ว่าไงคะท่านนายพล - ตอนที่ 33 : คนที่รับสายและวางสาย
แต่คิดไปคิดมา เฉินหลายคิดว่าเรื่องนี้เขาอาจจะตัดสินใจแทนไม่ได้จริง ๆ เขาหมุนปากกาในมือเล่นไปมาแรง ๆ จนดูเหมือนว่ามันจะหลุดออกจากมือได้ทุกเมื่อ ก่อนที่เขาจะพูดว่า “เหนียนจื่อ เธอช่วยรอแปบนึงได้ไหม? ฉันขอโทรหาเขาก่อน” ขณะที่เขาพักสายไป เขาก็หันหลังกลับไปใช้โทรศัพท์บ้านเพื่อโทรหาเจ้านายด้วยหมายเลขทหารส่วนตัวของเขา
“มีอะไร?” เสียงของฮัวเฉาเหิงดังขึ้นจากปลายสายอีกด้านหนึ่ง
ใบหน้าของหมอหนุ่มกำลังยิ้มแก้มแทบปริ “เจ้านาย ตอนนี้สะดวกคุยเรื่องเกี่ยวกับเหนียนจื่อไหม?”
“อืม ถือสายรอก่อน” นายพลหนุ่มมองไปยังห้องที่เต็มไปด้วยชายที่เป็นนายทหารระดับสูง ระดับต่ำสุดของพวกเขาคือผู้พัน จากนั้นเขาก็บอกกับทุกคนว่า “ฉันต้องรับสายนี้ คุยกันไปก่อนแล้วกัน”
เจ้าหน้าที่ภาคสนามทุกคนกำลังนั่งเคร่งเครียดกันอยู่ พวกเขากำลังอยู่ระหว่างการประชุมทางทหารที่สำคัญ เมื่อได้ยินคำพูดของฮัวเฉาเหิง พวกเขาก็นิ่งเงียบไป
สายที่โทรหาเขาครั้งนี้สำคัญพอที่จะขัดจังหวะการประชุมระดับสูงเลยอย่างนั้นเหรอ ตอนนี้กองกำลังปฏิบัติการพิเศษกำลังประสบปัญหานอกประเทศหรือเปล่า? หรือว่าพวกเขาจับสายลับที่จัดการได้ยากที่สุดซึ่งเป็นสายลับ CIA ของสหรัฐอเมริกาที่ถูกส่งมาแฝงตัวอยู่ในประเทศของพวกเขา?
ตอนนี้ทุกคนในห้องกำลังรวบรวมข่าวกรองกันอย่างแข็งขัน มันเป็นส่วนหนึ่งของรายละเอียดงานของพวกเขา พวกเขาจึงต้องทำทุกอย่างให้รอบคอบมากที่สุดเท่าที่จะทำได้
Translate by Akira
ฮัวเฉาเหิงรู้ว่าพวกเขากำลังคิดอะไร แต่เขาก็คิดว่าเรื่องนี้มีความสำคัญ เพราะตอนนี้อะไรก็ตามที่เกี่ยวข้องกับกู้เหนียนจื่อมีความสำคัญสูงสุดสำหรับเขา
ชายหนุ่มร่างสูงเดินออกจากห้องประชุมไปด้วยสีหน้านิ่ง ๆ แล้วไปนั่งในสำนักงานเล็ก ๆ ที่อยู่ข้างห้องประชุมก่อนจะเปิดม่านมองออกไปข้างนอกแล้วพูดว่า “ว่ามา”
ในเวลานี้เฉินหลายรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย “คุณยุ่งอยู่หรือเปล่า?”
หากเจ้านายของเขากำลังทำอะไรที่สำคัญอยู่จริง ๆ เขาก็รู้สึกว่าเขาอาจจะรีบร้อนโทรหาอีกฝ่ายเกินไป
แม้ว่าเขาจะคิดว่าเรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องเล่น ๆ แต่มันก็ควรจะอยู่ในเวลาที่เหมาะสม ในตอนนี้หมอหนุ่มรู้สึกไม่สบายใจเลย
“ไม่เป็นไร พูดมาเถอะ นายบอกว่ามีบางอย่างจะพูดเกี่ยวกับเหนียนจื่อใช่ไหม” ก่อนหน้านี้ฮัวเฉาเหิงโทรหาเจี้ยวเลี่ยงจื่อโดยใช้โทรศัพท์ ภายในและบอกให้เขานำโทรศัพท์ส่วนตัวที่ใช้ในฐานะพลเรือนทั่วไปมาให้เขา เมื่ออีกฝ่ายนำมาให้ เขาก็พบว่าตนเองไม่ได้รับสายจากกู้เหนียนจื่อเป็นจำนวนมาก
เฉินหลายพูดอย่างรวดเร็วว่า “โอ้ ไม่มีอะไรสำคัญหรอก เหนียนจื่อโทรหาผมเพื่อบอกว่าเธอโทรหาคุณไม่ติด เธอเลยบอกให้ผมถามคุณแทนว่า หัวหน้าห้องของเธออยากจะจีบเธอ เธออยากรู้ว่าคุณโอเคกับเรื่องนั้นไหม”
เมื่อชายหนุ่มตระหนักว่าอีกคนโทรหาเขาด้วยเรื่องไร้สาระแบบนี้ เขาจึงปาโทรศัพท์ส่วนตัวลงบนโต๊ะด้วยความโกรธ “ฉันบอกให้นายโทรหาก็ต่อเมื่อมีเรื่องสำคัญเท่านั้น แล้วทำไมนายถึงโทรหาฉันด้วยเรื่องไร้สาระแบบนี้”
“อย่าเพิ่งโกรธๆ!” เสียงของปลายสายตื่นตระหนกทันที “ทำไมคุณไม่โทรหาเหนียนจื่อตอนที่คุณว่างล่ะ? คุณก็รู้ว่าเธอเชื่อฟังคุณแค่ไหน ถ้าคุณพูดด้วยน้ำเสียงดุ ๆ เดี๋ยวเธอก็สลัดเจ้าหมอนั่นทิ้งเองแหละ”
ฮัวเฉาเหิงไม่ได้ฟังประโยคหลัง “ฉันยังมีประชุม ฉันไม่มีเวลามาสนใจเรื่องนี้ เราจะพูดเรื่องนี้กันทีหลัง” เขาวางสายก่อนจะลุกขึ้นจากที่นั่งและกลับไปที่ห้องประชุมเพื่อดำเนินการประชุมต่อ
อีกด้านหนึ่ง เฉินหลายเปลี่ยนสายกลับไปคุยกับกู้เหนียนจื่อ และพบว่าเธอรอสายอยู่ตลอดเวลา เขารู้สึกแย่ที่ทำให้เธอต้องรอ เขาจึงตัดสินใจปลอบเธอด้วยการโกหก “เหนียนจื่อ ฮัวเฉากำลังประชุมอยู่ ฉันก็โทรหาเขาไม่ติดเหมือนกัน ฉันขอให้โอเปอเรเตอร์ฝากข้อความถึงเขาแล้ว เขาจะโทรหาเธอหลังจากที่ประชุมเสร็จ”
หญิงสาวมองออกไปที่กระจกหน้ารถ แล้วรู้ว่าเหม่ยเสี่ยวเหวินได้หยุดรถแล้ว
ตอนนี้พวกเขาอยู่หน้าอาคารผู้เชี่ยวชาญของมหาวิทยาลัย C ซึ่งเฮอจือชูอาศัยอยู่ที่นี่
เธอรีบพูดกับหมอหนุ่มว่า “อาฮัวยุ่งอยู่ตลอดเลย ไม่เป็นไร อย่าไปรบกวนเขา ฉันจะคุยกับเขาเองถ้าเขามีเวลา ดูแลตัวเองด้วยนะพี่เฉิน” พูดจบเธอก็วางสายแล้วหันไปมองหัวหน้าหนุ่มที่เฝ้าดูเธออยู่เงียบ ๆ เธอโบกมืออย่างหมดหนทางและพูดว่า “หัวหน้าเหม่ย นายได้ยินทุกอย่างแล้ว ไม่ใช่ฉันไม่อยากตอบนะ แต่ครอบครัวของฉันยุ่งมากจริง ๆ”
ก่อนหน้านี้ กู้เหนียนจื่อโทรออกหลายครั้ง และโทรหาอีกคนให้ช่วยติดต่อ แต่ก็ยังไม่สามารถพูดกับผู้ปกครองของเธอได้
มันทำให้เหม่ยเสี่ยวเหวินคิดถึงพ่อแม่ของเขาเอง พวกเขาก็ยุ่งมากเหมือนกัน แต่ไม่ว่าพวกเขาจะยุ่งแค่ไหน พวกเขามักจะรับสายจากเขาโดยเร็วที่สุด พวกเขาจะไม่เคยทิ้งให้เขารออยู่แบบนั้น
นี่อาจเป็นความแตกต่างระหว่างครอบครัวทางสายเลือดกับครอบครัวบุญธรรม
ชายหนุ่มมองหญิงสาวที่เขาชอบด้วยความเห็นอกเห็นใจและสงสาร เขาไม่ได้ตั้งใจจะทำให้เรื่องนี้ยากสำหรับเธอ เขาพูดด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยนกว่าปกติว่า “ไม่เป็นไร ฉันจะรอให้เธอได้รับอนุญาตจากครอบครัวของเธอก่อนก็ได้”
“ขอบคุณที่เข้าใจนะ หัวหน้าเหม่ย” กู้เหนียนจื่อรู้สึกขอบคุณที่อีกฝ่ายมีเหตุผลและมีน้ำใจ นั่นยิ่งทำให้เธอประทับใจเขามากขึ้นไปอีก
หลังจากนั้นทั้งสองคนก็ลงจากรถ แล้วเหม่ยเสี่ยวเหวินเดินนำกู้เหนียนจื่อเข้าไปในอาคารผู้เชี่ยวชาญเพื่อไปพบเฮอจือชูพร้อมกัน “เขาอาจจะยังดูเหมือนอายุไม่เยอะ แต่เขามีหุ้นส่วนในบริษัทกฎหมายที่ใหญ่ที่สุดในสหรัฐอเมริกา เขาสำเร็จการศึกษาระดับปริญญาเอกด้านกฎหมายจากโรงเรียนกฎหมายเยล และเป็นศาสตราจารย์ประจำที่โรงเรียนกฎหมายฮาร์วาร์ด อย่างที่เธอเห็น เขาเก่งพอที่จะทำตัวหยิ่งได้ แต่ในขณะเดียวกัน เขาก็เหมือนกับคนอเมริกันทั่วไป เขาสนใจแต่ข้อเท็จจริงเท่านั้น เขาไม่เลือกปฏิบัติหรือใช้ความรู้สึกส่วนตัวมาตัดสิน ตราบใดที่เธอพูดความจริงและสามารถคิดวิธีที่จะโน้มน้าวใจเขาได้ เขาจะฟังเธอ”
Translate by Akira
หญิงสาวจดบันทึกทุกสิ่งที่เขาพูดพลางพยักหน้าเป็นครั้งคราวเพื่อแสดงว่าเธอกำลังฟังอย่างตั้งใจ
ขณะที่เหม่ยเสี่ยวเหวินอธิบาย เขาได้พาเธอไปที่ลิฟต์ในอาคารผู้เชี่ยวชาญ เขาหยิบการ์ดขึ้นมาแล้วกดขึ้นไปที่ชั้น 18
ลิฟต์กำลังเลื่อนขึ้นไปเรื่อย ๆ กู้เหนียนจื่อหันมามองคนข้างกายและพูดว่า “หัวหน้า ทำไมนายมีบัตรเข้าอาคารได้ล่ะ?”
ลิฟต์ในอาคารผู้เชี่ยวชาญสามารถใช้ได้เฉพาะผู้ที่มีบัตรผ่านเข้าออกและไปยังชั้นที่ห้องของเจ้าของบัตรอยู่เท่านั้น การขึ้นไปที่ชั้นอื่นต้องได้รับการอนุมัติจากแผนกที่เกี่ยวข้องในมหาวิทยาลัย จากนั้นจึงขอให้เจ้าหน้าที่บริการในอาคารผู้เชี่ยวชาญนำทางไปเพราะการรักษาความปลอดภัยที่นี่แน่นหนามาก
แผนเดิมของกู้เหนียนจื่อคือการเชิญเฮอจือชูมาพบที่ชั้น 1 หรือบางทีเธออาจจะติดต่อเพื่อนัดหมายเวลากับเขาอีกที แล้วก็มาพบเขาที่ชั้นล่างหรือประตูด้านหน้า
เหม่ยเสี่ยวเหวินล้วงมือเข้าไปในกระเป๋าของเขาในขณะที่เขามองดูจำนวนชั้นที่เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ บนหน้าจอลิฟต์ เขายิ้มและตอบว่า “ฉันบอกเธอแล้ว ฉันอยากให้เธอเป็นแฟนของฉัน ฉันต้องแสดงให้เธอเห็นว่าฉันหมายความตามนั้น การหาบัตรเข้าที่นี่เป็นเรื่องที่ฉันทำได้เพื่อแสดงความจริงใจของฉัน”
ใบหน้าของฝ่ายที่ได้ฟังเปลี่ยนเป็นสีแดง แต่โชคดีที่ลิฟต์มาถึงชั้น 18 พอดี พอประตูเปิดออก เธอจึงเดินออกไปอย่างรวดเร็ว
ตอนนี้เธอโล่งใจมากที่เธอไม่ต้องอยู่ในสถานการณ์นั้นต่อ
หัวหน้าหนุ่มตามเธอออกมาแล้วชี้ไปที่ห้องสุดท้ายของห้องโถงด้านซ้ายและกล่าวว่า “ศาสตราจารย์เฮอจือชูอยู่ที่ห้องนั้น เธอโทรหาเขาก่อนก็ได้”
ในแต่ละชั้นของอาคารผู้เชี่ยวชาญจะมีโทรศัพท์สาธารณะอยู่
เป็นอีกครั้งที่ชายหนุ่มจัดการทุกอย่างแทนกู้เหนียนจื่อ เขาเดินไปที่นั่นและกดหมายเลขเพื่อช่วยเหลือเธอ
หญิงสาวรอสายอย่างกังวลใจ หลังจากโทรไป 2 ครั้ง ก็มีคนรับสาย
“ต้องการพูดกับใคร?” ชายที่รับโทรศัพท์มีเสียงที่ชัดเจนและกระฉับกระเฉง แต่ก็มีร่องรอยของความเหนื่อยล้าอยู่ในนั้นด้วย
ในขณะนี้เสียงหัวใจของกู้เหนียนจื่อเต้นตุบ ๆ อยู่ในโสตประสาทของเธอขณะที่เธอถามอย่างเร่งรีบ “นี่คือศาสตราจารย์เฮอจือชูใช่ไหมคะ? หนูชื่อกู้เหนียนจื่อค่ะ”
Translate by Akira
ทันทีที่เธอพูดอย่างนั้น ปลายสายก็เงียบไป แม้แต่เสียงหายใจก็ไม่ได้ยิน
หญิงสาวรอสักครู่ แล้วประหลาดใจที่อีกฝ่ายตกอยู่ในความเงียบ แต่การโทรยังคงเชื่อมต่ออยู่ ดังนั้นเธอจึงตัดสินใจพูดต่อ
“ศาสตราจารย์เฮอจือชูคะ? ชื่อของหนูคือกู้เหนียนจื่อ หนูสมัครเป็นนักศึกษาปริญญาโทของคุณ แต่หนูป่วยหนักค่ะ มันกะทันหันมาก และหนูพลาดการสัมภาษณ์ หนูแค่อยากจะขอ—”
แกร๊ก!
ใครก็ตามที่อยู่ปลายสายได้วางสายเธอไปแล้วจริง ๆ
กู้เหนียนจื่อมองโทรศัพท์อย่างงุนงงและไม่แน่ใจ เธอเคาะโทรศัพท์ แล้วพูดว่า ‘ฮัลโหล’ สองสามครั้ง ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองเหม่ยเสี่ยวเหวินแล้วถามว่า “ศาสตราจารย์เขาอยู่คนเดียวหรือเปล่า”
“ใช่ เขามีผู้ช่วยสอนเป็นผู้หญิง แต่เขาไม่ได้อยู่ด้วยกัน” หัวหน้าหนุ่มพยายามรวบรวมข้อมูลทุกอย่างที่พอจะช่วยเหลือเธอได้มา รวมถึงการวิจัยของเฮอจือชู และเขารู้อะไรเกี่ยวกับศาสตราจารย์มากกว่าหยินชือฉงด้วย
“งั้นแสดงว่าศาสตราจารย์เขาวางสายใส่ฉัน” กู้เหนียนจื่อกัดริมฝีปากของตัวเอง “ฉันจะลองโทรหาเขาอีกครั้ง!”