ศพ - ตอนที่ 360 สอบสวน
ตอนที่ 360 สอบสวน
ออกจากบ้านไปทํางานหนักมาสองวัน ผมเองก็เหนื่อยเหมือนกัน คิดว่ากลับถึงบ้านแล้วจะได้พักผ่อนดีๆสักหน่อย
ผลลัพธ์ก็ออกมาดีเหลือเกิน นี่ยังไม่ทันได้เอนตัวนอนเลย มู่หลงเหยียนก็เข้ามาหาเรื่องแล้ว
มาแล้วก็ไม่ได้ว่าอะไร แต่สิ่งสําคัญก็คือพอมาถึงก็ถีบผมเลยทันที
ตอนนี้ยังกดผมเอาไว้บนเตียง ล็อคมือผม ทําเอาผมเจ็บจนแทบสลบ
ยังไม่จบแค่เท่านั้น ตอนได้ยินมู่หลงเหยียนถามแบบนั้น ผมก็งงทันที ผู้หญิงเมื่อคืนคือใคร
ผู้หญิงเมื่อคืน เมื่อคืนใครอยู่กับผม ก็ไม่ใช่เฉียฉิงจิงเหรอ
แต่กระหนุงกระหนิงนี่มันยังไง พวกเราไปฆ่าตุ๊กตาผีด้วยกัน จนเกือบเอาชีวิตไม่รอดไม่ใช่เหรอ
ยัยมู่หลงเหยียนต้องไปฟังข่าวลือเหลวไหลมาจากที่ไหนแน่ๆ ก็เลยเข้าใจผิดว่าผมออกไปจีบหญิง
นี่ก็เลยมาถามเพื่อเอาผิดซินะ
ผมกลั้นความเจ็บที่แขนเอาไว้ แล้วรีบตอบมู่หลงเหยียนทันที “กระหนุง กระหนุงกระหนิงอะไร ?
มันไม่มีอะไรสักหน่อย ! รีบ รีบปล่อยฉันเร็ว แขนฉันจะหักอยู่แล้ว !”
“ฮิ! ยังไม่ยอมรับ ! มีคนมาฟ้องฉันแล้ว !” มู่หลงเหยียนดูค่อนข้างโมโห
“ต้องใส่ร้ายฉันแน่ เมื่อคืนฉันไปปราบตุ๊กตาผีที่วัดร้างทางตะวันตกของเมือง ยังเจอปุยซานหยวนด้วย
มันไม่มีกระหนุงกระหนิงอะไรทั้งนั้นแหละ เมื่อคืน เมื่อคืนมีผู้หญิงด้วย แต่เป็นศิษย์ของสํานักเหมาช่าน
เพิ่งรู้จักกันเมื่อคืน….” ผมพูดต่อ
มู่หลงเหยียนเป็นยัยขี้โมโห ถ้าทําให้เธอโมโหขึ้นมาจริงๆ ผมต้องโดนเธอฆ่า หรือไม่ก็ต้องโดนเธอทรมานแน่ๆ
“ใช้ได้น! ถึงกับไปคบกับศิษย์สํานักเหมาชาน ทําไมฉันได้ยินว่า พวกนายเข้าไปในป่านอกเมืองด้วยกัน แถมในมือยังถือผ้าปูที่นอนไปด้วย !” มู่หลงเหยียนถามต่อ
ป่านอกเมือง ผ้าปูที่นอน เข้าใจผิดอะไรหรือเปล่า เจ้าบ้าที่ไหนไปพูดจาเหลวไหลให้มู่หลงเหยียนฟังเนี่ย
เดี๋ยวนะ ป่านอกเมืองงั้นเหรอ
ถ้าพูดถึงป่านอกเมือง แถมยังถือผ้าปูที่นอนด้วย
นั่นไม่ใช่ตอนที่พวกเราอุ้มเด็กสองคนไปที่สถานีตํารวจเหรอ ตอนนั้นอากาศค่อนข้างหนาว พวกเราเลยให้พวกเขาอยู่ในกระเป๋าดํา
และที่ป่านอกเมือง ก็เพราะมันอยู่ใกล้สถานีตํารวจพอดี
หรือว่า หรือว่าจะเป็นผีเร่ร่อนสองตัวที่พวกเราเจอตอนนั้น
แม้พวกเราจะไม่ได้สนใจผีเร่ร่อนสองตัวนั้น แต่ผมก็จําได้ว่าตอนนุ่ยเฉิงจึงเห็นผีเร่ร่อนทั้งสองตัว
เธอพูดดพวกนั้นสองประโยคได้
หรือว่า หรือว่าเจ้าพวกนั้นจะเอาเรื่องนี้ไปบอกมู่หลงเหยียน จากนั้นก็ใส่สีตีไข่เข้าอีก
ในสมองผมคิดไม่หยุด ผมคิดว่ามันน่าจะเป็นไปได้
หลังจากคิดมาคิดไปแล้ว ผมก็คิดว่าเรื่องนี้น่าจะเป็นไปได้ที่สุดแล้ว
น่าจะไม่ผิด ต้องเป็นเพราะเจ้าผีเร่ร่อนสองตัวนั้นรู้จักผม หลังจากนั้นก็ไปที่ป้าปุยหม่า เพื่อพูดเหลวไหลใส่ร้ายผม
ตอนนี้ก็ดีจริงๆ มู่หลงเหยียนมาหาเรื่องผมถึงบ้านแล้ว
พอคิดได้แล้ว ผมก็สูดหายใจเข้าแรงๆ
มู่หลงเหยียนเห็นผมเงียบไปนานสองนาน เธอเลยพูดต่อ “ฮิ! ไอ้กาก เงียบนี่ยอมรับแล้วละซิ!”
หลังจากพูดจบ มู่หลงเหยียนก็ดึงมือและแขนผมต่อ
“โอ๊ย โอ๊ย อย่า อย่าดึง จะหักแล้ว คนอื่นมันพูดเหลวไหล ที่จริงเรื่องมันเป็นแบบนี้…” ผมรีบพูด
“ดี งั้นนายพูดออกมา !” มู่หลงเหยียนก็ไม่ได้ ทําท่าจะดึงแขนผมต่อ
ตอนนี้เธอทําตามที่ผมบอก ค่อยๆลดแขนผมลง ปล่อยมือจากแขนผมอย่างแรง แล้วลงไปยืนที่ข้างเตียง
แม้จะปล่อยมือจากแขนผมแล้ว แต่ผมก็ยังรู้สึกเจ็บอยู่พอสมควร
ผมนวดมือตัวเอง หลังจากนั้นก็ลุกขึ้นนั่งบนเตียง
ตอนผมเห็นตัวมู่หลงเหยียน ผมก็ตะลึงในทันที
เพราะผมพบว่า คราวนี้มู่หลงเหยียน ไม่ได้ใส่เสื้อผ้าเหมือนเมื่อก่อน แต่เป็นชุดแถวแฟชั่น
กางเกงยีนส์กับเสื้อโค้ท ดูเป็นคนใจกว้าง เจ้าแม่สตรีทที่สมบูรณ์แบบ !
และชุดนี้ ก็เป็นชุดที่ผมซื้อให้เธอในเทศกาลกวงกัน
ชุดนี้ดูธรรมดามาก ผู้หญิงใส่กันเต็มท้องถนน
แต่พอมันมาอยู่บนตัวมู่หลงเหยียน มันกลับดูมีเสน่ห์จนพูดไม่ออกกันเลยทีเดียว
เหมือนตัวเธอจะเปลี่ยนไปจากเดิม ไม่เพียงแค่ดูพอดีตัว แต่มันยังสวยจนใจเต้นอีกด้วย
เพราะวันนี้มู่หลงเหยียนเปลี่ยนสไตล์จากชุดขาว ผมเลยนิ่งอึ้งไปพักหนึ่ง
ผลลัพธ์มู่หลงเหยียนกลับขมวดคิ้ว “มองอะไรฮะ ? ถ้ายังมองอีกฉันจะควักลูกตานายออกมา รีบพูดมา
ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่”
พอโดนมู่หลงเหยียนกระตุ้นแบบนั้น ผมก็ค่อยๆลุกออกจากเตียง
หลังจากนั้นก็พูดว่า “น้องศพ เธอเข้าใจฉันผิดจริงๆ เรื่องมันเป็นแบบนี้ เมื่อวานหยางเฉวปิดเทอม ให้ฉันไปช่วยเธอขนของเธอมาขอร้องฉัน ฉันก็ไม่รู้จะปฏิเสธยังไง ต่อจากนั้นเราก็ไปกินชาบูกัน…”
ต่อจากนั้น ผมก็เล่าเรื่องที่เจอหยางเฉ่ว และเรื่องที่เจอทั้งหมดให้มู่หลงเหยียนฟังอย่างละเอียด
แม้มู่หลงเหยียนจะร้ายกับผมมาก แต่บางครั้ง เธอก็ดีกับผมมาก
บางครั้งเวลาเจอผมก็บ่นใส่ผมบ้างเล็กน้อย แต่ผมก็ไม่เคยโกรธเธอ หรือแม้แต่รู้สึกแปลกๆกับเธอด้วย
มันเป็นความรู้สึกที่ตัวผมเองก็อธิบายออกมาไม่ถูก
ผมใช้เวลาไปพอสมควร กว่าจะเล่าเรื่องที่เจอในสองวันนี้ให้มู่หลงเหยียนฟังจนจบ
โดยเฉพาะตอนที่เอาเด็กๆไปส่ง ผมพูดอย่างชัดเจน ว่าตอนนั้นพวกเราไปกันสามคนยังมีเหล่าเฟิงด้วยอีกคน ไม่ได้ไปกันแค่ผมและนุ่ยเฉิงจิงสองคน แถมไม่ได้ถือผ้าปูที่นอน และพูดกระหนุงกระหนิงอะไรกันด้วย
มันเป็นเรื่องเหลวไหลทั้งเพ
หลังมู่หลงเหยียนฟังผมเล่าจบ เธอก็ค่อยๆขมวดคิ้วเป็นปม
“ฮิ! เจ้าเฮ่เฟิงสมควรตาย” มู่หลงเหยียนบ่นขี้นมาอย่างกระทันหัน
แม้มันจะเบามาก แต่ผมกลับได้ยินอย่างชัดเจน
ในใจผมมีเสียงดัง “ถูก” สีหน้าเปลี่ยนไปทันที
เย่เฟิง ไม่ใช่เจ้าหน้าตาพอใช้ได้นั่นเหรอ แถมยังถูกเรียกว่าหนึ่งในห้านักรับวิญญาณอะไรนั่นด้วย
แต่ประเด็นคือ เจ้าหมอนั้นยังมาหามู่หลงเหยียน มันคิดจะตีท้ายครัวบ้านผม มายุ่งกับผู้หญิงของผมงั้นเหรอ
บ้าเอ้ย ! ผมก็ว่าอยู่ ว่าผีตาบอดที่ไหน เอาเรื่องของผมไปพูดเสียๆหายๆ
ตอนนี้ผมเข้าใจแล้ว ที่แท้ก็เป็นศัตรูหัวใจ คิดจะใส่ร้ายผมนี่เอง
ผมทําหน้าเข้ม พูดกับมู่หลงเหยียนอีกครั้ง “น้องศพ เจ้าเย่เฟิงมาหาเธออีกแล้วเหรอ?”
มู่หลงเหยียนพยักหน้าเล็กน้อย “อ๋อ ! เมื่อคืนผีเร่ร่อนสองตนที่พวกนายเจอในป่า ก็คือเย่เฟิงกับคนรับใช้ของเขาน่ะ”
น้ําเสียงของมู่หลงเหยียนเริ่มเยือกเย็นขึ้นนิดหน่อย แต่ผมกลับไม่ได้สนใจเรื่องนี้ ผมถามต่อทัน
“เขามาหาเธอทําไม ?”
พอมู่หลงเหยียนได้ยินน้ําเสียงที่ค่อนข้างร้อนรนของผม หรือแม้แต่กระวนกระวาย เธอกลับหันมาจ้องผมทันที “เกี่ยวอะไรกับนายด้วยละ ?”
“ทําไมจะไม่เกี่ยวกับฉันได้ละ ?” ผมเชิดหน้าอกขึ้น และรีบเกียงเธอกลับทันที
จู่ๆมู่หลงเหยียนที่เคยทําท่าทางเคร่งขรึม “ฮะ” ก็หลุดขําออกมา เมื่อเห็นสีหน้าท่าทางของผม จากนั้นเธอก็ฉีกยิ้มสวยๆออกมา
หลังจากนั้นก็เปลี่ยนเป็นทําหน้าดใส่ผมอีกรอบ แล้วยังใช้น้ําเสียงขี้เล่นหน่อยๆพูดกับผม
“นายจะกังวลขนาดนั้นไปทําไม ?”
“ฉัน ฉัน….” ผมเพิ่งเอ่ยปาก ก็พบว่าตัวเองพูดไม่ออกแล้ว
เดิมที่ผมคิดจะพูดว่า ก็เพราะเป็นผัวเธอไง
ผลลัพธ์ตอนเห็นสายตาของมู่หลงเหยียน ผมกลับรู้สึกเขินขึ้นมา จนพูดไม่ออก
พอมู่หลงเหยียนเห็นผมเป็นแบบนั้น กลับฉีกยิ้มออกมาเล็กน้อย “เย่เฟิงมาเพราะ จะหารีอกับฉันเรื่องร่วมมือกันจัดการองค์กรตาผีน่ะ”
พอพูดถึงตรงนี้ มู่หลงเหยียนก็เปลี่ยนเรื่อง เธอทําน้ําเสียงล้อเลียนผมแทน “เจ้ากาก ฉันเก็บตัวสองวัน
นายก็ใช้ได้เลยนิ ! ทั้งนักศึกษา ดารา นักธุรกิจ อะไรนั้น ก็ไปคบหาสมาคมกันซะดิบดี ! ตอนนี้ยังมีศิษย์
เหมาชานอีกคน ทําไม ? อยากมีเมียน้อยแล้ว เหรอยะ”