วิวาห์หวาน นายซาตานที่รักของฉัน - ตอนที่ 166 อยู่กันจนแก่เฒ่า
บทที่ 166 อยู่กันจนแก่เฒ่า
ลู่จิ่งเซินมองเธออย่างเย็นชา
จิ่งหนิงยังคงล้อ “ฉันจะบอกคุณว่าหลายวันนี้คุณจะต้องติดตามฉันทุกย่างก้าวไม่ห่าง เพื่อหมาป่าจะไม่ได้คาบไป อยู่กับฉัน ฉันจะได้ปกป้องเธอได้ ฮ่า ๆ”
เธอพูดจบแล้วหัวเราะร่วน แต่ลู่จิ่งเซินกลับอึ้งไปเล็กน้อย
เขาลำบากใจเล็กน้อย ใครจะคิดว่าเขาซึ่งเป็นประธานลู่ซื่อกรุ๊ปผู้สง่างาม วันหนึ่งจะถูกคนอำแบบนี้
กลายเป็นว่าเขาพูดอะไรไม่ออกเลย
สุดท้ายทำอะไรไม่ได้นอกจากดีดหน้าผากของหญิงสาวหนึ่งที “คุณน่ะ ไม่รู้จะทำยังไงดีแล้ว ช่างเถอะ รีบไปเถอะ กินข้าวเสร็จเรายังต้องไปเขาเคอหม่าเสินอีก”
ทั้งสองคนรีบเดินไปทางคฤหาสน์ด้วยกัน
ตอนเที่ยง ลู่จิ่งเซินเข้าครัวทำอาหาร จิ่งหนิงรู้ตัวและเข้าไปเป็นผู้ช่วยเขา ล้างผัก ล้างจานต่าง ๆ ทั้งสองคนดูเหมือนกับคู่สามีภรรยาหนุ่มสาว
ล้างผักเสร็จ จิ่งหนิงไม่มีอะไรทำ เธอจึงย้ายม้านั่งตัวเล็กไปนั่งที่ประตูห้องครัวเพื่อดูชายหนุ่มทำอาหาร
เธอพบว่าผู้ชายที่หล่อเหลานั้นดูดีไม่ว่าจะเป็นอะไรก็ตามแม้ว่าพวกเขาจะมีผมยุ่งเหยิงและสวมผ้ากันเปื้อน แต่พวกเขาก็มีความหล่อเท่จากภายในสู่ภายนอก
ท่าทางสงบนิ่ง ท่วงท่าชำนาญ ตะหลิวในมือไม่ใช่ตะหลิว มันคือไม้กำราบมังกรสยบเสือ
กระทะก็ไม่ใช่กระทะ มันคือสัญลักษณ์คาถา สองมือกางออก คำสั่งฟ้าดิน จิตใจฮึกเหิม
มุมปากเธอยกยิ้ม เธอจมอยู่กับจินตนาการของผู้ชายที่สำรวจโลก ทันใดนั้นเสียงดัง “ปัง” ก็ดังขึ้น
จิ่งหนิงตกใจและสะดุ้งเด้งตัวจากเก้าอี้ เธอเห็นลู่จิ่งเซินรีบโยนฝาหม้อเพื่อปิดมันและเนื้อข้างในก็ยังเดือดปุด ๆ เสียงดัง
จิ่งหนิงจ้องมองเขาอย่างลึกซึ้งและเห็นสีหน้าโล่งอกฉายแวบออกมาจากอีกฝ่าย
ดีล่ะ!
เป็นเธอเองที่คิดมากไป ที่แท้ลู่จิ่งเซินก็ไม่ค่อยจะได้ทำอาหาร แต่ก็ยังจะดื้อดึงใช้ความรู้ในชีวิตและความคิดเชิงตรรกะหยิบจับอานั่นนี่มาปรุงให้สุกเท่านั้น
หลังจากทำอาหารเสร็จแล้วแม้หน้าตาจะดูจืดชืดแต่รสชาติยังพอนับว่าผ่าน ทั้งสองรับประทานอาหารเสร็จแล้วก็เก็บกระเป๋าเรียบร้อยแล้วพวกเขาก็ออกเดินไปทางเขาเคอหม่าเสิน
ระยะทางจากคฤหาสน์ของพวกเขาไปถึงเขาเคอหม่าเสินใช้เวลาในการเดินทางโดยรถยนต์ประมาณหนึ่งชั่วโมง ทั้งสองนั่งแท็กซี่ในบริเวณใกล้เคียงและมาถึงตีนเขาในอีกหนึ่งชั่วโมงต่อมา
แน่นอนว่านักท่องเที่ยวจำนวนมากจากทั่วทุกมุมโลกมารวมตัวกันที่นั่น จิ่งหนิงและลู่จิ่งเซินเดินขึ้นไปบนภูเขาด้วยกัน
ตอนนี้เป็นช่วงบ่าย แสงแดดจ้า จุดนี้อยู่ไม่ไกลจากทะเลมากนักจึงมีลมทะเลพัดผ่านที่ราบให้ความรู้สึกสบายใจเป็นอย่างยิ่ง
เมื่อทั้งสองปีนขึ้นไปได้ครึ่งทางก็เป็นเวลาบ่ายสี่โมงแล้ว ลู่จิ่งเซินที่ออกกำลังกายมาหลายปีที่รู้สึกว่ายังดีอยู่ แต่จิ่งหนิงกลับเหนื่อยจนหายใจหอบ
“ยังปีนไหวไหม?” ลู่จิ่งเซินพยุงเธอและหยิบน้ำดื่มออกจากกระเป๋าเป้สะพายหลังแล้วส่งให้
จิ่งหนิงรับไปและกระดกน้ำหลายอึกและพยักหน้า “ยังไหว”
เธอจะต้องปีนขึ้นไปให้ได้และไม่เลิกล้มกลางคัน ให้คนอื่นหัวเราะเยาะ
จิ่งหนิงถอนหายใจและพยายามปีนขึ้นไป ลู่จิ่งเซินตามมาข้างหลัง ประการแรกเพื่อปกป้องเธอ ประการที่สองเขาไม่ต้องการให้เธอเห็นแววตาล้อเล่นภายใต้ดวงตาของเขา
“เอ๊ะ ตรงนั้นคืออะไร?”
ทันใดนั้นจิ่งหนิงยืดตัวตรงและถามชี้ไปที่ต้นไม้ที่พันด้วยเชือกสีแดงที่อยู่ไม่ไกล
มีนักท่องเที่ยวไม่น้อยเดินเข้าไปทางนั้น ลู่จิ่งเซินหยุดและมองดูแล้วพูดขึ้น “ไม่แน่ใจ ดูเหมือนตรงนั้นจะมีคนสวดมนต์อะไร”
จู่ ๆ จิ่งหนิงก็ให้ความสนใจ “ไป พวกเราเข้าไปดูกัน”
ทั้งสองเดินเข้าไปและพบว่าตรงนั้นมีทะเลสาบเล็ก ๆ
ด้านหลังทะเลสาบมีต้นไทรใหญ่ที่มีป้ายไม้สีแดงแขวนอยู่เต็มไปหมด ด้านหน้ามีพระเณรหนุ่มอายุยี่สิบกว่าปี สวมเสื้อคลุมซอมซ่อนั่งขัดสมาธิและสวดมนต์อยู่ตรงนั้น
จิ่งหนิงไม่เข้าใจว่านี่มันหมายความว่าอย่างไรจึงได้ถามลู่จิ่งเซินขึ้นเบา ๆ “ท่านกำลังทำอะไรอยู่คะ?”
“ปฏิบัติธรรม” ลู่จิ่งเซินกระซิบตอบ
“ปฏิบัติธรรม?” จิ่งหนิงรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย เมื่อลู่จิ่งเซินเห็นว่าเธอยังไม่เข้าจึงอธิบายต่อ
“ท่านเป็นผู้บำเพ็ญตบะ วัฒนธรรมทางพระพุทธศาสนาเจริญรุ่งเรืองซึ่งแตกต่างจากศาสนาพุทธมหายานในหัวเซี่ย
วัฒนธรรมทางพระพุทธศาสนาที่นี่นั้นเป็นการสืบทอดนิกายหินยาน บำเพ็ญปฏิบัติตน มีหลายรูปที่ออกบวชตั้งแต่ยังเด็ก และมีจิตใจเลื่อมใสในพระพุทธศาสนา เดินทางธุดงค์ไปทั่วมาตุภูมิด้วยเท้าทั้งสองข้าง ไม่ว่าจะเป็นฤดูหนาวหรือท่ามกลางอากาศร้อนอบอ้าว ไม่มีวันหยุด บำเพ็ญเพียรด้วยความยากลำบากหวังเพื่อหลุดพ้นในเร็ววัน”
จิ่งหนิงผงะไปครู่หนึ่งแล้วก็ตะลึง
และถามเขาต่อ “แล้วพวกป้ายไม้สีแดงนั่นล่ะคืออะไร?”
ลู่จิ่งเซินขมวดคิ้วเล็กน้อย “ไม่รู้สิ คาดว่าเมื่อคนทั่วไปเห็น ก็คงอยากจะขอพร คุณเห็นดินใต้ที่นั่งของท่านไหม? รอบ ๆ มันแห้งแต่ตรงท่านกลับเปียกชื้นเล็กน้อย อีกทั้งยังบุ๋มลงไปไม่น้อย ท่านคงจะนั่งอยู่ตรงนี้หลายวันแล้ว”
“หลายวัน? แล้วท่านไม่ฉันไม่ดื่มไม่จำวัดเหรอ?”
ลู่จิ่งเซินส่ายหน้า “ผมรู้เกี่ยวกับเรื่องเพียงผิวเผินเท่านั้น ผมไม่ค่อยรู้มากไปกว่านี้แล้ว”
จิ่งหนิงยิ้มกริ่มและพูดประจบเอาใจ “ผิวเผินก็รู้มากกว่าฉันตั้งเยอะแล้ว ต้องขอชมคุณเลย”
ลู่จิ่งเซินเห็นท่าทางประจบประแจงของเธอ จึงทำได้เพียงส่ายหน้าไปมาแล้วทั้งสองคนก็ปีนขึ้นไปบนเขาต่อ
พวกเขาเดินจนมืดสนิทจึงปีนขึ้นมาถึงยอดเขา
จิ่งหนิงเหนื่อยเสียจนไม่อยากจะขยับแม้แต่นิ้ว ลู่จิ่งเซินลากเธอไปที่ร้านอาหารบนยอดเขาเพื่อกินข้าวหลังจากกินเสร็จเธอก็ฟื้นกลับมาแข็งแรง
“คุณผู้หญิง คุณผู้ชาย ต้องการกุญแจคู่รักไหม? ออกมาคล้องกุญแจคู่รักข้างนอกสิ”
ตอนนี้เองหญิงชราผมขาวหงอกเดินเข้ามา บนตัวเธอมีกุญแจหลากหลายขนาดและรูปร่างต่างกันจำนวนมากนำมาขายพวกเขา
จิ่งหนิงถามขึ้นด้วยความอยากรู้: “กุญแจคู่รัก? มันคืออะไร?”
“เขียนชื่อพวกคุณลงไปแล้วเอาไปแขวนที่สะพานชะตากรรมแล้วพวกคุณจะได้อยู่ด้วยกันตลอดชีวิตจนแก่เฒ่า ไม่มีวันแยกจากกัน”
แววตาของจิ่งหนิงเป็นประกาย
หันกลับมาและถามลู่จิ่งเซิน “พวกเราเอาอันหนึ่งดีไหมคะ?”
ลู่จิ่งเซินพยักหน้า จิ่งหนิงจึงเลือกอันหนึ่งจากบนตัวของหญิงชราและถาม: “เท่าไหร่คะ?”
“ยี่สิบ”
ลู่จิ่งเซินจ่ายไปด้วยธนบัตรหนึ่งร้อยหนึ่งใบและส่งสัญญาณให้เธอว่าไม่ต้องทอน
หญิงชราทั้งดีใจและซาบซึ้งในทันใดและมอบแม่กุญแจเล็ก ๆ ให้กับพวกเขา โดยบอกว่านี่คือกุญแจลูกเต็มบ้านหลานเต็มเมือง เมื่อแขวนไว้บนสะพานชะตากรรม จะมีลูกหลานร้อยพัน ลูกหลานเต็มบ้าน
ทั้งสองรับมาอย่างซาบซึ้งใจ หลังคิดเงินเสร็จแล้ว พวกเขาก็เดินไปสะพานชะตากรรมที่ตามที่หญิงชราคนนั้นบอก
เดินไปได้ประมาณครึ่งกิโลเมตร ในที่สุดก็เห็นสะพานแขวนที่พาดผ่านน้ำตกที่เหือดแห้งนานแล้ว
สะพานน่าจะมีอายุประมาณหนึ่งและมีกุญแจเล็กใหญ่มากมายหลายขนาดแขวนอยู่บนนั้น จิ่งหนิงวิ่งเข้าไปอย่างรวดเร็วและเห็นว่ามีชื่อและข้อความแสดงความรักเขียนอยู่บนลูกกุญแจเหล่านั้น
“ที่แท้ก็ยังมีการเล่นแบบนี้อีก ใหม่จริง ๆ!”
ลู่จิ่งเซินเม้มริมฝีปากเล็กน้อยแล้วเดินไป “ตรงนี้สิ! ตรงนี้ถูกเจอได้ยาก เก็บรักษาได้นานหน่อย”
ลู่จิ่งเซินเห็นเช่นนั้นจึงหยิบปากกาออกมาจากกระเป๋าเสื้อและเขียนชื่อของทั้งสองคนบนพื้นผิวกุญแจ