วิวาห์ 365วัน - ตอนที่ 1 ตอนนี้เธอโตเป็นสาวแล้ว
ในปี 2009 ณ บ้านเก่าของตระกูลฮั่วในเมืองถง
กลางดึกคืนหนึ่ง ท่ามกลางบรรยากาศภายในบ้านที่เงียบสงัด มู่เฉี่ยนเลื่อนบานประตูอย่างเบามือ และแอบย่องล่องมายังห้องครัวชั้นล่าง
หลังมื้อค่ำในคืนนั้น ฮั่วไป่เหนียนกับภรรยาของเขา นามว่าเฉิงม่านซู ทะเลาะกันเหมือนอย่างเคย โดยมีสมาชิกของตระกูลฮั่วอีก 1 คนที่ถึงแม้จะอยู่ในห้องของตัวเอง แต่ก็ได้ยินเสียงพวกเขาทะเลาะกันตั้งแต่ต้น และเธอก็คือเด็กกำพร้าที่ตระกูลฮั่วรับมาเลี้ยงนั่นเอง มู่เฉี่ยนซ่อนตัวอยู่ในห้องนอนของเธอโดยที่เธอไม่กล้าเดินออกมากินมื้อค่ำในเวลานั้น แต่ในกลางดึกเธอก็ต้องรู้สึกหิวจนทนไม่ไหว เนื่องจากเธอกำลังอยู่ในวัยที่กำลังเจริญเติบโต จึงไม่สามารถต้านทานความหิวนี้ได้
เมื่อลงมาถึงห้องครัว เธอก็วิ่งเข้าไปเปิดตู้เย็นทันที แต่ภายในตู้เย็นมีเพียงขนมปังขาวแค่สองแผ่น ซึ่งก็ยังดีกว่าไม่มีอะไรกินเลยสำหรับคืนนี้
แต่จู่ ๆ ก็มีแสงไฟผ่านเข้ามาจากนอกหน้าต่าง ดูเหมือนจะมีใครบางคนกลับบ้านมาในเวลากลางดึกนี้ด้วย
มู่เฉี่ยนรีบวิ่งไปหลบอยู่หลังประตูห้องครัวอย่างช่ำชอง เพื่อสังเกตุความเคลื่อนไหวของบุคคลผู้นั้น และในปากของเธอก็เคี้ยวขนมปังไปด้วย
จากนั้นประตูบ้านก็ถูกเปิด ตามมาด้วยเสียงฝีเท้าที่คุ้นเคยนั้นเดินเข้ามาในบ้าน
มู่เฉี่ยนฟังเสียงฝีเท้า และนับเสียงก้าวเดินของคนคนนั้นไปด้วยอย่างตั้งใจ เมื่อสิ้นเสียงก้าวเดินก็ครบ 30 ก้าวพอดี เธอจึงค่อย ๆ ชะโงกหัวออกมาจากหลังประตูห้องครัว
แสงจันทร์สุกสกาวส่องกระทบลงบนพื้นภายในบ้าน ทำให้ทั้งห้องโถงของบ้านนั้นสว่างไปด้วยแสงสีขาวนวลจาง ๆ
แล้วเธอก็ต้องพบกับชายหนุ่มรูปร่างสูงโปร่ง แขนขาระโยงระยางเดินผ่านแสงสว่างจาง ๆ นั้นมา และด้วยแสงสว่างที่ตกกระทบตั้งแต่หน้าผาก คิ้ว ลงมาถึงตัวของเขาคนนั้น ดูงดงามลงตัวและไร้ที่ติจริง ๆ
มู่เฉี่ยนที่จ้องมองอยู่ได้ซักพัก พอรู้สึกตัวก็รีบหลุบหัวเข้าหลบที่เดิม ก่อนจะกินขนมปังต่อไปด้วยความอิ่มอกอิ่มใจ
เกือบจะสัปดาห์นึงแล้วที่ไม่ได้เจอหน้าเขาเลย ทีแรกมู่เฉี่ยนก็นึกว่าวันนี้ก็คงจะไม่ได้เจอกันอีเช่นเคย คิดไม่ถึงจริง ๆ เลยว่าเขาจะกลับมาในคืนนี้
แต่ยังไงเธอก็ต้องเก็บความดีใจนี้ไว้ข้างในอยู่ดี มู่เฉี่ยนยัดขนมปังเสี้ยวที่เหลือเข้าปาก ก่อนจะปัดเศษขนมปังในมือทั้ง 2 ข้าง เมื่อรู้สึกว่าทางสะดวกแล้ว เธอจึงค่อย ๆ เลื่อนเปิดประตูห้องครัว แล้วเดินออกมา
เมื่อเดินออกจากห้องครัวปุ้บ เธอก็เงยหน้าขึ้นและต้องชะงักทันที เมื่อมองไปแล้วเธอกลับเห็นใครบางคน
ตรงกึ่งกลางของบันไดที่คดเคี้ยว ก็คือฮั่วจิ้นซีที่นั่งพิงราวบันไดอยู่ โดยที่แขนข้างหนึ่งของเขานั้นมีเสื้อสูทพาดเอาไว้ ส่วนมืออีกข้างหนึ่งก็คีบบุหรี่จ่อริมฝีปาก ยืนสูบบุหรี่อยู่ตรงนั้นด้วยท่าทางที่ผ่อนคลาย และไม่ใช่ท่าทางดุร้ายเหมือนทุกที แสงสว่างจากดวงจันทร์ในห้องโถง ส่องกระทบเสื้อเชิ๊ตสีขาวของฮั่วจิ้นซี จนทำให้เสื้อของเขานั้นกลมกลืนไปกับแสงจันทร์ และแสงสว่างนั้นก็บดบังใบหน้าของเขาจนมัวไปหมด
มู่เฉี่ยนที่ยืนอยู่หน้าประตูห้องครัว เห็นดังนั้นก็ตกใจจนชะงักไป เหมือนกวางน้อยขวัญอ่อน
ฮั่วจิ้นซีหันไปมองในทันทีที่เธอเดินออกมาจากห้องครัว
แสงจันทร์จาง ๆ ที่กระทบใบหน้าของเขา มันทำให้เธอมองเห็นลายละเอียดต่าง ๆ บนใบหน้าของเขาได้ ยกเว้นส่วนบนตั้งแต่คิ้วขึ้นไปนั้นที่ยังคงถูกความมืดยามราตรีบดบัง
และดูเหมือนว่าเขาจะกำลังยืนมองเธออยู่ หรือไม่ก็……กำลังรอเธออยู่
มู่เฉี่ยนเสียอาการหนักมาก แขนเรียวเล็กของเธอไขว้ไปข้างหลังแล้วบีบมือแน่นด้วยความประหม่าแบบอัตโนมัติ จากนั้นก็เดินขึ้นบันไดมา
เมื่อเดินมาถึงตรงหน้าของฮั่วจิ้นซี มู่เฉี่ยนเงยหน้าขึ้นจนเห็นใบหน้าของเขาชัดเจนทุกกระเบียดนิ้ว
แท้จริงแล้ว เขาก็กำลังจ้องมองเธออยู่จริง ๆ ดวงตาเรียวนัยน์ตาน่าค้นหา และเหมือนว่าเขากำลังยิ้มมุมปากอยู่ด้วยสิ แต่มันก็ไม่ค่อยจะชัดเจนว่าเขายิ้มจริง ๆ รึเปล่า
“มื้อค่ำยังกินไม่อิ่มเหรอ?”เขาถามขึ้น
“ค่ะ”
ขณะเดียวกันสายตาของฮั่วจิ้นซีก็มองไปที่หัวไหล่ผอมบางของเธอ
“แล้วตอนนี้ล่ะ?”
“กินขนมปังปิ้งไป 2 แผ่นค่ะ อิ่มเลย” มู่เฉี่ยนตอบไปตามความเป็นจริงอย่างซื่อ ๆ
ฮั่วจิ้นซียกบุหรี่ในมือขึ้นมาสูบต่อ ประกายไฟสีแดงจากก้นบุหรี่ที่อยู่ในมือของเขา สว่างวาบจนทำให้เห็นรอยยิ้มที่มุมปาก
“เลี้ยงง่ายดีจริง ๆ “เขาพูดขึ้น
มู่เฉี่ยนไม่เข้าใจว่าประโยคที่เขาพูดออกมานั้นดีหรือไม่ดี เธอจึงเงยหน้ามองเขาด้วยความสงสัย
ฮั่วจิ้นซีมองหน้าเธอด้วยสายตาที่ลึกซึ้ง และไม่ได้พูดอะไรต่อ
มู่เฉี่ยนเริ่มรู้สึกไม่สบายใจขึ้นมาเล็กน้อย เธอถอนสายตาจากฮั่วจิ้นซีก่อนจะหันหลังเตรียมจะเดินขึ้นบันไดไป แต่ใครจะไปรู้ล่ะ ว่าเธอก้าวเท้าไปไม่ทันจะเหยียบบันไดขั้นต่อไป ก็ต้องหยุดลงด้วยแรงดึงจากใครบางคน
เพราะฮั่วจิ้นซีที่ทั้งตาไวและมือไว เขารีบโยนก้นบุหรี่ทิ้งไป ก่อนจะเอื้อมมือไปจับตัวมู่เฉี่ยนไว้
ไม่คิดเลยว่าด้วยแรงดึงที่ดูเหมือนจะรุนแรงนั้น เธอกลับรู้สึกถึงแค่ความนุ่มนวลจากฝ่ามือของเขาเท่านั้น
มู่เฉี่ยนตัวแข็งทื่อ และฮั่วจิ้นซีเองก็ไร้การเคลื่อนไหว
ด้วยความที่ร่างกายของมู่เฉี่ยนตื่นตระหนกจนเลือดสูบฉีดพลุ่งพล่าน มันทำให้สติของเธอกลับมาได้ทันทีหลังจากนั้น ในวินาทีนั้น ความคิดและจินตนาการนับพัน ๆ อย่างก็พุ่งพล่านอยู่ทั้งในหัวกับในใจของเธอ แต่สีหน้าของเธอก็ยังคงสงบอยู่ได้อย่างน่าอัศจรรย์
เธอหันหน้าไปสบตากับฮั่วจิ้นซีโดยไม่มีการหลบหลีกใดใดเลย
มู่เฉี่ยนเป็นเด็กผู้หญิงที่มีดวงตาสดใส ราวกับดวงตาของกวางน้อย พอได้กระทบกับแสงจันทร์ในค่ำคืนนี้เข้า มันก็ทำให้เกิดแสงสว่างสดใสอยู่ภายใน
และดูเหมือนว่าแสงในตาของเธอนั้นมันจะสว่างมากขึ้นเพราะ…เขา
ฮั่วจิ้นซีจ้องมองในตาของเธออย่างไม่ลดสายตา
ในปีนั้น มู่เฉี่ยนเธออายุเพียง 17 ปี แต่ฮั่วจิ้นซีอายุ 25 ปีแล้ว
แล้ววินาทีนั้น ฮั่วจิ้นซีก็รับรู้ได้เป็นครั้งแรกว่า เด็กผู้หญิงวัย 10 ขวบที่เข้ามาอาศัยอยู่ในตระกูลฮั่วในวันนั้น ตอนนี้เธอโตเป็นสาวแล้ว
1 ปีต่อมาหลังจากนั้น
ในเดือนพฤษภาคม ปี 2010 มู่เฉี่ยนอายุได้ 18 ปีพอดี และเธอก็กำลังจะสอบเข้ามหาวิทยาลัยในปีนั้นอีกด้วย
ลมอ่อน ๆ ที่พัดผ่านมาจากป่าระแวกนั้น ทำให้ม่านหน้าต่างสีอ่อนพลิ้วไหวไปตามแรงลมที่พัดมา มู่เฉี่ยนที่กำลังฟุบอยู่บนโต๊ะ และนอนดูเข็มนาฬิกาที่กำลังหมุนอยู่ไปด้วย เหมือนกำลังรออะไรบางอย่าง
ในวันที่ 15 ตามปฏิทินจันทรคติ เป็นวันที่มีงานเลี้ยงฉลองภายในตระกูลฮั่ว และคนของตระกูลฮั่วทุกคนก็ควรจะมารวมตัวกันอยู่ที่บ้านตระกูลฮั่วด้วย
ใจนึงมู่เฉี่ยนก็ตั้งหน้าตั้งตารอวันสำคัญนั้นอยู่เหมือนกัน แต่อีกใจก็ไม่อยากจะคาดหวังอะไรกับวันนั้นมาก
1 ปีที่ผ่านมา ฮั่วจิ้นซีดูเหมือนจะงานยุ่งมากขึ้นเรื่อย ๆ และในบางทีก็ตั้ง 2-3 สัปดาห์กว่าเขาจะกลับมาที่บ้าน
มู่เฉี่ยนเริ่มจะติดนิสัยลุกขึ้นมากินอะไรตอนดึก ๆ ตั้งแต่ 1 ปีก่อน แต่ก็ไม่ค่อยเจอฮั่วจิ้นซีในกลางดึกเลย ครั้งสุดท้ายที่เราเจอกัน ดูเหมือนว่ามันจะเกือบ 2 เดือนที่แล้ว
แล้วซักพักก็มีรถคันสีดำขับเข้ามาผ่านประตูใหญ่ของบ้านตระกูลฮั่ว
มู่เฉี่ยนลุกขึ้นยืนทันที และเฝ้ามองรถคันสีดำคันนั้นแล่นเข้ามาตั้งแต่ไกล จนมาจอดอยู่ตรงลานหน้าบ้าน
นาทีต่อมา ฮั่วจิ้นซีก็เปิดประตูและก้าวเท้าลงจากรถ
มู่เฉี่ยนรีบหันหลังเปิดประตูห้องแล้ววิ่งมาจนถึงปากบันได เธอหยุดยืนแล้วก้มดูสภาพของตัวเองตอนนี้ ก่อนจะสูดหายใจเข้าลึก ๆ แล้วก้าวลงบันไดไป
ในขณะที่เธอกำลังเดินลงบันไดมานั้น ฮั่วจิ้นซีก็ผลักประตูบ้านเข้ามาพอดี
บรรยากาศในห้องรับแขกเต็มไปด้วยคนจำนวนมาก และคุณนายฮั่วหรือเฉิงม่านซูก็กำลังนั่งคุยกับคุณป้า 2 คนบนโซฟาห้องรับแขก โดยมีลุงเขย 2 คนและลุงสาม กับลุงสี่ นั่งจิบไวน์อยู่ตรงนั้นด้วย ส่วนน้องชายน้องสาวตัวเล็ก ๆ หลายคน ก็นั่งออกันอยู่หน้าทีวีเพื่อเล่นวีดีโอเกมส์ด้วยกัน(ในที่นี้เด็ก ๆ กำลังเล่น Motion Sensing Game หรือเกมส์ที่ต้องใช้การเคลื่อนไหวร่างกายในการเล่น)…… แล้วท่ามกลางบรรยากาศที่คึกคักนั่น ฮั่วจิ้นซีก็เห็นมู่เฉี่ยนยืนอยู่บนบันได
วันแรกของการเป็นเด็กสาวอายุ 18 ของมู่เฉี่ยน แล้วก็ยังเป็นครั้งแรกที่มู่เฉี่ยนได้ลองสวมเดรสสีแดงอีกด้วย
อากาศในเดือนพฤษภาคมยังคงหนาว ๆ เย็น ๆ อยู่บ้างเป็นบางครั้ง ชุดเดรสสีแดงแขนกุดที่ชายกระโปรงยาวเหนือเข่า ส่วนของคอเสื้อเว้าลงต่ำเผยให้เห็นบริเวณหน้าอกเล็กน้อย ซึ่งทำให้เธอแลดูเป็นผู้ใหญ่มากขึ้น และด้วยความเข้มข้นจัดจ้านของสีชุดที่เธอใส่นั้น มันขับให้ผิวกายของเธอดูขาวเด่น และหน้าตาของเธอก็ดูกระจ่างสดใสมาก ๆ เลย
รูปร่างหน้าตาของมู่เฉี่ยนดูดีมาตั้งแต่เด็ก ๆ พอเธอเข้าสู่วัยสาวแรกรุ่น หน้าตาของเธอก็เริ่มกระจ่างใสขึ้นเรื่อย ๆ เห็นได้ชัดเจนเลยว่าสวยขึ้นมาก ๆ และที่ขาดไม่ได้เลยก็คือดวงตาที่สดใสและมีเสน่ห์ดุจแววตาของเจ้ากวางน้อยนั่นเอง
ใบหน้าที่งดงามเช่นนี้ เหมาะกับชุดสีเข้มและมีสีสันเป็นที่สุด ดังนั้นเธอจึงเลือกสวมใส่ชุดสีแดงเข้ม เมื่อองค์ประกอบต่าง ๆ เข้าไปรวมตัวอยู่ด้วยกันแล้ว มันก็ออกมาดูงดงามมากจริง ๆ
มู่เฉี่ยนรู้อยู่เต็มอกว่าถ้าหากเธอสวมชุดนี้ลงไปให้คนในบ้านและคนอื่น ๆ เห็นเข้า จะทำให้ทุกคนรู้สึกไม่ค่อยดีนัก แต่เธอก็อยากจะทำตามใจตัวเองซักครั้ง
วันแรกของการเติบโตเป็นผู้ใหญ่สำหรับเธอ เธอก็อยากที่จะเป็นตัวของตัวเองให้ดีที่สุด และที่เธอทำไปก็เพื่อจะเอาใจคนคนเดียวเท่านั้นด้วยสิ
ฮั่วจิ้นซีมองไปที่มู่เฉี่ยนด้วยสายตาที่นิ่งเงียบเหมือนตกอยู่ในภวังค์
สายตาของฮั่วจิ้นซีที่จ้องมองมา ทำให้มู่เฉี่ยนเดินลงบันไดมาอย่างช้า ๆ ตามจังหวะหัวใจที่กำลังเต้นอย่างหนักหน่วงจนแทบจะหลุดออกมา
เมื่อมู่เฉี่ยนเดินลงมาจนถึงบันไดขั้นสุดท้าย ฮั่วจิ้นซีที่ยืนจ้องมองเธอตรงหน้าประตู ก็ต้องถอนสายตาจากเธอทันที เพื่อหันหลังแล้วยื่นแขนออกไปนอกประตู
แล้ววินาทีต่อมา เขาก็จูงมือผู้หญิงคนนึงเดินเข้ามาในบ้าน
“นี่แฟนของผมครับ เธอชื่อเยี่ยจิ้งเวย” ฮั่วจิ้นซีกล่าวต่อหน้าทุกคนที่อยู่ในห้องรับแขก
นาทีนั้นทุกคนต่างพากันจับจ้องและมองหญิงสาวที่ฮั่วจิ้นซียืนกุมมืออยู่อย่างตกตะลึง
แล้วก็ไม่มีใครให้ความสนใจกับมู่เฉี่ยนอีกแล้วด้วยในวินาทีนั้น
ทีแรกมู่เฉี่ยนเป็นบุคคลที่สะดุดตาทุกคนในที่นี้ แต่แล้วแสงสว่างจากตัวเธอก็ถูกทำให้ดับลงไปได้ในชั่วพริบตา