ศิษย์พี่ของข้าจะมั่นคงเกินไปแล้ว - ตอนที่ 471 การพบกันครั้งแรกกับจอมปราชญ์ ฉางโซ่ววางแผนจัดการจักจั่นสีทอง (2)
- Home
- ศิษย์พี่ของข้าจะมั่นคงเกินไปแล้ว
- ตอนที่ 471 การพบกันครั้งแรกกับจอมปราชญ์ ฉางโซ่ววางแผนจัดการจักจั่นสีทอง (2)
ตอนที่ 471 การพบกันครั้งแรกกับจอมปราชญ์ ฉางโซ่ววางแผนจัดการจักจั่นสีทอง (2)
ขณะกล่าว ปรมาจารย์เต๋าผู้ยิ่งใหญ่ก็หยิบยันต์หยกออกมาจากแขนเสื้อของเขาแล้วค่อยๆ ผลักมันเบาๆ ตรงไปทางหลี่ฉางโซ่ว
“วันนี้ ข้าได้เห็นเจ้าใช้เวทหลีกลี้วารีเร้นกายจนเกือบจะสลัดจักจั่นสีทองตัวนั้นหลุดพ้นได้แล้ว ข้าเพิ่งรู้ว่าพรสวรรค์ยิ่งใหญ่ที่สุดของเจ้าคือ เวทหลบหนีนี้ จงรับสิ่งนี้ไป ข้าอยากให้เจ้าได้ฝึกบำเพ็ญอย่างสงบสุข อย่าไปเสียสมาธิ หลงไปกับพลังเวทเหล่านี้มากเกินไปเลย”
หลี่ฉางโซ่วถือยันต์หยกเอาไว้ในมือทั้งสองข้างและมองดูอย่างระมัดระวัง…
เขาตื่นเต้นจนใจเต้นแรงและมือสั่น!
จากนี้ไป ข้าจะไม่มีวิชาหลบหนี!
ข้าจะมีเพียงวิชาเวทหลบหนีเฉียนคุนเท่านั้น!
ชื่อวิชาเวทหลบหนีนั้นง่ายมาก มันคือ หลบหนีเฉียนคุน ทว่าตามหลักการแล้ว ‘ยิ่งใช้น้อยคำ ยิ่งได้ความหมายมากขึ้น’ และคำธรรมดาสามคำนั้น ย่อมไม่ธรรมดาอย่างแน่นอน!
“ขอบคุณ ท่านปรมาจารย์เต๋าผู้ยิ่งใหญ่ขอรับ”
จากนั้น หลี่ฉางโซ่วก็นำยันต์หยกไป แน่นอนว่า เขาย่อมไม่อาจเข้าใจมันได้ในทันที
ปรมาจารย์เต๋าผู้ยิ่งใหญ่ยิ้มและกล่าวว่า “ในที่สุด วันนี้ก็ถือได้ว่า เจ้าได้พบจอมปราชญ์แล้ว เจ้าคิดเห็นเช่นไร”
หลี่ฉางโซ่วกล่าวอย่างจริงจังว่า “ความจริงแล้ว ศิษย์ไม่มีความคิดใดๆ และศิษย์ก็ยังมองไม่เห็นรูปลักษณ์ของจอมปราชญ์เช่นกัน จึงรู้สึกเสียใจเล็กน้อยขอรับ..
ท่านปรมาจารย์เต๋าผู้ยิ่งใหญ่ ศิษย์คิดว่า เรายังจัดการเรื่องนี้ต่อไปได้ เราไม่ควรปล่อยมันไปขอรับ”
“แล้วเจ้าอยากทำอันใดเล่า? บอกข้ามาสิ”
“ศิษย์อยากใช้พลังของเผ่ามังกรให้ช่วยแพร่กระจายข่าวบางอย่างขอรับ”
หลี่ฉางโซ่วใคร่ครวญอยู่ครู่หนึ่งและกล่าวช้าๆ ว่า “เช่น… พวกเขาอาจกล่าวได้ว่าในสมัยโบราณ มีสัตว์ร้ายที่รู้จักกันในชื่อจักจั่นสีทองหกปีก
มันโหดร้ายอำมหิตยิ่ง มีความสามารถที่ทรงพลังและเก่งกาจในเทคนิคเฉียนคุน หากผู้ใดจับสัตว์ร้ายตัวนี้ได้ ก็ยังไม่อาจฆ่ามันได้โดยตรง
ผิวหนังของจักจั่นสามารถใช้ในการหลอมโอสถวิญญาณที่มอบความเป็นอมตะให้กับผู้ที่ได้กินมัน และหากที่ได้กินมัน เป็นเซียนจิน ก็จะทำให้ขอบเขตเต๋าของพวกเขาสมบูรณ์แบบได้ เราสามารถใช้เรื่องนี้ เป็นเครื่องกดดันสำนักบำเพ็ญประจิมเพื่อไม่ให้จักจั่นทองกลับมาได้อีกขอรับ”
ดวงตาของปรมาจารย์เต๋าผู้ยิ่งใหญ่เสวียนตู เปล่งประกายขึ้นทันทีและมองหลี่ฉางโซ่วอย่างชื่นชม
ทันใดนั้นเจดีย์เสวียนหวง ซึ่งกำลังเดือดดาลอยู่ ก็สั่นเล็กน้อย รังสีแสงปรากฏเรืองรองขึ้นอีกครั้งในขณะที่เจดีย์เสวียนหวงยังคงลดลมปราณลงเรื่อยๆ
แล้วจู่ๆ เสี้ยวเจตจำนงวิญญาณสองสายก็เข้าสู่หัวใจของหลี่ฉางโซ่วและ ปรมาจารย์เต๋าผู้ยิ่งใหญ่… “เจ้าสมบัติไม่ได้เรื่องนี้มาจากที่ใดกัน? เจ้าจอมวางแผนผู้นี้แทบจะไล่ตามนายท่านอาวุโสของเราไปแล้ว!”
หลี่ฉางโซ่วและปรมาจารย์เต๋าผู้ยิ่งใหญ่ต่างมองหน้ากันและไม่กล้าตอบกลับ เขาหวาดกลัวจริงๆ
เจดีย์เสวียนหวงยังคงลังเลเล็กน้อยและยังก่นด่าสาปแช่งก่อนที่มันจะจากไป
มันอยากจะอยู่เคียงข้างและคอยปกป้องหลี่ฉางโซ่วเมื่อเขาออกท่องไปทั่วหล้า
แม้หลี่ฉางโซ่วอยากจะพยักหน้ารับ แต่เขาก็ทำได้เพียงขอบคุณผู้อาวุโสเจดีย์เสวียนหวงครั้งแล้วครั้งเล่าที่คอยปกป้องเขา…
แม้เจดีย์เสวียนหวงจะไม่ได้ปล่อยพลังใดๆ ออกมาในการต่อสู้ครั้งก่อน แต่มันเป็นการรับรองที่อุ่นใจ ให้ความสบายใจและความรู้สึกปลอดภัยที่หลี่ฉางโซ่วใฝ่ฝันหา!
ยิ่งไปกว่านั้น ปรมาจารย์เต๋าผู้ยิ่งใหญ่ก็จะไม่ได้อยู่เคียงข้างเขา แล้วร่างหลักของหลี่ฉางโซ่วเองก็จะฝึกบำเพ็ญอยู่ในภูเขาเท่านั้น จึงไม่มีเรื่องอะไรสนุก ซึ่งคงจะทำให้เจดีย์เสวียนหวงรู้สึกเบื่อในไม่ช้า
จากนั้น ปรมาจารย์เต๋าผู้ยิ่งใหญ่ก็ส่งหลี่ฉางโซ่วกลับไปที่สำนักตู้เซียน แล้วหลี่ฉางโซ่วก็เฝ้ามองดูขณะที่ปรมาจารย์เต๋าผู้ยิ่งใหญ่กลับไปยังวังดุสิตแห่งศาลสวรรค์
ในห้องลับใต้ดิน ขณะนี้ หลี่ฉางโซ่วได้เลื่อนแผนการของเขาออกไปและเริ่มพิจารณาใหม่
ความหนาของ “หน้าไม้” แตกต่างจากที่หลี่ฉางโซ่วคาดเอาไว้เล็กน้อย
เขามันหนังหนา[1]จริงๆ…
เป็นไปตามคาดของคนที่กล่าวได้ว่า โลกบรรพกาลถูกลิขิตให้เป็นชะตากรรมแห่งประจิม
หลี่ฉางโซ่วจะไม่แปลกใจเลยหากจอมปราชญ์ ผู้นี้ได้สังหารศิษย์ของสำนักบำเพ็ญเต๋าหยิน
โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเขาได้พบกับจอมปราชญ์จุ่นถีในวันนี้ ต่อจากนี้ไป เขายิ่งต้องระวังให้มากขึ้น
ใช่แล้ว ข้าจะอดทนและซ่อนตัวอยู่บนภูเขาเป็นเวลาแสนปีอย่างมั่นคง ไม่สั่นคลอนใดๆ!
ในยามนั้น หลี่ฉางโซ่วก็ตรวจสอบเครื่องประดับป้องกันการตรวจจับบนร่างของเขาและสัมผัสได้ถึงอักขระเต๋าที่เจดีย์เสวียนหวงทิ้งเอาไว้อย่างละเอียดถี่ถ้วน
จากนั้น เขาก็สัมผัสได้ถึงอักขระเต๋าที่คลุมเครือซึ่งคล้ายกับของเจดีย์เสวียนหวง
นั่นคือ พลังแห่งแผนภาพไท่จี๋ ซึ่งเป็นสมบัติของสำนักบำเพ็ญเต๋าหยิน ที่ถูกใช้เพื่อปกปิดตัวตนของเขาและสกัดกั้นการหยั่งรู้ถึงตัวเขาทั้งหมด!
หลี่ฉางโซ่วหัวเราะเบาๆ
สมบัติวิญญาณอย่างเจดีย์เสวียนหวงจะมีอารมณ์เช่นนี้ได้อย่างไร? ข้าสงสัยว่า แผนภาพไท่จี๋ เบาะทำสมาธิไฟวายุ และสมบัติอื่นๆ จะมีอารมณ์เยี่ยงใดกัน
หากผุ้อาวุโสทั้งหมดล้วนเป็นพวกขี้บ่น หงุดหงิดง่าย เช่นนั้น ก็คงจะมีชีวิตชีวายิ่ง
“จอมปราชญ์ …”
ในขณะนั้น หลี่ฉางโซ่วสูดลมหายใจเข้าลึก และหยิบเหรียญทองแดงสองเหรียญออกมาจากแขนเสื้อของเขา
ก่อนหน้านี้ เมื่อปรมาจารย์เต๋าผู้ยิ่งใหญ่อยู่ในวิหารเทพทะเล หลี่ฉางโซ่วได้แอบพยายามใช้บุญของเขาเพื่อหล่อเลี้ยงเหรียญทองแดงทั้งสองเหรียญ และไม่พบความผิดปกติหรือการเปลี่ยนแปลงใดๆ
ในขณะนั้น กว่าครึ่งของ “ชั้นสสารปกคลุม” บนเหรียญทองแดงทั้งสองเหรียญได้ถูกกำจัดออกจนเหรียญเป็นทองคำสุกใส
หลี่ฉางโซ่ววางมือลงบนเหรียญทองแดงสองเหรียญและถ่ายโอนบุญแห่งเต๋าสวรรค์บางส่วนของเขาให้กับเหรียญทั้งสองนั้น
ตึ้ง – เหรียญทองแดงทั้งสองเหรียญสั่นไหวเล็กน้อยและส่งเสียงแหลมคมชัด และมีเสี้ยวเจตจำนงวิญญาณก็ถูกส่งไปยังหัวใจของหลี่ฉางโซ่ว…
ทว่ามีความแตกต่างระหว่างสมบัติเหล่านั้น อย่างเห็นได้ชัดเจน
ตัวอย่างเช่น เจดีย์เสวียนหวงไม่เพียงสื่อสารกับผู้ถือเจดีย์ได้เท่านั้น แต่ยังสามารถพูดคุยถึงการเรียนรู้ที่จะยั่วแหย่ แค่กๆ เพื่อเข้าใกล้บรรดาสิ่งมีชีวิต
มันรู้คำสั่งของจอมปราชญ์ และสดใสมีชีวิตชีวาราวกับคนช่างพูดที่ไม่ได้พูดมานานหลายล้านปี
เหรียญทองแดงสองเหรียญที่หลี่ฉางโซ่วรอคอยมาเป็นเวลานานสามารถแสดงความสนิทสนมและความสุขต่อหลี่ฉางโซ่วได้เท่านั้น พวกมันพยายามใส่ความรู้สึกไปในใจของหลี่ฉางโซ่วอย่างเต็มที่ แล้วจู่ๆ หลี่ฉางโซ่วก็นึกถึงบางสิ่งขึ้นมาได้ มันมีคู่มือการใช้งานที่ง่ายที่สุด
จากนั้น หลี่ฉางโซ่วก็ศึกษามันอย่างระมัดระวังและขมวดคิ้ว
สมบัตินี้ไม่ได้มหัศจรรย์อย่างที่คิด…
ต้าเต๋าที่พวกมันมีอยู่นั้นเป็น “การแลกเปลี่ยน” ในวิถีมนุษย์
มันหมายถึงว่า สมบัติใดๆ ก็สามารถถูกขายออกไปได้ในราคาที่ดีและซื้อคืนกลับมาได้ด้วยเหรียญทองแดงนี้
ด้วยความจริงที่ว่า ‘กิจการทางการทหารสามารถทำลายตลาดได้ เหรียญทองแดงลั่วเป่าจึงไม่อาจใช้กับเครื่องมือเวทที่มีเป็นเหมือนอาวุธได้
เหรียญทองแดงเป็นเพียงสกุลเงินชนิดหนึ่ง มันได้รับการให้คุณค่า ซึ่งสิ่งที่ทำให้มันมีค่าก็คือ พลังบุญ
กล่าวให้เข้าใจง่ายๆ ก็คือ หากเขาใช้เหรียญทองแดงเพื่อรับสมบัติวิญญาณ เขาก็จะต้องชดใช้ด้วยบุญของเขา
ยิ่งเป็นสมบัติชั้นสูงมากเท่าใด ก็ยิ่งต้องรับผลบุญมากขึ้นเท่านั้น และความจริงแล้ว เต๋าสวรรค์ก็ยินยอมให้บุญมีการติดลบได้
นั่นเป็นการตรวจสอบการคาดเดาก่อนหน้านี้ของหลี่ฉางโซ่วว่า บุญและกรรมต่างหักล้างกันได้ แต่ทั้งสองอย่างนี้ ไม่ได้หักล้างกันได้ง่ายๆ เหมือนการกำจัดและลบล้างซึ่งกันและกันธรรมดาๆ
หลี่ฉางโซ่วทำอะไรไม่ได้นอกจากตกอยู่ในห้วงแห่งความคิดลึกซึ้ง …
เขาต้องใช้บุญของเขามาสร้างร่างทองแห่งบุญ เขาไม่อาจปล่อยให้สูญเปล่าไปได้
ดูจากท่าทีแล้ว จุดประสงค์หลักที่เขาได้รับเหรียญทองแดงก็คือ เพื่อช่วยอาจารย์ลุงจ้าว ป้องกันภัยพิบัติและลดกรรมแห่งภัยพิบัติของเทพธิดาอวิ๋นเซียว…
“ช่างมันเถิด” หลี่ฉางโซ่วส่ายศีรษะและกล่าวถ้อยคำให้กำลังใจเหรียญทองแดงสองเหรียญอย่างอ้อนโยน จากนั้น เขาก็ใส่มันลงไปในกล่องผ้าไหมปักและวางไว้ในที่เก็บไพ่ไม้ตายของเขา
จากนั้น หลี่ฉางโซ่วก็หยิบผ้าออกมาและเริ่มวางแผนเรื่องของจินฉานจื่อในอนาคตอย่างรอบคอบ
เขาอยากเปิดสงครามความคิดเห็น[2]เพื่อให้จอมปราชญ์แห่งสำนักบำเพ็ญประจิมไม่ยอมรับจินฉานจื่อเป็นศิษย์ของพวกเขา
หากจินฉานจื่อ เป็นเพียงเครื่องมือเวทที่ใช้เพื่อให้ได้รับพระสูตร เขาก็จะมีที่ว่างมากขึ้นในการวางแผนกลยุทธ์
วันนี้สำนักบำเพ็ญประจิมพ่ายแพ้ในการต่อสู้แล้ว จอมปราชญ์จุ่นถี ได้ปรากฏตัวออกมาเพื่อปกป้องจั๊กจั่นทองคำด้วยคัวเอง ซึ่งนั่น ย่อมเป็นเรื่องน่าอาย
แต่เขาก็ไม่คาดคิดว่า จอมปราชญ์ จะผิวหนา[3]เช่นนี้ เขาไม่ใส่ใจอะไรเลย นั่นจึงทำให้ปรมาจารย์เต๋าผู้ยิ่งใหญ่และ หลี่ฉางโซ่ว รู้สึกว่าพวกเขาไม่ได้รับผลประโยชน์มากนัก…
เขาใช้ตุ๊กตากระดาษจำลองมนุษย์ถึงเจ็ดสิบสองตัว…
ยามนี้ ของคงคลังมีจำนวนน้อยลงแล้ว
หลี่ฉางโซ่วกวาดสัมผัสซียนรับรู้ไปตรวจสอบภูเขาด้านหลังของยอดเขาหยกน้อย ด้วย ดูเหมือนว่า เขาจะต้องได้รับต้นไม้วิญญาณอายุพันปีเพื่อทำการปลูกถ่าย เพาะพันธุ์ต้นไม้
“หือ?”
หลี่ฉางโซ่วกะพริบตาและรับรู้ได้ถึงบางสิ่ง หรือว่า… ข้าเป็นคนแพร่ข่าวลือว่า ผู้ใดที่ได้กินเนื้อของถังเซิ่งแล้ว ผู้นั้นก็จะคงชีพอยู่ได้นิจนิรันดร์?
การมีส่วนร่วมในตำนานทางประวัติศาสตร์อย่างลึกซึ้ง ช่างให้ความรู้สึกผูกพันอย่างละเอียดอ่อนเสียนี่กระไร…
ดังนั้น หลี่ฉางโซ่วจึงรู้สึกมั่นใจมากขึ้น
………………………………………………………………..
[1] ไม่แยแสสนใจใยดีอะไร มั่นคง ไม่หวั่นไหวไปกับสิ่งใดๆ
[2] ทำให้เรื่องเป็นที่รู้กันไปทั่ว เป็นที่วิพากษ์วิจารณ์ พูดถึง และแพร่กระจายออกไปเป็นวงกว้าง
[3] เฉยเมย ไม่ใส่ใจ ไม่หวั่นไหว ไม่รู้สึกรู้สาใดๆ