเขาน้อย
เพราะมันผุพังเกินไป เล็กเกินไป ไม่สะดุดตาเอาเสียเลย
ชื่อตามความหมาย รอบหุบเขาน้อยโอบล้อมด้วยภูเขา มีแค่ทางเล็กสายหนึ่งเชื่อมกับโลกภายนอก
ชาวเขาพึ่งพิงภูเขาหากินในภูเขา แม้ชีวิตยากจนข้นแค้น แต่ก็ปรองดองมีความสุข
ไม่มีใครจำได้ว่าเยี่ยเหว่ยมาถึงที่นี่ตอนไหน
เขาในชุดสีฟ้าครามไม่เปื้อนฝุ่นผง บนเอวขัดพร้าที่ดูไม่เข้ากันอย่างยิ่งไว้เล่มหนึ่ง ทำลายลักษณะอันมีกลิ่นอายเทพเซียนอยู่หลายส่วนของเขาในตอนแรก
ลือกันว่าวันนั้นเขาครุ่นคิดอยู่หน้าประตูเมืองหลวงสามวันสามคืน ก่อนอื่นตบมือหัวเราะลั่นกล่าวว่า ‘ในที่สุดก็เจอสถานที่ที่ความโกลาหลรวมตัวกันแล้ว!’
จากนั้นเงยหน้ามองหอประตูเมืองหลวงที่สูงตระหง่านพลางร้องไห้อย่างเจ็บปวด ถึงขั้นหลั่งน้ำตาเป็นสายเลือด
หลายวันนี้ในเมืองหลวงมีข่าวลือครึกโครม
“ได้ข่าวหรือยัง ทั้งเบื้องบนและเบื้องล่างร้อยกว่าคนในจวนอัครมหาเสนาบดีหลี่ถูกฆ่าหมดในคืนเดียว”
“ข้าได้ข่าวแล้ว เจ้าว่าใครเป็นคนทำ! ถึงขั้นทำคดีใหญ่สะเทือนฟ้าในจวนอัครมหาเสนาบดีที่ป้องกันเข้มงวดได้หน้าตาเฉยเช่นนี้”
“เฮ้อ ข้ายังได้ยินว่ามือสังหารผู้นั้นวางเงินทองแดงเก้าเหรียญไว้บนธรณีประตูจวนอัครมหาเสนาบดี…แต่มีคนหนึ่งโชคดีรอดพ้น…คืนนั้นลูกสาวหัวแก้วหัวแหวนของใต้เท้าอัครมหาเสนาบดีไม่อยู่ในจวน”
“เงินทองแดงเก้าเหรียญหรือ…”
ข้างหลังกลุ่มคน เด็กหนุ่มที่แต่งตัวเหมือนคุณชาย ใบหน้าสวมผ้าโปร่งบางสีดำคนหนึ่งกล่าวทวนเบาๆ
มองคิ้วตานั้น รูปงามอย่างยิ่งโดยแท้!
………………………..
หุบเขาน้อย ข้างหอฝันเฟื่อง
“วันที่เจ็ดเดือนสี่ หุบเขาทางเหนือ ลมมุ่งสู่ตะวันตก วันนี้เกิดสุริยคราส ความรุ่มรวยอยู่ตะวันออกเฉียงใต้ มิน่านั่งมาครึ่งค่อนวันก็ยังไม่มีการซื้อขาย…”
เยี่ยเหว่ยใช้หัวแม่มือซ้ายแตะบนนิ้วกลางและนิ้วนางเบาๆ สองสามครั้ง กล่าวพึมพำกับตัวเอง
เขาเอนหลังพิงมุมกำแพง เงยหน้ามองป้ายร้านของหอฝันเฟื่องด้านข้างอย่างไม่ใส่ใจ
“หอฝันเฟื่อง ชีวิตสั้นเหมือนฝันเลื่อนลอย ชีวิตสั้นเหมือนฝันหนึ่งตื่น…ฮ่าๆ ชื่อดี!”
“ชีวิตล่องลอย เจ้ากับข้าบังเอิญพบกัน เปลี่ยนสงครามเป็นความรักลึกซึ้ง สุดท้ายเจ้าก้าวสู่ประตูแห่งวัฏสงสาร ความรักมั่นของข้าเปลี่ยนเป็นเยาะหยัน”
ในที่สุดเขาก็ตัดสินใจลุกไปขอเหล้าในหอฝันเฟื่องจอกหนึ่งดื่มให้สดชื่นสมองตื่น
ในปากยังร้องเพลงพื้นบ้านที่ไม่รู้ชื่อ
“คุณชายท่านนี้โปรดช้าก่อน!”
ตอนที่เขากำลังจะเรียกเสี่ยวเอ้อร์ยกสุราอาหาร เสียงใสสายหนึ่งดังขึ้นจากด้านหลัง
เยี่ยเหว่ยไม่มีคนรู้จักที่นี่ ยิ่งไม่มีเพื่อน
เขาจึงไม่ได้หยุดฝีเท้า
แต่บนใบหน้าที่เฉื่อยชามาตลอดของเขากลับมีมุมโค้งปรากฏขึ้นบางๆ
“สองคน ห้องส่วนตัว”
เขากล่าวกำชับ
เสี่ยวเอ้อร์ต้อนรับเขาเข้าห้องส่วนตัวอย่างกระตือรือร้น สีหน้าประจบเพิ่งปรากฏบนหน้า กลับเห็นเยี่ยเหว่ยโบกมือเล็กน้อย
“สุราดีเจ็ดกา อาหารจานเย็นสี่อาหารจานร้อนสี่ เพิ่มน้ำแกงอย่างหนึ่งด้วย ที่เหลือพวกเจ้ามีอะไรแนะนำก็ยกมาได้เลย”
เขาล้วงเงินแท่งหนึ่งออกจากในอก ค่อยๆ เลื่อนไปให้เสี่ยวเอ้อร์
เงินหนักอึ้งอยู่ในมือเขาแล้วเหมือนกระดาษแผ่นหนึ่ง เคลื่อนไปด้านหน้าอย่างไม่รีบร้อน หยุดตรงข้างมือของเสี่ยวเอ้อร์อย่างมั่นคง
‘ท่านผู้วิเศษ…ข้าไม่พูดมากแล้วดีกว่า จะได้ไม่หาเรื่องใส่ตัว!’
นี่เป็นคำนิยามที่เสี่ยวเอ้อร์มอบให้นักพยากรณ์อายุน้อยที่ลึกลับยากคาดเดาผู้นี้อยู่ในใจ
พริบตาเดียว เยี่ยเหว่ยก็มาถึงหุบเขาน้อยนี้เดือนกว่าแล้ว
“ย้ายโต๊ะเล็กให้ข้าอีกตัว ข้างบนวางหมึกพู่กัน”
เพิ่งสิ้นเสียง เงินอีกแท่งเลื่อนออกมาอย่างช้าๆ
เสี่ยวเอ้อร์ยิ้มรับหน้าบาน โค้งตัวถอยออกไป
พอเปิดประตูเห็นแม่นางคนหนึ่งยืนอยู่ตรงนั้น
เป็นแม่นางที่เรียกให้เขายั้งเท้าในโถงใหญ่ก่อนหน้านี้
แม้ตอนนี้ทั้งสองเผชิญหน้ากัน แต่เยี่ยเหว่ยในวัยเยาว์ยังคงไม่เห็นใบหน้าของนาง
เพราะใบหน้านางถูกบดบังด้วยพัดกลมเล่มหนึ่ง
“พัดกลมโบกเบา ไม่อาจพัดความวุ่นวายทั้งหลายในธุลีแดง[1]”
เยี่ยเหว่ยกล่าวอย่างเย็นชาเล็กน้อย
“พัดธุลีแดงย่อมพัดธุลีแดง โลกมนุษย์เป็นดั่งควัน ฝุ่นควันมักรวมตัวกระจัดกระจาย”
เสียงดัง ‘พรึบ’ แม่นางผู้นี้พลิกพัดกลมกลางอากาศ ไม่รู้เก็บไว้ตรงไหน
เยี่ยเหว่ยถึงได้เริ่มเพ่งพินิจดวงหน้าของนางอย่างละเอียด
ผมดำดุจน้ำตกทิ้งตัวบนไหล่ตามใจอยาก ไม่ปะแป้งกลับงดงามยิ่งกว่าดอกท้อ
“การแต่งกายของเจ้าสะดุดตาจริง”
แม่นางผู้นี้เดินตรงดิ่งเข้ามานั่งในห้องส่วนตัว กล่าวพลางรินสุราให้ตัวเองจอกหนึ่งโดยไม่เกรงใจแม้แต่น้อย
“เจ้ามาจากที่ใด”
เยี่ยเหว่ยในวัยเยาว์ยิ้มถามอย่างเก้อกระดาก
จากนั้นกระแอมอีกสองทีเพื่อทำลายความขัดเขินก่อนหน้านี้
“มาจากเมืองหลวง”
“อ้อ…”
เยี่ยเหว่ยในวัยเยาว์ตอบคำหนักแน่น ระดับเสียงและน้ำเสียงหนักอึ้งเล็กน้อย
“แล้วมาทำไมหรือ”
เยี่ยเหว่ยเอ่ยถาม
“อยากดื่มเหล้ากับเจ้า เมาแล้วค่อยหยุด!”
แม่นางกล่าว
เยี่ยเหว่ยยิ้มแล้ว ยิ้มอย่างสุขใจยิ่ง
เขาเห็นเครื่องเขียนบนโต๊ะเล็กด้านข้าง กลับไม่รู้สึกอยากขยับพู่กันแต่อย่างใด
ตนเป็นผู้สืบทอดของนักพรตอินหยางไท่ไป๋ ไม่อาจพูดว่าเจอความลำบากความเจริญมาทั่วทั้งใต้หล้า แต่ก็เปลี่ยนเป็นคนเฉยชาถึงขีดสุด
เขาจึงไม่มีอะไรจะเขียน และไม่อยากสะเทือนอารมณ์
เหล้าลงท้องสองสามจอก ใบหน้านางอ่อนโยนอิ่มเอิบ แสงเทียนนุ่มนวลขับเน้นรูปร่างเพรียวบาง
นี่เป็นห้องส่วนตัวติดถนนห้องหนึ่ง แม่นางลุกขึ้นผลักหน้าต่างออก
เยี่ยเหว่ยเหม่อมองนอกหน้าต่างอย่างใจลอย
แม่นางก็ไม่พูดสักคำโดยเป็นที่รู้กัน พิงอยู่ขอบหน้าต่างอย่างสงบ
“ข้าไม่ได้ดื่มเหล้าเยอะขนาดนี้นานมากแล้ว”
ยามอาทิตย์อัสดงลาลับแล้ว เยี่ยเหว่ยพูดประโยคหนึ่งกะทันหัน
“เจ้าไม่ได้เขียนพู่กันหลายปีแล้วเหมือนกัน”
แม่นางกล่าว
“เจ้าเพิ่งรู้จักข้า เหตุใดถึงกล้าฟันธงว่าหลายปี”
เยี่ยเหว่ยยิ้มกล่าว
“การเขียนกลอนวาดภาพเป็นอาชีพของบัณฑิตผู้มากความรู้ ข้าพกพร้าไว้เล่มหนึ่ง ย่อมควรไปเป็นคนตัดไม้”
จากนั้น เป็นความเงียบดุจความตายอีกครั้ง
‘ผู้ใดไม่มานะหาผลงานชื่อเสียง กลับสู่โลกาใต้ผืนหล้าสักกี่คน’
เขาหยิบหมึกพู่กันที่เตรียมไว้ก่อนหน้านี้ขึ้นมาเขียนประโยคนี้ลงด้านหลังพัด
จากนั้นเขาล้วงห่อกระดาษสีขาวอันหนึ่งจากในอก โรยผงสีเหลืองอ่อนด้านในลงสุราสามกาที่เหลือเท่าๆ กัน
“หอฝันเฟื่อง ก็ถือเป็นความฝันชั่วคราวแล้วกัน…”
เยี่ยเหว่ยเดินออกจากห้องส่วนตัว
แม้เป็นยามกลางคืนพร้าตรงเอวเขายังเผยแสงเย็นเลือนราง
………………………..
หุบเขาน้อย ในห้องส่วนตัวของหอฝันเฟื่อง
จันทร์แรมนอกหน้าต่างเหมือนตะขอ ในห้องแสงไฟเหมือนเม็ดถั่ว
ท่ามกลางความสลัวเสวี่ยเวยคว้ากาสุราบนโต๊ะกรอกใส่ปากหลายอึกใหญ่ จากนั้นสะลึมสะลือผล็อยหลับไป
“เหตุใดจึงฝันถึงเจ้าอีกแล้ว…”
ก่อนหลับตา สายตาของนางค้างอยู่บนพัดลิขิตฟ้าธุลีแดงที่วางอยู่บนโต๊ะเล็กด้านข้าง
ไม่รู้ผ่านไปนานเท่าไร ไอสีม่วงเบาบางกลุ่มหนึ่งไหลกระจายออกมาจากทางฝั่งภูเขา
“กลับสู่โลกาใต้ผืนหล้าสักกี่คน…กลับสู่โลกาสักกี่คน…สักกี่คน…”
เสวี่ยเวยสร่างเมาแล้วเก็บพัดกลมบนโต๊ะเล็กขึ้นมากอดไว้ตรงหน้าอกของตน
ดวงตานางเหม่อลอย ในปากพร่ำพูดไม่หยุด
บนถนนที่มุ่งจากเมืองหลวงสู่หุบเขาน้อย
เงาร่างสีขาวสายหนึ่งกำลังยกแส้เฆี่ยนม้าห้อตะบึง
“ทางหลวงไม่อนุญาตให้คนธรรมดาขี่ม้าเร็ว!”
นายทหารคนหนึ่งขวางหอกปิดถนนกั้นอยู่ตรงหน้าคนชุดขาว
คนชุดขาวไม่ได้หยุดลง เพียงชูแขนซ้ายขึ้นเล็กน้อย
เวลาชั่วพริบตานายพันคนนั้นเหมือนเห็นของร้ายกาจบางอย่าง รีบคุกเข่าลงพื้นโขกศีรษะสุดแรงเกิด แม้คนผู้นั้นจากไปไกลมากแล้วเขาก็ยังไม่กล้าลุกยืน
“เยี่ยเหว่ย! หวังว่าหลังจากนี้เจ้ากับข้าไม่ติดค้างต่อกัน…”
ตอนคนชุดขาวยังสวมเสื้อผ้าสีชมพู ในซอกเขาที่ปกคลุมด้วยต้นสนสีเขียวมรกตแห่งหนึ่ง
‘เยี่ยเหว่ย เมื่อไรเจ้าถึงจะสอนเก้าหยวนส่องเวหาให้ข้าล่ะ!’
เขาเอ่ยเจือแววโอดครวญ
นางดึงแขนของเยี่ยเหว่ยและกล่าวเง้างอด
‘ไม่ได้ๆ เก้าหยวนส่องเวหานี้เป็นสุดยอดความรู้ที่แข็งแกร่งที่สุดในวิชาอินหยาง ขนาดตัวข้าเรียนถึงตอนนี้ยังมีความรู้แค่สองสามส่วน’
ตอนกล่าวถึงตรงนี้เยี่ยเหว่ยเกาหัวด้วยความอักอ่วน ต่างกับความสุขุมเป็นผู้ใหญ่ก่อนหน้านี้ราวคนละคน
คนชุดขาวออกแรงสะบัดหัวอยู่บนม้า พยายามหลุดพ้นจากพันธนาการแห่งความทรงจำ
สีท้องฟ้ามืดแล้ว เยี่ยเหว่ยสั่งเหล้าขาวสามตำลึงสามเค่อ[2]ในร้านอาหารเล็กๆ ริมทางที่ให้คนเดินเท้าหยุดพัก เขาเดินมุ่งหน้าพลางแวะดื่มทุกสองสามก้าว
เขาเทเหล้าที่เหลือลงบนศีรษะ
เขาจะทำเช่นนี้ทุกครั้งที่อยากร้องไห้ ให้สุราไหลลงมาผสมกับน้ำตา
เช่นนี้ก็จะไม่มีใครเห็น และยังมีข้ออ้างในการทำเช่นนั้นให้ตนเอง
………………………..
เมื่อถึงหุบเขาน้อย คนชุดขาวไม่ได้ขี่ม้าแล้ว
อวดตนเกินไปรังแต่จะดึงดูดสายตาให้มาสนใจมากกว่าเดิม ไม่มีข้อดีอะไร
“เขาต้องมาเอาเงินทองแดงเก้าเหรียญนั้นไปแน่…อยู่รอดีกว่าไปตามหาโดยไม่มีจุดหมาย”
คนชุดขาวพักอยู่หุบเขาน้อยเพียงหนึ่งคืน ตอนฟ้าสางก็ลุกขึ้นมุ่งหน้าไปจวนอัครมหาเสนาบดีกลางเมืองหลวงอย่างรวดเร็ว
จิตใจนางเร่งร้อน เหมือนเห็นชายหนุ่มในชุดสีฟ้าครามคนหนึ่งยืนแกร่วอยู่หน้าประตูจวน
แต่นางถูกลิขิตให้ผิดหวัง
หน้าประตูจวนไม่มีเงาร่างของเยี่ยเหว่ย มีเพียงเกี้ยวหรูหรางดงามคันหนึ่ง
“เจ้ามาแล้ว”
เสวี่ยเวยออกปากพูดก่อน
“เจ้าเป็นใคร”
คนชุดขาวไม่ได้ลงม้า แววตาเปล่งประกายตื่นตัว
“เจ้าไม่รู้จักข้า แต่ข้ารู้จักเจ้า เจ้าคือคุณหนูใหญ่ของอัครมหาเสนาบดีหลี่ใช่หรือไม่ ข้าไม่มีเจตนาร้ายแต่อย่างใด แค่มาส่งของให้เจ้าชิ้นหนึ่งเท่านั้น ข้าคิดว่ามันควรเป็นของเจ้าแต่แรก”
เสวี่ยเวยกล่าวพลางโยนพัดในมือ
คนชุดขาวไม่ได้ใช้มือรับ
แต่ใช้แส้ม้าม้วนเป็นลายแส้งดงาม
พัดก็ถูกตรึงไว้ในนั้นอย่างมั่นคง
มองแวบเดียวนางก็จำได้แล้วว่าพัดเล่มนี้คือพัดลิขิตฟ้าธุลีแดงที่ตนมอบให้เยี่ยเหว่ย
คนชุดขาวกำลังจะอ้าปากถาม กลับเห็นเกี้ยวคันนั้นจากไปไกลแล้ว
เสวี่ยเวยนั่งอยู่ในเกี้ยว ใบหน้าเผยรอยยิ้มขมขื่น
คนชุดขาวเหม่อมองพัด
อาศัยดวงอาทิตย์ที่เลื่อนขึ้น นางเห็นเส้นอักษรขนาดเท่าเม็ดข้าวบรรทัดหนึ่งที่สลักไว้บนกระดูกพัด
‘วันที่เจ็ดเดือนหน้า แสงจันทร์ตะวันตก’
ในที่สุด เขาก็ยังมา
………………………………………
[1] ธุลีแดง หมายถึงโลกมนุษย์ที่มีความคึกคัก ความวุ่นวายตลอดเวลา
[2] เค่อ หน่วยกรัม