“อ่า…มืดแล้วเหรอเนี่ย”
ภายในห้องหนึ่งในปราสาทเก่าแก่ เด็กสาวผู้หนึ่งได้เอ่ยขึ้นมา
ค่อยๆลุกขึ้นอย่างช้าๆ พร้อมกับดวงตาที่ยังคงสะลึมสะลือ
เธอนั่งลงอย่างเซื่องซึมบนเตียงที่ดูหรูหราอลังการขัดกับสิ่งอื่นในห้อง
“รีน…รีนอยู่ไหนน่ะ…?”
“ฉันก็อยู่ข้างล่างเธอนี่ไง…?”
เด็กสาวเรียกหาคนรักที่หายไปด้วยน้ำเสียงอ่อนหวาน แต่กลับได้ยินเสียงตอบกลับมาจากด้านล่างของเธอ
ทันทีที่ได้ยินคำตอบรับ เด็กสาวยิ้มขึ้นกว้าง ราวกับเด็กน้อยที่ได้พบกับของเล่นของตน รอยยิ้มไร้เดียงสาได้ปรากฏขึ้นมาบนใบหน้าของเธอ
“อาร่า รีน เจ้าไปเป็นเบาะนอนของข้าตั้งแต่เมื่อไหร่กันนะ?”
“คนที่ลากฉันมาบนเตียงด้วยทั้งที่ฉันไม่อยากก็คือเธอไม่ใช่เหรอ เมลตี้!?”
หญิงสาวผู้มิได้สวมสิ่งใด ผู้มีผมสีน้ำตาลและมีเพียงส่วนเดียวที่เติบโตกว่าส่วนอื่น
เธอมีรอยกัดอยู่เต็มไปหมดทั้งตัว หญิงสาว––รีน––ผู้มีรอยคล้ำใต้ดวงตา ตอบกลับด้วยเสียงที่ดูหงุดหงิดใส่อีกฝ่ายที่แกล้งทำเป็นไม่รู้เรื่อง
“แต่ข้าก็ทำให้เจ้ารู้สึกดีไม่ใช่เหรอ? มีอะไรไม่พอใจอีกล่ะ?”
เมื่อถูกจี้จุด ใบหน้าของรีนแดงฉ่าและหลังจากถูกแหย่อีกนิดหน่อยเธอก็ระเบิดออกมา
“บา-…ปัญหาไม่ใช่เรื่องนั้นสักหน่อยนะ!? ฉันง่วงมากเลยนะ ง่วง! มากเลย! แล้วเธอก็ใช้ฟันกัดเข้ามาทั้งที่ตัวเองหลับอยู่จนฉันไม่ได้นอนเลยนะ ไม่ได้นอนเลย!”
“โม่ว…ตื่นมาก็ร่าเริงใหญ่เลยนะ…”
เพราะถูกจับเขย่าไปมาโดยรีนที่จับหัวไหล่ของเธอด้วยทั้งสองมือ เด็กสาวผู้เหมือนว่าจะมีความดันโลหิตต่ำ–เมลตี้ บลัดฮาร์ท–ขมวดคิ้วพร้อมกับเอ่ยขึ้นมาอย่างนั้น
ที่แห่งนี้ถูกเรียกกันในนามว่า [ปราสาทแห่งกาลเวลาที่ถูกลืมเลือน] ไม่ว่าจะเป็นชื่อ[นัยน์ตาสวรรค์] [แม่มดแห่งกาลเวลาที่ถูกลืมเลือน] [ดวงดาวผู้ร่วงหล่น] ….เป็นปราสาทของตัวตนที่มีฉายามากมาย แวมไพร์ที่แข็งแกร่งที่สุด
เร็วๆนี้ในโลกที่กาลเวลาบิดเบี้ยว เมลตี้ได้อาศัยอยู่กับของเล่นโปรดของเธอ ใช้ชีวิตในแบบที่เวลาไม่เคยแปรเปลี่ยน
“….เมลตี้ มีจดหมายมานะ”
“แหมๆ มีจริงๆด้วยสิ หายากเลยนะ”
ดูเหมือนว่าเธอจะยังคงอารมณ์ไม่ดี เมลตี้จึงรับจดหมายมาจากรีนที่ยังคงมีสีหน้าบูดบึ้ง ก่อนจะลากนิ้วของเธอเปิดซองจดหมายออกมา
แต่แรกเลยเธอไม่รู้ด้วยซ้ำว่าใครจะส่งจดหมายให้กับเธอ ผู้ที่จะลงไปยังโลกมนุษย์ก็ต่อเมื่อใจต้องการ
“เห~….หืม….อาร่าอาร่า”
“นี่ เขียนไว้ว่าไงน่ะ?”
เมื่อได้เห็นเมลตี้ตอบสนองต่อจดหมายแล้ว รีนจึงสนใจในเนื้อหาของมันก่อนจะพยายามมองดู
และแน่นอนว่าเมลตี้ไม่ปล่อยให้เป็นเช่นนั้นแน่ ทันทีที่รีนจะได้อ่านตัวอักษรภายใน จดหมายก็ไหม้ไฟและสลายกลายเป็นเถ้าไป
“คิดว่าไงล่ะ?”
“ก็เพราะไม่รู้ถึงได้ถามไงเล่า”
“โม่ว อย่างอนไปเลยนะ….ก็แค่ดวงดาวกำลังจะเคลื่อนตัวแล้วน่ะ”
“ดวงดาว?”
ตอบกลับคำพูดชวนสับสนของเมลตี้ รีนก็ได้แต่เอียงหัวกลับไป
ตั้งแต่สมัยก่อนแล้วที่เมลตี้มักจะใช้คำพูดอ้อมค้อมในการพูดคุยเรื่องสำคัญ
แต่สำหรับรีนผู้ที่ไม่ได้มีความรู้มากมายขนาดนั้นและไม่เข้าใจคำพูดเหล่านั้น คำตอบส่วนใหญ่ของเมลตี้มักจะทำให้เธออารมณ์เสียอยู่เรื่อยไป
“ข้าเห็นเงาในดาวดวงแรก ความร้อนระอุบนดาวดวงที่สอง และดาวดวงที่สามที่กำลังรอคอยจุดจบของมัน ดาวดวงที่สี่ไม่อยู่แล้ว ดาวดวงที่ห้าและดวงที่หกอยู่ท่ามกลางช่องว่างแห่งความคงตัว ดวงที่เจ็ด…เหมือนทุกครั้งที่ดวงตาของข้าไม่อาจเห็นมันได้”
“สิ่งที่เมลตี้พูด จะกี่ครั้งฉันก็ไม่เข้าใจเลยนะ”
เมื่อรีนบอกออกมาแบบนั้น เธอก็ล้มตัวลงบนเตียงด้วยความผิดหวัง
อาจเป็นเพราะเธอนอนน้อย เธอจึงถูกยั่วยวนโดยเตียงอย่างง่ายดาย โดยมีเมลตี้คอยสางผมของรีนเบาๆ
“คิชิน–ชูเท็น– ราชาภูติ–ไททาเนีย–แล้วยังมีนักฆ่า–แจ็ค–…เมื่อมาถึงยุคของมนุษย์แล้ว การกลับมาของพวกนั้นจะทำให้เกิดอะไรขึ้นนะ”
ขณะที่เมลตี้กำลังเชยชมรีน เธอก็นึกถึงจุดเริ่มต้นของปัญหาที่กำลังก่อตัว
บางทีมันอาจเกี่ยวข้องกับตำนานในยุคใหม่หรือบางทีมันอาจจบลงโดยที่ไม่มีอะไรเกิดขึ้นเลยก็เป็นได้
ภัยพิบัติต่อโลก ไม่ว่าเหตุผลจะเป็นเพราะอะไร พวกเขาเหล่านั้นถูกตัดสินไปว่าเป็นอันตรายและจึงถูกผนึกไว้ในฐานะสัตว์ประหลาดไป
“ดาวดวงหนึ่งที่ใกล้ที่จะดับสูญที่สุดก็มาจากคิจินเด็กนั่น เมื่อพันธนาการเริ่มคลายตัว ข้าคาดการณ์ว่าคงจะเริ่มจากคิชินสินะ”
ข้ารับใช้ของเมลตี้ได้มีอยู่ไปทั่วทั้งโลกเพิ่มรวบรวมข้อมูลมาให้แก่เธอ
นั่นเป็นเพียงการแก้จุดอ่อนของ[ดวงตา]ของเมลตี้ เพราะแม้ว่าเธอจะเห็นได้ทุกอย่าง เธอก็ไม่อาจได้ยินทุกเรื่องราวได้
“แต่ว่านะ…ทั้งที่สูญพันธุ์ไปจนหมดแล้วแท้ๆ กลับมีทายาทโผล่ขึ้นมาได้อีกครั้ง…หรือนี่จะเป็นสิ่งที่เทพผู้สร้างปรารถนากัน”
เมื่อเมืองแห่งการเริ่มต้นได้เกิดการเคลื่อนไหว เธอก็ได้รู้ว่ามีผู้ที่เกิดมาในเผ่าพันธุ์แวมไพร์ที่เธอเคยเป็นตัวตนสุดท้ายอยู่
เผ่าพันธุ์ที่เคยอยู่เหนือเผ่าพันธุ์อื่น เผ่าที่ถูกโค่นลงโดยตัวตนที่อยู่เหนือกว่าคำจำกัดความของความรุนแรง
หนึ่งในสามเผ่าพันธุ์ที่ถูกกวาดล้างโดยคิชิน นอกจากเมลตี้แล้ว แวมไพร์ตนอื่นได้ถูกกำจัดไปจนหมด
แม้อย่างนั้นแล้ว เมลตี้มิได้โกรธเคืองอะไรคิชินเลยแม้แต่น้อย
พวกแวมไพร์จอมโอหังสมควรโดนในสิ่งที่ตัวเองก่อไว้แล้ว ไปทำสร้างความโกรธแค้นให้กับคิชิน และในท้ายที่สุดก็เป็นเมลตี้เองที่นำทางพวกเขาไปสู่หายนะ
แวมไพร์ มังกร นางฟ้า เหล่าผู้โดดเด่นเปี่ยมพรสวรรค์ทั้งด้านกายภาพและเวทมนตร์ พวกเขาเหล่านั้นเคยถูกเรียกขานว่าแข็งแกร่งที่สุด ก็ได้ถูกทำลายลงโดยความรุนแรงขั้นสุดยอด ในตอนนั้นเมลตี้จำได้ว่าเธอรู้สึกเคลิบเคลิ้มไปกับมันเลยทีเดียว
และผลจากการทำลายล้างครั้งนั้น น่าประหลาดใจที่เผ่าพันธุ์ที่ว่ากันว่าอ่อนแอที่สุดและมีศักยภาพมากที่สุด เผ่ามนุษย์นั้น ได้กลายเป็นเสาหลัก กลายเป็นเผ่าที่เพิ่มจำนวนประชากรได้มากที่สุดและขยายตัวอย่างรวดเร็ว
เมลตี้ในตอนนี้ชื่นชอบโลกที่เต็มไปด้วผู้อ่อนแอ
แม้ว่าจะมีเพียงรีนผู้เดียวที่พาเธอออกจากความเบื่อหน่ายได้อย่างแท้จริง แต่เรื่องนั้นกับเรื่องนี้ก็ต่างกันไป
ถ้าหากว่ามีความเป็นไปได้ที่เผ่าพันธุ์ที่เคยสาบสูญจะกลับมารุ่งโรจอีกครั้ง เธอก็อาจต้องลงมือตัดความเป็นไปได้พวกนั้นด้วยตนเองเสีย
“ถึงแม้ว่า…ความเป็นไปได้นั้นคงจะเล็กน้อยมากก็ตามที”
สักวันพวกนั้นอาจเกิดขึ้นมาได้ใหม่อีกครั้ง นี่คือความจริงที่ไม่อาจโต้แย้งได้
แต่ว่านักเดินทางจากต่างโลกที่ปรากฏขึ้นในเมืองแห่งการเริ่มต้นนั้นก็ไม่อาจสร้างชีวิตใหม่ขึ้นมาได้ในโลกนี้
ดราโกเนี่ยนเอย นางฟ้าเอย หากเผ่าเหล่านั้นไม่งอกเงยขึ้นมาก็คงไม่เป็นปัญหาอะไรที่จะปล่อยเอาไว้แบบนี้
เพราะว่าการคืนชีพของคิชินนั้นคงใช้เวลาอีกกว่าครึ่งปี จึงไม่มีความจำเป็นอะไรที่จะต้องรีบร้อนในตอนนี้ แต่เดิมแล้วในหมู่เทพที่ถูกผนึกเอาไว้ นั่นอยู่ในฝั่งที่สงบเสงี่ยมด้วยซ้ำ
ฝ่ายที่ทำให้คิชินเกรี้ยวกราดต่างหากที่เป็นฝ่ายผิด และถึงแม้ว่าเธอจะคืนชีพขึ้นมาอีกครั้งสิ่งที่พวกเขาต้องทำก็แค่คอยจับตาดูเธอเอาไว้
ปัญหาอยู่ที่เทพอื่นต่างหาก หนึ่งในอันดับสูงสุดในรายชื่อ[นักฆ่า] ไม่รู้ทำไมเทพผู้สร้างถึงได้มีนิสัยจงใจสร้างหนทางให้เทพเหล่านั้นถูกปลดผนึกได้กันนะ
“ถึงข้าจะไม่อาจคาดเดาความคิดของเทพผู้สร้างได้เลยก็เถอะ…ฟุฟุ หลังจากที่ผ่านมาเนิ่นนานข้ากลับอยากที่จะออกผจญภัยอีกสักครั้งแล้วสิ”
“…..เมลตี้….มุ นย๊า มุ นย๊า….”
ดูเหมือนว่าเธอจะหลับสนิทเลยเชียว ทำตัวต่างจากเมื่อตอนที่อารมณ์ไม่ดี รีนได้ถูแก้มของเธอเข้ากับมือของเมลตี้ เห็นดังนั้นแก้มของเมลตี้ก็คลายตัวลง
ถึงพวกเธอจะมีความสัมพันธ์เช่นนาย-บ่าว สาเหตุที่เธอไม่ได้ผูกรั้งรีนไว้เป็นเพราะด้านที่ไร้เดียงสาของเธอเช่นนี้
เป็นคนที่ขี้อายและยังโกรธง่ายเมื่อพยายามจะซื่อตรงต่อจิตใจ เป็นเด็กที่โดนตามใจจนเคยชิน รีนเป็นคนแบบนั้นซึ่งเมลตี้ก็รู้ดี
รีนนั้นอ่อนแอ อ่อนแออย่างมาก แต่สำหรับเมลตี้แล้วเธอมีบางสิ่งที่เมลตี้ให้ความสำคัญเหนือสิ่งอื่นใด สกิลหนึ่ง
ตั้งแต่ที่ได้พบกับเธอและช่วยชีวิตเธอ และได้ให้เธอกลายเป็นบริวารของเมลตี้แล้ว พวกเธอได้ใช้เวลาร่วมกันมานานเท่าไหร่กันแล้วนะ?
บางทีพาเธอไปเดทอาจเป็นความคิดที่ไม่เลวเลยก็เป็นได้
หลังจากที่คิดได้ เมลตี้จึงลุกขึ้นจากเตียงหลังจากที่ไม่ได้ทำมาเนิ่นนาน
“เรกิน”
“เจ้าค่ะนายหญิง”
“ข้าจะออกไปข้างนอกสักหน่อย ฝากเรื่องดูแลปราสาทด้วยล่ะ”
“รับทราบเจ้าค่ะ”
แม้จะมีเสียงตอบรับแต่ก็ไม่อาจเห็นเจ้าของเสียงนั้นได้ เมลตี้ได้ออกคำสั่งไว้ให้กับข้ารับใช้ของเธอ เรกิน ก่อนที่จะเตรียมตัวออกเดินทางอย่างเบาๆพยายามที่จะไม่ปลุกเจ้าหญิงนิทราของเธอขึ้น
จะยังไงเสียเมลตี้ก็ไม่ต้องการอาหารแต่อย่างใด แต่รีนนั้นเป็นมนุษย์จึงต้องมีการจัดเตรียมอาหารสำหรับเธอไว้
ด้วยเหตุผลจากการใช้งานสกิลของเธอแล้ว บางทีอาจจะเป็นการดีที่จะเตรียมอาหารจำนวนมากเอาไว้
ใช้เวทมนตร์ของเธอโยนสิ่งของจำเป็นลงสู่ช่องเก็บของ เมลตี้ก็ได้เตรียมการเสร็จสิ้นภายในไม่กี่นาที
“สำหรับตอนนี้ก็…ไปที่เมืองหลวงก่อนดีกว่า ยังไงก็ต้องไปทักทายราชาของยุคนี้สักหน่อยล่ะนะ”
หลังจากที่เตรียมความพร้อม เมลตี้ก็ได้วาดตัวอักษรขึ้นมาสู่จดหมายกลางอากาศด้วยพลังเวทที่ส่องประกายบนปลายนิ้ว และได้ลากเตียงทั้งเตียงโดยที่มีรีนนอนอยู่ลงไปภายในเงามืด
ถ้าทุกอย่างเป็นเหมือนเช่นเคย รีนคงจะไม่ตื่นขึ้นมาภายในอีกสามชั่วโมง ในระหว่างนั้นเมลตี้จะออกเดินทางตามลำพังหลังจากที่ไม่ได้ทำมานาน
กางปีกจากด้านหลังของเธอ เธอออกเดินทางผ่านทางหน้าต่าง ภายใต้ค่ำคืนอันมืดมิด มีเพียงแสงสะท้อนจากจันทรา เมลตี้กระพือปีกเบาๆขณะที่ออกเดินทาง
โน้ตคนเขียน
เมืองหลวง = ฟีอัส
จะมีตอนขั้นอีกหนึ่งตอนก่อนจะเข้าตอนหลัก
โน้ตคนแปล
ดราโกเนี่ยน ใช้คำนี้เพราะต้นฉบับญี่ปุ่นใช้มนุษย์มังกร เหมือนกันกับนางฟ้า ที่ใช้ว่าชาวสวรรค์
เรกิน ไม่ทราบเพศ ในตอนนี้แปลเป็นเพศหญิงไปแต่ถ้ามีปรากฏตัวขึ้นในอนาคตอาจต้องกลับมาแก้
อยากได้คนเช็คคำผิดจัง…..
MANGA DISCUSSION