ศิษย์หลานข้า ระวังอย่าหลงผิด - ตอนที่ 366 หญิงชราตกทรัพย์
อวิ๋นเจี่ยวผงะ ก่อนจะสวมชุดกาวน์สีขาวใหม่อีกครั้ง “ได้ ฉันจะไปเดี๋ยวนี้ ขอบใจ!” เธอเดินขึ้นชั้นบนไปยังห้องทำงานของรองคณบดี
“หมออวิ๋นเจี่ยว มาแล้วเหรอ” รองคณบดีเฉินทักทายอย่างเป็นมิตร ใบหน้าของเขายิ้มบานราวดอกเก๊กฮวย มองเธอด้วยสีหน้าดีใจ “มาๆๆ นั่งๆๆ!”
เธอนั่งลงบนเก้าอี้ด้านหน้าโต๊ะหนังสือ ภายในใจพอเดาได้ “รองคณบดีเฉิน เรียกฉันมามีอะไรคะ”
อีกฝ่ายผงะไปอย่างชัดเจนเมื่อได้ยินคำว่ารอง เฉินมู่เป็นหนึ่งในรองคณบดีของโรงพยาบาลอันดับหนึ่ง ถึงแม้จะเป็นรอง แต่ทุกคนมักจะเรียนอีกฝ่ายว่าคณบดีด้วยความเกรงใจ ทำให้เขาคุ้นชินกับคำเรียกเช่นนี้ ถูกคนเรียกว่ารองคณบดีโดยตรงแบบนี้เป็นครั้งแรก
ใบหน้าของเขาฉายแววเก้อเล็กน้อย ก่อนจะปรับสีหน้าเป็นเหมือนเดิมในทันที เขาถูมือไปมาพร้อมพูดอย่างลำบากใจ “อวิ๋นเจี่ยว…คุณก็รู้ เรื่องที่เกิดขึ้นบนตัวคุณเมื่อพักก่อน…”
“ฉันไม่ได้ชนคน!” ไม่รอเขาพูดจบ อวิ๋นเจี่ยวก็พูดแทรกขึ้นทันที “ฉันเพียงแค่บังเอิญผ่านไป เห็นอีกฝ่ายเป็นลม ถึงได้ส่งเธอมายังโรงพยาบาล”
“แน่นอนๆ!” คณบดีเฉินพยักหน้าอย่างแรง “ทางโรงพยาบาลเชื่อคุณแน่นอน แต่ว่า…พื้นที่ที่คุณไป กล้องวงจรปิดแถวนั้นเสียพอดี อีกทั้งยังเป็นช่วงกลางคืน ไม่มีคนผ่าน ดังนั้นตอนนั้นเกิดอะไรขึ้นไม่มีคนรู้ อีกทั้งคุณยายคนนั้นมั่นใจว่าเป็นคุณ พวกเราก็…”
อวิ๋นเจี่ยวขมวดคิ้วมุ่น เธอล้มละลายแล้วยังไม่พออีกเหรอ
“อวิ๋นเจี่ยว คุณก็รู้ เรื่องนี้ถูกนำเสนอข่าวในช่องท้องถิ่นแล้ว ผลกระทบค่อนข้างใหญ่ ตอนนี้มีผู้ป่วยบางคนได้ยินว่าคุณเป็นหมอรักษาต่างร้องขอให้เปลี่ยนคน อีกทั้งบางคนยังร้องขอเปลี่ยนโรงพยาบาล เรื่องนี้กระทบต่อภาพลักษณ์ของโรงพยาบาลอย่างมาก ดังนั้น…” เขาเผยสีหน้าเสียใจ แต่ภายในดวงตาไร้ซึ่งความจริงใจ
“ดังนั้น พวกคุณคิดจะไล่ฉันออก?” อวิ๋นเจี่ยวผงะ
“ไม่ๆๆๆ!” คณบดีเฉินรีบส่ายหัว “คุณเข้าใจผิดแล้ว โรงพยาบาลสูญเสียกำลังจำนวนมากในการเชิญคุณมาจากต่างประเทศ จะไล่ออกอย่างง่ายดายได้ยังไงกัน เพียงแต่เห็นว่าระยะนี้คุณเหนื่อยเกินไป คิดจะให้คุณพักผ่อนสักระยะ รอเรื่องนี้ผ่านไปค่อย…”
“ไม่ต้อง” อวิ๋นเจี่ยวพูดขัดเขา ก่อนจะปลดป้ายชื่อเสื้อลงมา วางลงบนโต๊ะพร้อมลุกยืนขึ้น “ฉันลาออก!” พูดจบก็เปิดประตูเดินออกไป
เฉินมู่ผงะไป สีหน้าของเขาเต็มไปด้วยความงุนงง เดิมทีเขาเพียงแค่ต้องการอาศัยจังหวะนี้กดขี่อีกฝ่าย เพราะอีกฝ่ายเลื่อนขั้นเร็วเกินไป ทำให้คนอย่างพวกเขาที่พยายามมาหลายสิบปีกว่าจะได้เป็นรองคณบดีรู้สึกถึงวิกฤต บังเอิญมีเรื่องของผู้ป่วยคนนั้น คณบดีก็ไม่อยู่ ดังนั้นเขาจึงเรียกคนมาคุย เรื่องที่เงินเก็บทั้งหมดของเธอล้วนชดเชยให้หญิงชราคนนั้นเขาก็ได้ยินมา ดังนั้นในสถานการณ์ตอนนี้ เธอไม่มีทางลาออกง่ายดายแน่นอน
แต่ว่า…ทำไมเธอถึงไม่เล่นตามไพ่
เมื่อนึกถึงหลังจากคณบดีกลับมาพบว่าคนที่เชิญมาจากต่างประเทศอย่างยากลำบากถูกเขาขับไล่…
เฉินมู่ตัวสั่นสะท้าน ก่อนจะตั้งสติกลับมาได้ เขารีบเดินตามออกไปทันที “หมออวิ๋น มันคือความเข้าใจผิด!”
…
อวิ๋นเจี่ยวไม่ได้วู่วามเรื่องการลาออก ถึงแม้จะรู้สึกขุ่นเคืองที่คณบดีเฉินซ้ำเติม แต่สาเหตุหลักยังคงเป็นเพราะดวงตาของเธอ อาการของเธอหนักขึ้นอย่างต่อเนื่อง เธอไม่กล้ารับรองว่าจะเกิดผลกระทบอย่างอื่นหรือไม่หากเป็นเช่นนี้ต่อไป ไม่ว่าจะด้วยจรรยาบรรณแพทย์ หรือว่าความรับผิดขอบของตนเองล้วนไม่ยอมให้เธอเดินเข้าห้องผ่าตัดด้วยความไม่แน่นอนนี้
ดังนั้นเธอจึงลาออกอย่างเด็ดเดี่ยว บางทีออกห่างจากงานที่วุ่นวาย เธออาจมีเวลาค้นหาสาเหตุของโรค ดูว่าดวงตาของตนเองเป็นอะไรกันแน่
อวิ๋นเจี่ยวเดินออกจากโรงพยาบาลอันดับหนึ่ง จากนั้นเธอถึงตระหนักถึงปัญหาสำคัญขึ้นได้…เธอไม่มีเงินแล้ว!
เงินเก็บของเธอทั้งหมดล้วนโอนไปให้หญิงชราตกทรัพย์ภายใต้เงื่อนไข “ชดเชยหน่อย” ของเจ้าหน้าที่ ตอนนี้บนตัวเธอมีเพียงสามร้อยกว่าหยวน แม้แต่สิ้นเดือนนี้อาจอยู่ไม่ถึง
อวิ๋นเจี่ยวรับทุนตั้งแต่เด็กจนโต ไม่เคยต้องเป็นกังวลเรื่องเงินแม้แต่น้อย หลังจากทำงานแล้วเงินเดือนก็ไม่เคยเป็นตัวถ่วงเงินเดือนเฉลี่ยของประชากรเมืองอันดับหนึ่ง ครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่เธอรู้สึกได้ถึงความยากลำบากของการไม่มีเงิน
เธอยืนอยู่ริมถนนด้วยความฉงน ตัดสินใจไปโรงพยาบาล ขับรถยนต์มือสองของตนเองกลับมาก่อน ไม่แน่ว่าอาจขายต่อในราคาดีได้ บรรเทาความยากลำบากของเธอในตอนนี้
ดังนั้นเธอจึงหันหลังมุ่งหน้าเดินไปยังรถไฟฟ้าใต้ดินอีกครั้ง ครึ่งชั่วโมงต่อมาเดินทางกลับมาถึงโรงพยาบาล ในขณะที่กำลังมองหาบันไดที่เชื่อมต่อกับลานจอดรถ เสียงขุ่นเคืองของหญิงชราดังขึ้นอีกครั้ง “เธออีกแล้ว!”
อวิ๋นเจี่ยวหันกลับไปมองตามสัญชาตญาณ เห็นเพียงหญิงชราผมขาว ร่างกายอวบอ้วนกำลังยืนอยู่ที่บันได มองมายังเธอด้วยสีหน้าโกรธเคืองและตกตะลึง
เฮ้ย! อวิ๋นเจี่ยวอยากจะก่นด่าออกมา ทำไมหญิงชราตกทรัพย์คนนี้ยังอยู่ที่นี่ ตอนเช้าที่มาหาหมอตา เธอก็พบเจอกับหญิงชราที่มาดูอาการตั้งแต่เดินเข้าประตู ตอนนี้เวลาบ่ายแล้ว ทำไมเธอยังไม่ไปอีก!
เมื่อนึกถึงความรับมือยากของอีกฝ่าย เธอจังหันหลังเดินไปยังทิศทางของลิฟต์แทน หลีกเลี่ยงที่จะถกเถียงกับเธอ
แต่อีกฝ่ายดูเหมือนจะไม่ปล่อยเธอไป เธอเดินตามเข้ามาอย่างไม่ยอม ทั้งที่ร่างกายบวมราวกับลูกบอล แต่กลับวิ่งได้อย่างรวดเร็ว “เธอหยุดเดี๋ยวนี้นะ เจ้าเด็กใจร้าย! ครั้งก่อนชนฉันจนสลบยังไม่ได้คิดบัญชีด้วย ตอนนี้วิ่งหนีเพราะรู้สึกผิดหรือไง”
ลิฟต์ของโรงพยาบาลทำงานหนัก อวิ๋นเจี่ยวกดมาครึ่งวันก็ยังมาไม่ถึง ทำได้เพียงมองหญิงชราวิ่งเข้ามาด้วยท่าทีดุดัน ก่อนจะจับเข้าที่มือเธอราวกับกลัวว่าเธอจะหนี
อวิ๋นเจี่ยวมีความรู้สึกพูดไม่ออกบอกไม่ถูกอย่างประหลาด อธิบายอย่างหมดแรงเป็นครั้งที่หนึ่งร้อยหนึ่ง “คุณยาย ฉันพูดอีกครั้ง ฉันไม่ได้เป็นคนชนคุณยาย!”
“เหลวไหล เจ้าเด็กนี่ ยังคิดจะหลอกฉัน?” หญิงชราระเบิดลงทันที สายตาที่มองเธอเต็มไปด้วยการตัดพ้อ “วัยรุ่นสมัยนี้ไร้ความรับผิดชอบเสียจริง! คิดว่าฉันแก่เลอะเลือนหรือยังไง ฉันจำได้ว่าก่อนสลบไปฉันเห็นคนสวมชุดสีขาว ไม่ใช่เธอแล้วจะเป็นใคร!”
“คุณยาย ฉันเป็นหมอ!” เธอสวมชุดขาวผิดตรงไหน วันนั้นเธอทำงานจนถึงดึกดื่น ตอนกลับบ้านลืมถอดชุดกาวน์สีขาวออกเท่านั้น ทำไมคนชุดขาวที่ชนอีกฝ่ายถึงกลายเป็นเธอกัน!
“เธอนั่นแหละ พูดอะไรก็ไร้ประโยชน์!” หญิงชราไม่ฟังคำอธิบายของเธอ จับเธอเอาไว้ไม่ปล่อย “อย่าคิดว่าฉันจะกลัวเธอนะ ฉันจะบอกให้ ยายแก่อย่างฉันมีชีวิตอยู่นานขนาดนี้ อะไรก็เคยเห็นมาก่อน เธอขู่ฉันไม่ได้หรอก!”
“ฉันไม่ได้หมายความอย่างนั้น!” อวิ๋นเจี่ยวเหนื่อยใจอย่างมาก แต่อย่างไรเธอก็ชดเชยให้อีกฝ่ายแล้ว จึงไม่คิดจะอธิบายต่อ ทำเพียงถอนหายใจ มองไปยังลิฟต์ที่มาถึง “ช่างเถิด ฉันยังมีธุระ ขอตัวก่อน!”