วิวาห์หวาน นายซาตานที่รักของฉัน - ตอนที่ 164 คำอวยพร
บทที่ 164 คำอวยพร
เมื่อทานเสร็จ ทั้งคู่จึงลาสามีภรรยาเจ้าของร้าน แล้วเดินออกมาข้างนอก
แต่เมื่อตอนนี้เป็นเวลาประมาณสี่โมงเย็นแล้ว เถ้าแก่เนี้ยแนะนำให้พวกเขาเดินตรงไป บอกว่ามีตลาดกลางคืนอยู่ เปิดห้าโมงเย็นตรงนั้นครึกครื้นมาก ทั้งคู่จึงตัดสินใจไปเดินดู
ลู่จิ่งเซินทั้งชีวิตนี้ไม่เคยไปเดินตลาดกลางคืนมาก่อน รู้สึกอยากเห็นเล็กน้อย
และเห็นจิ่งหนิงสีหน้าท่าทางคึกคักเป็นอย่างมาก เขาก็ยิ่งสนใจ ทั้งคู่เดินไปทางช้อปไปพลอง
ข้างถนนมีคนปั่นจักรยานคู่ผ่านมา จิ่งหนิงเห็นแล้วก็เอะอะอยากขี่บ้าง
ลู่จิ่งเซินจึงต้องเช่ามาจากร้านหนึ่งคัน เมื่อเข็นจักรยานมาแล้วจึงอายขึ้นมาเมื่อพบว่าเขาปั่นจักรยานไม่เป็น
จิ่งหนิงหลุดหัวเราะออกมาเสียงดัง
ใครจะคิดว่าประธานใหญ่ลู่ที่ทำเป็นทุกอย่าง จะขี่จักรยานไม่เป็น?
ลู่จิ่งเซินหน้าครึ้มลงเล็กน้อย เขาถูกเลี้ยงมาอย่างคนมีฐานะร่ำรวย รถหรูชั้นนำของโลกคอยรับส่ง จำเป็นต้องขี่ของพังๆ พวกนี้ที่ไหน?
จิ่งหนิงเห็นสีหน้าเขาครึมลง จึงทำได้เพียงผืนกลั้นหัวเราะกลับลงไป
สั่งให้เขานั่งข้างหลัง เธอขี่ด้านหน้าเองได้ เขาเพียงต้องถีบตามจังหวะล้อหมุนก็พอแล้ว
ลู่จิ่งเซินขึ้นควบอย่างไม่เต็มใจ เมื่อจิ่งหนิงร้องบอกพร้อมไปจึงเริ่มถีบ
ทั้งคู่ขี่จักรยานคู่ไปบนถนน ลมพัดผมของหญิงสาวปลิวไสว ระไปกับใบหน้าส่งกลิ่นหอมหวานให้คนเคลิบเคลิ้ม
ลู่จิ่งเซินถูกบรรยากาศบริสุทธิ์ทำให้รู้สึกผ่อนคลายสบายใจ
จิ่งหนิงตั้งแต่จบมัธยมต้นก็ไม่ได้ขี่จักรยานอีกเลย ตอนนี้ขี่อีกครั้งทักษะก็ไม่ได้ลดลงไป จึงรู้สึกมีความสุขมาก
ขี่ไปฮัมเพลงที่เคยเรียนไป
เธอฮัมเพลงเสียงสูงต่ำเป็นระยะ เพราะมีคนซ้อนจักรยานหนึ่งคน ปั่นจักรยานจึงกินแรงเป็นอย่างมาก ดังนั้นเทียบกับเมื่อตอนร้องเพลงปกติแล้วระดับจึงแตกต่างกันมาก
แต่แม้ว่าจะเป็นเช่นนั้น เพราะเสียงของเธอเพราะอยู่แล้ว ดังนั้นเสียงจึงยังพอฟังได้
ลู่จิ่งเซินที่ฟังอยู่สักพัก เอ่ยถาม: “นี่เป็นเพลงอะไร?”
“《Ballade pour Adeline》ไง คุณไม่เคยฟังเหรอ?”
จี้จิ่งเชิน: “……”
สามารถเอา《Ballade pour Adeline》ฮัมออกมาแบบนี้ได้ ยังจะถามว่าเขาไม่เคยฟังเหรอ?
เห็นลู่จิ่งเซินไม่พูดอะไร จิ่งหนิงจึงอธิบายอย่างหวังดี: “เพลงนี้เดิมเรียกว่าPoems to Adeline บรรเลงโดยนักดนตรีชื่อดังอย่างริชาร์ด เมื่อก่อนยังได้รางวัลเหรียญทองเปียโน…”
ลู่จิ่งเซินหน้าครึ้มลงเล็กน้อย ขัดเธอ “ผมรู้”
จิ่งหนิงอืมรับแล้วยักไหล่ “ฉันลืมไปเลย คุณเองก็เล่นเปียโนได้ไม่เลว”
ไม่นานทั้งคู่ก็ปั่นจักรยานมาถึงตลาดกลางคืนที่เถ้าแก่เนี้ยพูดถึง
ตอนนี้ตลาดกลางคืนนั้นพึ่งเริ่มเปิด หลายคนยังไม่ทันได้เอาสินค้าออกมาวาง จิ่งหนิงลากลู่จิ่งเซินไปที่กินไอศกรีมร้านที่ได้คะแนนสูงบนอินเทอร์เน็ต กินไปพลางรอตลาดเปิดไปพลาง
ในร้านเปิดเพลงฟังสบาย เจ้าของเป็นชาวตุรกี ทำไอศกรีมวาฟเฟิลดึงดูดลูกหน้าที่หน้าประตู
จิ่งหนิงทานไปแล้วหนึ่งอัน นั่งอย่างเบื่อๆ แต่ก็ยังไม่อยากไปเดินช้อปปิ้งตอนนี้ จึงเดินไปที่หน้าประตูมองเขาทำ
ชาวตุรกีคนนั้นเห็นเธอเข้ามา จึงถามว่าเธอต้องการลองทำหรือไม่
จิ่งหนิงลังเล เจ้าของร้านให้กำลังใจเธอลองทำดู เธอจึงรับที่ตักและโคนไอศกรีมมา ตักไอศกรีมตามที่เขาบอก
เธอวาดดอกไม้บนหน้าเค้กได้ เรียนอันนี้มา รู้สึกว่าค่อนข้างคล้ายกันบวกกับเจ้าของร้านใจเย็นมาก ไม่นานเธอก็ทำเป็นแล้ว
จิ่งหนิงซื้อชิ้นที่ตัวเองทำเองมา จากนั้นจึงวิ่งกลับมาพร้อมไอศกรีมอย่างเบิกบานแล้วยื่นส่งให้ลู่จิ่งเซินน่ะ “อ่ะ ให้คุณ”
ลู่จิ่งเซินเลิกคิ้ว มองไอศกรีมที่ทำออกมาหน้าตาบิดเบี้ยว ยื่นมือไปรับ แต่อดไม่ได้ที่จะพูดออกมาอย่างไม่ชอบ “น่าเกลียดขนาดนี้ แน่ใจนะว่าคุณทำเอง?”
จิ่งหนิงพยักหน้า “ใช่แล้ว! คุณไม่ชอบเหรอ? ไม่ชอบก็คืนมาให้ฉัน”
พูดพลางยื่นมือไปหยิบไอศกรีมกลับมา
ชายหนุ่มยอมให้เธอเอากลับไปที่ไหน กัดไปครึ่งหนึ่งในหนึ่งคำ เอ่ยเสียงเย็น: “ให้คนอื่นแล้วจะเอาคืน มีอย่างที่ไหนกัน?”
จิ่งหนิงเห็นท่าทางเขารังเกียจแต่ก็ยังทานต่อ จึงหลุดหัวเราะออกมา
ไม่คิดเล็กคิดน้อยกับเขา เดินไปข้างหน้าต่อ
ด้านนอกเปิดไฟแล้ว ตลาดกลางคืนเปิดอย่างเต็มรูปแบบ
เป็นอย่างที่พี่หลิงพูดทุกอย่างจริงๆ ครึกครื้นมาก ไม่เพียงแต่นักท่องเที่ยว คนท้องถิ่นก็ยังมาเดินช้อปปิ้งมากมาย
จิ่งหนิงดึงลู่จิ่งเซินไปดูตรงนั้นตรงนี้ที ชายหนุ่มราวกับผู้ติดตามเดินตามอยู่ข้างหลังเธอ หัวคิ้วขมวดเข้าด้วยกัน
จิ่งหนิงเห็นเขาไม่ชอบบรรยากาศรอบข้างยุ่งเหยิงสกปรกเกินไป จึงไม่สนใจเขา แล้วก็ไม่พาเขาไปด้วย เดินไปข้างหน้าเพื่อช้อปปิ้งด้วยตนเอง
ลู่จิ่งเซินเป็นห่วงความปลอดภัยของเธอ จึงได้แต่ทนความรู้สึกไม่ชอบ แล้วรีบตามเธอไป
“เถ้าแก่ อันนี้ราคาเท่าไหร่?”
เมื่อตามาก็เห็นจิ่งหนิงนั่งยองๆ อยู่หน้าซุ้มขายของ หยิบแหวนเงินขึ้นมาจากแผงสวมลงบนนิ้ว
“อันนี้เหรอ สองร้อยหยวน”
“สองร้อย? ทำไมแพงจัง?”
“ไม่แพงแล้ว นี่ไม่ใช่เคลือบเงิน แต่เป็นเงินแท้ ข้างบนไหมสีแดงนั้นพวกเราถักเอง เอาไปขอพรจากมาจู่เหนียงเหนียงเรียบร้อยแล้ว ปกป้องให้พวกเธออายุยืนยาว”
จิ่งหนิงหัวเราะ “หวังว่าเป็นเช่นนั้น ในเมื่อเช่นนั้นแล้ว งั้นก็ให้ฉันวงหนึ่ง สองวงสองร้อยหยวน ถ้าขายราคานี้ละก็ฉันซื้อ”
“สองร้อยหยวนไม่ได้ ฉันขาดทุน!”
“มากสุดบวกอีกยี่สิบ ได้ก็เอา ไม่ได้ฉันก็จะไปแล้ว”
“โอ๊ย คุณหนูทำไมต่อราคาเก่งขนาดนี้ วงหนึ่งร้อยยี่ ฉันขาดทุน……”
“ก็ได้! คุณลุงใจดีมากขายให้ฉันเลย” พูดจบก็ควักเงินออกมากระเป๋า ส่งให้เขา
พ่อค้าเห็นเช่นนั้นจึงรับเอาเงิน “ก็ได้ เห็นแก่ความสวยของคุณหนู จะขายให้”
พูดจบ จึงหยิบของผู้ชายออกมาจากกระเป๋าด้านหลังส่งให้เธอ
จิ่งหนิงราวกับได้ของมีค่ายิ้มกว้างเอ่ยขอบคุณเขา หยิบแหวนกำลังจะจากไปแล้ว
พ่อค้าเห็นเธอซื้อง่าย จึงเรียกเธอไว้ยิ้มถาม: “คุณหนูอยากดูพวกต่างหูอะไรอีกไหม? ดูต่างหูพวกนี้สิ พึ่งได้มาจากขอพรมาจู่เหนียงเหนียงแล้ว”
จิ่งหนิงเห็นต่างหูพวกนั้นดูแก่เกินไป จึงส่ายหน้า “ไม่แล้ว ขอบคุณ ฉันต้องการแค่แหวนสองวงนี้ก็พอแล้ว”
จิ่งหนิงพูดจบ กลับมาตรงหน้าลู่จิ่งเซิน นำแหวนเงินสำหรับผู้ชายนั้นสวมลงบนนิ้วของเขา
ลู่จิ่งเซินขมวดคิ้วอย่างไม่ชอบใจ อยากถอดมันออก แต่ถูกจิ่งหนิงห้ามไว้
“อย่าถอด นี่เป็นเคยขอพรจากมาจู่เหนียงเหนียงมาแล้ว คุ้มครองคุณให้อายุยืนนานได้”
ลู่จิ่งเซินดูถูกฝีมือการขายของพ่อค้าคนนั้นมาก ขณะเดียวกันก็สบประมาทไอคิวของจิ่งหนิง “คำพูดแบบนี้คุณก็เชื่อ?”
“เชื่อสิ ทำไมจะไม่เชื่อ?”
จิ่งหนิงเดินไปอีกแผงหนึ่งมองหน้ากากทำมือที่วางอยู่ เอ่ยอย่างไม่สนใจว่า: “เพียงแค่เป็นคำพูดที่ดี จะเชื่อก็ไม่เสียหายนี่ ต่อให้ไม่ใช่เรื่องจริง อย่างน้อยก็สามารถซื้อคำอวยพรได้นี่ใช่ไหม?”