วิวาห์หวาน นายซาตานที่รักของฉัน - ตอนที่ 141 เธอกำลังพูดปดมดเท็จ
บทที่ 141 เธอกำลังพูดปดมดเท็จ
“ขออภัยค่ะ ไม่ทราบว่าพวกคุณเป็นลูกค้าห้อง6602หรือเปล่าคะ?”
ทั้งสามคนหยุดชะงัก หญิงชรารีบเอ่ยขึ้นมาว่า “ ฉัน ตอนนี้พวกเรามีเรื่องด่วนต้องเข้าไป คุณมีอะไรค่อยว่ากันทีหลังนะ”
พูดจบก็ดึงจิ่งหนิงกับอานอานวิ่งเข้าไปด้านใน
แต่ก็ยังคงโดนพนักงานขัดขวางไว้อยู่ดี
ครั้งนี้ไม่เพียงแต่เป็นพนักงานในห้องโถงหลักเท่านั้น ยังมีรปภ.อีกสองนายยืนอยู่ด้านซ้ายและด้านขวาตรงหน้าพวกเธอ
ใบหน้าทั้งสามคนนั้นจริงจัง พนักงานในห้องโถงหลักพูดกับหญิงชราด้วยน้ำเสียงลำบากใจว่า “ ขออภัยค่ะ ท่านค้างค่าห้องมาสองวัน
แล้ว ก่อนหน้านี้ท่านบอกว่าจะชำระภายในวันนี้ พวกเราจึงให้ท่านกับหลานสาวพักต่อ แต่พวกเราติดต่อพวกคุณไม่ได้เลยตั้งแต่เช้า ถ้าหากวันนี้ยังไม่จ่ายชำระอีก พวกเราก็ไม่สามารถให้ท่านกับหลานสาวของท่านเข้าพักต่อไปได้แล้วค่ะ”
จิ่งหนิงตกตะลึง
หันหน้าไปมองหญิงชรา
หญิงชราเผยสีหน้าจนตรอกออกมา
“เออคือว่า……ตอนแรกฉันก็คิดว่าจะจ่ายวันนี้แหละ แต่กระเป๋าตังค์ของฉันหายตอนกินข้าวเมื่อกี้ ฉะนั้นพวกคุณอนุโลมฉันอีกสักสองวันนะ?รอให้ฉันหากระเป๋าตังค์เจอแล้วก็จะจ่ายคืนให้พวกคุณอย่างแน่นอน”
พนักงานถอนหายใจอย่างจนหนทาง
“คุณยายค่ะเหตุผลนี้ท่านเคยใช้เมื่อสองวันก่อนแล้วนะคะ”
หญิงชรา“……”
ไม่ว่าจะยังไงจิ่งหนิงก็คาดไม่ถึงว่าต้องประสบพบเจอกับเหตุการณ์น่าอึดอัดใจเช่นนี้
เห็นเพียงอานอานเดินไปอยู่ตรงหน้า พลางดึงชายเสื้อของพนักงานโยกไปมาเบาๆ
ศีรษะที่น่ารักยกขึ้นมา ดวงตาดำเข้มกะพริบปริบๆมองไปยังเธอ
“พี่สาวคนสวยท่านนี้ หนูกับย่าทวดทำให้พวกคุณเดือดร้อนแล้วใช่ไหมคะ?ต้องขอโทษจริงๆค่ะ แต่กระเป๋าตังค์ของพวกเราหาย
จริงๆ ไม่เชื่อก็ลองถามน้าหนิงหนิงดูได้เลยค่ะ เธอเป็นพยานได้ค่ะ”
เธอพูดพลางชี้ไปยังจิ่งหนิงที่ยืนอยู่ด้านหลัง
จิ่งหนิง“……”
เออ ใครสามารถบอกเธอได้บ้าง ทำไมจู่ๆก็ชี้ลูกศรมายังเธอได้?
เธอควรจะตอบอย่างไรดี?
เห็นจิ่งหนิงกำลังลังเลใจ หญิงชราก็รีบมองเธอทันที
จิ่งหนิงกลืนไม่เข้าคายไม่ออก ไม่รู้ว่าควรจะร้องไห้หรือหัวเราะดี
ตอนนี้เธอพอจะรู้เรื่องว่าเป็นยังไงแล้ว แต่ก็ไม่ได้มองหญิงชรา เอ่ยพูดกับพนักงานโดยตรงว่า “พวกเธอค้างค่าห้องเท่าไหร่คะ”
“ค้างมาสามวันค่ะ รวมทั้งสิ้น 17664 หยวนค่ะ”
จิ่งหนิงพยักหน้า โรงแรมระดับสูงสำหรับเข้าพักในช่วงวันหยุดต้องมีค่าใช้จ่ายสูงอยู่แล้ว
เธอไม่ได้พูดอะไร ยื่นบัตรออกมาให้
“รูดบัตรของฉันเลยค่ะ!”
หญิงชราพูดอย่างลำบากใจว่า“เออ……อย่างนี้ไม่ได้หรอก เกรงใจ?”
จิ่งหนิงเม้มปาก ไม่ได้เปิดโปงคำหลอกลวงของหญิงชรา เพียงแต่แตะจับหัวของอานอาน
“ไม่เป็นอะไรหรอกค่ะ ถือสักว่าหนูมอบของขวัญให้เด็กก็แล้วกันค่ะ!พวกเรามีวาสนาต่อกันอย่างนี้ หนูยังไม่ได้ให้ของขวัญเธอเลย!”
อานอานเห็นเข้า ดวงตาที่สว่างไสวก็เบิกกว้างขึ้นมา พูดอย่างดีอกดีใจว่า “ขอบคุณน้าหนิงหนิงมากค่ะ”
พนักงานเห็นก็บัตรของจิ่งหนิงไปรูด
จ่ายหนี้เสร็จสรรพ จิ่งหนิงก็ถามหญิงชราว่า “ตอนนี้พวกคุณมีแผนการอะไรบ้างคะ หรือมีที่ไปตรงไหนบ้างไหมคะ?”
หญิงชรารู้สึกผิดและอับอายเป็นอย่างมาก ท่าทางไม่เหมือนกับตอนกินข้าวที่พูด
หญิงชรารู้สึกผิดในใจ หดตัวถอยหลังไป ไม่เหมือนเฉกเช่นตอนกินข้าวที่ช่างพูดช่างจาอย่างองอาจและเปิดเผย
“ไม่ ไม่มี”
จิ่งหนิงหยุดชะงักชั่วครู่ อันที่จริงเธอไม่ค่อยพอใจกับการกระทำของหญิงชราสักเท่าไหร่
เพราะเป็นใครก็ดูว่า เรื่องเงินหายเอย เรื่องท่องเที่ยวเอย ล้วนเป็นคำหลอกลวงด้วยกันทั้งสิ้น
พาเด็กมาแอบกินฟรีอยู่ฟรีก็แล้ว แต่ยังเลือกโรงแรมหรูหราอย่างนี้อีก เธอไม่ใช่ไม่เข้าใจว่าคนบางกลุ่มต้องใช้ชีวิตอย่างยากเข็ญ
แต่ทว่าอย่างนี้ก็……
จิ่งหนิงถอนหายใจ ไม่ได้พูดมากอะไรอีก ก้มตัวไปอุ้มอานอานขึ้นมา
“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ก็ไปพักที่บ้านของหนูหนึ่งคืนก็แล้วกันนะคะ ตอนนี้ดึกแล้ว มีเรื่องอะไรก็ค่อยหารือกันพรุ่งนี้นะคะ”
หญิงชราได้ยินดวงตาก็สว่างวาบขึ้นมาทันที
แม้กระทั่งอานอานก็มีสีหน้าตื่นเต้นดีใจเป็นอย่างมาก
โอบคอจิ่งหนิงไว้ พลางพูดเฉลิมฉลองอย่างดีใจว่า “เย้!หนูได้นอนกับหม่ามี้อีกแล้ว”
จิ่งหนิง“……”
การเรียกขานเช่นนี้ เพิ่งเปลี่ยนได้เมื่อหลายชั่วโมงก่อน!ทำไมกลับมาเป็นเหมือนเดิมอีกแล้ว?
เธอรู้สึกเบื่อหน่ายแต่ก็ขี้เกียจปรับแก้อีก เห็นหญิงชราไม่มีข้อคิดต่าง จึงอุ้มเด็กแล้วเดินออกไป
รถได้ขับออกไปอย่างมั่นคงบนถนนที่กว้างใหญ่
จิ่งหนิงได้โทรบอกป้าหลิวล่วงหน้าว่าตนจะพาแขกกลับไปที่บ้าน
คืนนี้ลู่จิ่งเซินมีประชุม น่าจะอยู่ที่บริษัทจนดึกจนดื่น ได้บอกเธอไว้แล้ว ฉะนั้นเธอจึงไม่รบกวนอีกฝ่าย เพียงแต่ส่งข้อความผ่านทางวีแชทไปให้
เชื่อว่าหลังจากที่เขาประชุมเสร็จก็คงจะเห็น
รถได้เทียบจอดบริเวณสวนหน้าบ้าน จิ่งหนิงลงจากรถมาช่วยพวกเธอเปิดประตู ก่อนที่จะอุ้มเด็กออกมา
ป้าหลิวได้แจ้งบอกให้คนรับใช้จัดเตรียมเป็นที่เรียบร้อยแล้ว เมื่อได้ยินเสียงรถยนต์ก็รู้ว่าจิ่งหนิงกลับมาแล้ว รีบออกไปต้อนรับ
“คุณนาย ท่านกลับมาแล้วเหรอ!แขกก็ถึงแล้วมั้ง……”
คำว่า “มั้ง” ยังไม่ทันได้เปล่งออกมาก็เห็นคนแก่หนึ่ง เด็กหนึ่งยืนอยู่ด้านหน้ารถ ชั่วขณะนั้นจึงเบิกตากลมโตด้วยความตกตะลึง
หญิงชรามองเธอแวบหนึ่งอย่างไม่เปิดเผยสีหน้า
ดวงตาคมกริบคู่นี้กลับแอบแฝงถึงความแจ้งเตือนเอาไว้
ป้าหลิวรีบหุบปากด้วยสัญชาตญาณ ส่วนอานอานนั้นวิ่งเข้าบ้านไปด้วยความตื่นเต้นเสียแล้ว
“เย้ ในที่สุดก็กลับมาอีกครั้ง คืนนี้อานอานจะนอนกับหม่ามี้”
เดิมทีป้าหลิวก็เบิกตากลมโตอยู่แล้ว ตอนนี้ยิ่งเบิกกว้างขึ้นกว่าเดิมอีกครั้ง
อะหยัง?
หม่ามี้?
คุณหนูกับคุณนายนับญาติกันแล้วเหรอ?
โอ้สวรรค์!นี่ นี่มันเกิดอะไรขึ้น?
ในขณะที่ป้าหลิวก็ตะลึงงันอยู่นั้น จิ่งหนิงก็จูงมือคนแก่กับเด็กเข้าบ้านไปแล้ว
“ป้าหลิวค่ะ คนนี้คืออานอาน คนนี้คือย่าทวดของอานอานชื่อว่านายหญิงหชิน ป้าช่วยหนูจัดห้องนอนรับแขกสองห้องด้วยนะคะ
คืนนี้พวกเธอจะพักที่นี่นะคะ”
ป้าหลิวกล้ำกลืนน้ำลายลงคอ อยากจะพูดอะไรบางอย่าง แต่เมื่อเห็นแววตาที่ดุร้ายของคุณท่านก็ได้กลืนคำพูดลงลำคอ หันหลังไปจัดเตรียมห้องนอน
หญิงชราหันมาพูดกับจิ่งหนิงด้วยรอยยิ้มที่หวานแหวว “คุณจิ่ง รบกวนคุณมากเลย เกรงใจจริงๆ”
จิ่งหนิงยิ้มจางๆแปปหนึ่ง “ไม่เป็นไรค่ะ เด็กยังเล็กอยู่ ให้เธอพลอยลำบากด้วยไม่ได้หรอกค่ะ”
อานอานดึงมือของเธอ จิ่งหนิงคิดว่าเธอจะพูดอะไรสักอีก จึงโค้งตัวลงไปฟังด้วยสัญชาตญาณ
ทันใดนั้นเด็กก็เขย่งเท้า ไปหอมแก้ม “จุ๊บ”บนใบหน้าเธอหนึ่งครั้ง
จิ่งหนิงตกตะลึง
ต่อมาก็ได้ฟังเสียงอันไพเราะของเด็กเหมือนดั่งเสียงการ์ตูนน้อย “ขอบคุณค่ะหม่ามี้”
จิ่งหนิงอดหัวเราะไม่ได้
หลังจากเตรียมห้องนอนเสร็จเรียบร้อย จิ่งหนิงก็ให้ทั้งสองคนไปพักผ่อน อานอานเซ้าซี้จะนอนกับเธอให้ได้ แต่คนนี้ลู่จิ่งเซินจะกลับมา จิ่งหนิงจึงไม่กล้ารับปาก?
หลังจากที่ยื้อยุดกันนานแสนนานก็รับปากว่าประเดี๋ยวจะไปเล่านิทานก่อนนอนให้ฟัง กล่อมเธอหลับแล้วค่อยออกไป เด็กน้อยถึงจะตอบตกลง
ป้าหลิวเห็นทั้งสองคนสนิทชิดเชื้อเช่นนี้ ในใจก็เกิดความรู้สึกที่ยากเกินกว่าจะบรรยาย
ตอนที่อานอานมาครั้งก่อน ป้าหลิวพักผ่อนวันหยุดจึงไม่รู้เรื่องด้วย
เวลานี้เห็นจิ่งนิ่งถูกเด็กน้อยคลอเคลียไม่ห่าง รู้สึกดีใจปะปนความวิตกกังวลไว้เล็กน้อย
ดูท่าแล้ว คุณเห็นจะยอมรับคุณนายเป็นหม่ามี้เสียแล้ว หากพูดตามหลักก็น่าจะเป็นเรื่องดี
แต่ทว่าคุณท่านเล่นเอาปิดบังสถานะจริงกับคุณนาย หากถึงเวลานั้นไม่รู้ว่าจะแก้สถานการณ์อย่างไรดี?
คุณนายช่างน่าสงสารเสียจริง!