ลิขิตรัก ย้อนรอยแค้น - ตอนที่ 938 ถอยออกมาตั้งหลัก + ตอนที่ 939 ความภาคภูมิใจของลูกผู้ชาย
- Home
- ลิขิตรัก ย้อนรอยแค้น
- ตอนที่ 938 ถอยออกมาตั้งหลัก + ตอนที่ 939 ความภาคภูมิใจของลูกผู้ชาย
ตอนที่ 938 ถอยออกมาตั้งหลัก
เฮ่อเหลียนชิงทำให้บรรดาลูกน้องตกใจจนอกสั่นขวัญผวาจนต้องเอ่ย “เพราะคุณชายหมิงสั่งมา หากอยู่นอกบ้านก็ไม่ควรทำเรื่องเป็นที่จับตามองมากจนเกินไป พวกเราไม่กล้า…”
“เพี้ยะ”
เฮ่อเหลียนชิงใช้ฝ่ามือตบลงบนโต๊ะหิน เหมยเหมยที่เห็นดังนั้นก็รู้สึกเจ็บไปทั่วฝ่ามือแทน
“ไร้สาระสิ้นดี ไม่ควรให้ถูกจับตามองงั้นเหรอ? ปกติฉันพูดว่ายังไง เจอหน้าไอ้ลูกเวรนั่นต้องจัดการจนถึงที่สุด พวกแกมันไร้ประโยชน์ พวกแกทำให้ฉันอับอายขายขี้หน้าไปเสียหมด ไอ้ลูกเวรนั่นกับไอ้จิ้งจอกเฒ่า ป่านนี้พวกมันคงดื่มเหล้าฉลองอย่างมีความสุขอยู่ที่บ้านไปแล้ว…แค่ก ๆ ๆ…”
เฮ่อเหลียนชิงหน้ามีเลือดฝาดขึ้นสีแดงและยังไอออกมาอย่างรุนแรง จนร่างกายโค้งงอเป็นกุ้งฝอย ไอ ‘แค่ก ๆ’ ไม่หยุด ไอราวกับจะเอาปอดออกมาก็มิปาน
“พ่ออย่าโกรธเลย เรื่องนี่ผมผิดเอง เป็นเพราะผมให้พวกมันจัดการอย่างเงียบ ๆ…”
เหยียนหมิงซุ่นเดินเข้าไปลูบหลังให้เฮ่อเหลียนชิงพลางนึกโทษตัวเอง เขานึกไม่ถึงว่าเรื่องราวความแค้นระหว่างเฮ่อเหลียนชิงและเฮ่อเหลียนเช่อจะลึกซึ้งได้ถึงเพียงนี้ ราวกับความแค้นนั้นลึกเท่ากับทะเลสีเลือด
“เพี้ยะ!”
เฮ่อเหลียนชิงฟาดมือลงไป รอยสีแดงสดจากนิ้วมือทั้งห้าปรากฏอยู่บนใบหน้าของเหยียนหมิงซุ่น
เหมยเหมยร้อนรนจนแทบจะยั้งตัวไม่ให้พุ่งเข้าไปไม่ได้ แต่เธอรู้ดีในเวลาแบบนี้เธอไม่สามารถพูดอะไรออกไปได้ แล้วก็ไม่สามารถทำอะไรได้…
เธอมองรอยนิ้วมือที่ปรากฏบนใบหน้าของเหยียนหมิงซุ่นอย่างเจ็บปวด ความรู้สึกในท้องเธอนั้นได้จัดการลงทัณฑ์ทรมานทั้งสิบแปดแห่งแมนจู[1] กับเฮ่อเหลียนชิงไปจนครบทุกอย่างแล้ว
“แกไม่รู้เรื่องอะไร แล้วสั่งการไปเพื่อ?”
“ผมผิดไปแล้ว ขอรับคำชี้แนะจากพ่อด้วย!”
เหยียนหมิงซุ่นคุกเข่าพร้อมกับก้มหัวให้ด้วยความเคารพ ไม่แสดงออกถึงความไม่พอใจแม้แต่น้อย เป็นเพราะเขารู้ว่าตนเองทำผิดจริง ๆ ถูกตบก็นับว่าสมควรแล้ว
เฮ่อเหลียนชิงที่เห็นเหยียนหมิงซุ่นยังคงมีท่าทีเคารพ ความโกรธที่กำลังปะทุก็ลดลงไปบ้าง
“ฉันขอบอกแกไว้ในตอนนี้เลยนะ ไม่ว่าจะเป็นเมืองหลวงหรือที่แห่งไหนก็ตาม แกอยากจะถอยให้ใครก็ได้ แต่มีเพียงแค่สองคนที่ต่อให้แกต้องตายก็ไม่ควรถอย นั่นคือหนิงเฉินเซวียนและเฮ่อเหลียนเช่อ จำได้แล้วใช่ไหม?”
“จำได้ครับ ถ้าเจอกับสองคนนี้แค่ครึ่งก้าวก็ห้ามถอย!” เหยียนหมิงซุ่นตอบเสียงดังฟังชัด
เฮ่อเหลียนชิงพยักหน้าเล็กน้อยพึงพอใจที่เหยียนหมิงซุ่นยังเป็นเด็กที่ว่านอนสอนง่าย เขาจึงเอ่ยปากสั่งสอนอีกครั้ง “อีกอย่างต่อไปนี้ถ้าออกไปข้างนอกไม่ควรจะถ่อมตัวอะไรอีก คนของฉันไม่ควรจะถ่อมตัว ฉันเป็นถึงระดับนี้แล้วยังจะให้ถ่อมตัวอะไรอีก? อย่าให้คนอย่างฉันต้องอับอายขายขี้หน้าอีก!”
“ครับ!”
เหยีนหมิงซุ่นและคนอื่น ๆต่างขานรับอย่างพร้อมเพรียง
“คุณท่าน ผมจะพาคนไปจัดการเอาบ้านพวกนั้นคืนมาเดี๋ยวนี้แหละครับ!” ลูกน้องคนเมื่อครู่กำหมัดไว้แน่น คิดเพียงแค่อยากล้างแค้นความอัปยศนี้
เหยียนหมิงซุ่นคิดไตร่ตรอง ก่อนจะเอ่ย “พ่อครับ ผมคิดว่าเราไปแย่งเอาบ้านมาในตอนนี้ดูจะไม่เหมาะสมนัก ครั้งหน้าถ้าเป็นที่อื่นเราค่อยสั่งสอนเฮ่อเหลียนเช่อไม่ดีกว่าหรือครับ”
เฮ่อเหลียนชิงเงยหน้าขึ้นมองสบตาเขา เพื่อเป็นสัญญาณว่าให้เขาพูดต่อ
“สำหรับศัตรูแล้วเราไม่ควรถอยให้แม้แต่คืบเดียว แต่ด้วยเหตุนี้เราควรถอยกลับมาเพื่อตั้งหลักเสียก่อน จุดอ่อนเพียงชั่วคราวไม่ได้หมายถึงความอ่อนแอที่แท้จริง ในเมื่อบ้านหกหลังนี้หลุดไปอยู่ในมือของเฮ่อเหลียนเช่อแล้วก็ปล่อยให้มันได้ใจไปก่อน พวกเราค่อยหาจังหวะกับเรื่องอื่น เพื่อสั่งสอนเขาให้เข็ดหลาบ ให้พวกเขาเจ็บปวดเสียเลือดมากกว่านี้”
เหยียนหมิงซุ่นพูดความคิดเห็นของตนออกมา แน่นอนว่าเขาเองก็โกรธที่ถูกเฮ่อเหลียนเช่อตัดหน้าแย่งไป แต่จะเอาคืนด้วยวิธีนี้มันไม่ได้มีผลดีอะไรเลย ยอมปล่อยให้เฮ่อเหลียนเช่อได้ใจไปก่อน แล้วอีกหน่อยค่อยสั่งสอนคนวิปริตอย่างมัน
อุตสาหกรรมภายใต้ชื่อของเฮ่อเหลียนเช่อนั้นมีอยู่มากราวกับขนวัว อยากจะจัดการคนหนุนหลังเขานั้นง่ายเพียงนิดเดียว!
มาชิงบ้านทั้งหกหลังของเขาไป เขาจะทำให้เฮ่อเหลียนเช่อสำรอกออกมาให้มากกว่านั้น!
เฮ่อเหลียนชิงมองเหยียนหมิงซุ่นด้วยความชื่นชม เขาอ่านหนังสือเกี่ยวกับทหารมาตั้งแต่เด็ก สิ่งที่เหยียนหมิงซุ่นพูดนั้นเขาเข้าใจดี เมื่อครู่เป็นเพียงเพราะอารมณ์โมโหปะทุขึ้นมาจึงทำให้เขาทนไม่ได้
หากว่าเขาเป็นเพียงแค่คนที่ไม่รอบคอบสักแต่จะทำ จะยังต่อกรกับหนิงเฉินเซวียนมานานหลายปีและยังมีชีวิตอยู่ต่อมาถึงตอนนี้ได้เหรอ
“ได้ งั้นเรื่องนี้ก็ยกให้แกจัดการ ภายในหนึ่งเดือนฉันจะต้องได้เห็นข่าวดี!”
เหยียนหมิงซุ่นส่งเขาขึ้นบันได เฮ่อเหลียนชิงเดินลงพื้นมาได้อย่างง่ายดายพลางยู่ปากไปทางบรรดาลูกสมุนให้ช่วยประคองเขากลับเข้าห้อง ทิ้งไว้เพียงเหยียนหมิงซุ่นและเหมยเหมยที่นั่งนิ่งไม่ไหวติงเพียงสองคน
……………………………………………………….
ตอนที่ 939 ความภาคภูมิใจของลูกผู้ชาย
เหมยเหมยสะกิดเหยียนหมิงซุ่น พร้อมกับเอ่ยปากถาม “ทำไมฉันถึงรู้สึกว่าพ่อของพี่คิดแบบนั้นตั้งแต่แรกแล้ว!”
เหยียนหมิงซุ่นกลั้นขำไม่อยู่ ซึ่งเขาเองก็คิดเช่นนั้น และถ้าเป็นเช่นนั้นดูท่าว่าเขาจะถูกตบฟรี ๆเสียแล้ว
เหมยเหมยประคองแก้มของเขาเอาไว้ด้วยความสงสาร พร้อมเอ่ยอย่างโมโห “คนคนนี้ไม่มีเหตุผลเอาเสียเลย ต่อไปนี้พี่หมิงซุ่นต้องระวังตัวหน่อย จะพูดจะจาอะไรก็อยู่ให้ห่างจากเขา แล้วก็หลีกเลี่ยงช่วงที่เขากำลังประสาทกินและวิ่งไล่ตบคนแบบนี้อีก”
“ไม่ควรพูดจาแบบนี้ พ่อเขาสั่งสอนพี่ก็ถูกแล้ว เป็นพี่เองที่ไม่ควรสั่งลูกน้องทำงานถ่อมตัวเงียบ ๆเช่นนั้น มันคือความผิดของพี่เอง” เหยียนหมิงซุ่นอธิบาย
“แต่เมื่อกี้พี่บอกว่าถอยมาตั้งหลักไม่ใช่เหรอ?”
เหมยเหมยไม่เข้าใจ ซึ่งระดับมันสมองของเธอนั้นมีขีดจำกัด จึงยากที่จะทำความเข้าใจกับเรื่องราวทางยุทธวิธีที่ลึกซึ้งเช่นนี้ได้
เหยียนหมิงซุ่นหยิกแก้มของเธอเบา ๆ หัวเราะพร้อมกับเอ่ย “ถอยมาตั้งหลักเป็นแค่วิธีการแก้ปัญหา หลักจากที่ปัญหานั้นเกิดขึ้นแล้ว แต่ในระหว่างที่เกิดเรื่องขึ้นจะใช้วิธีการอ่อนแอไม่ได้เพราะนั่นจะทำให้พ่อเสียหน้า”
เหมยเหมยที่ได้ยินดังนั้นเหมือนว่าจะเข้าใจแต่ก็ไม่เข้าใจ หัวคิ้วผูกกันจนแทบจะเป็นก้อน เหยียนหมิงซุ่นที่เห็นเข้าจึงอดไม่ได้ที่จะรู้สึกคันไม้คันมือ เลยเลือกที่จะหยิกไปบนแก้มเธออีกหลายครั้ง และพูดขึ้นอย่างนึกสนุก “เหมยเหมยไม่จำเป็นต้องเข้าใจหรอก เรื่องนอกบ้านน่ะให้เป็นเรื่องของพี่ เธอแค่รับผิดชอบ…เป็นภรรยาให้พี่ก็พอแล้ว…”
ประโยคหลังจากนั้นเขากระซิบที่ข้างหูของเหมยเหมย ไออุ่นเป่ารดที่ใบหน้าของเธอจนร้อนผ่าว จึงฟาดมือไปที่เขาด้วยความเขินอาย ทำหน้านิ่งพร้อมกับเอ่ยด่าเขา “เกลียดนัก…”
เหยียนหมิงซุ่นหัวเราะร่าอย่างได้ใจ จากนั้นก็ดึงเธอเข้ามากอด พร้อมทั้งแบกเธอขึ้นหลัง เสียงร้องปนหัวเราะของหญิงสาวดังแว่วไปไกล…
เฮ่อเหลียนชิงที่อยู่ในห้องก็พลอยได้ยินไปด้วย เขารู้สึกแค่ว่าหนวกหู จึงอดไม่ได้ที่จะด่าออกไป “ผิดผีผิดประเพณี!”
ลูกสมุนข้างกายต่างก็มุ่ยปากไปตาม ๆกัน คู่หนุ่มสาวหยอกเย้ากันนับเป็นเรื่องธรรมดาทั่วไป อย่างคุณท่านนี่เรียกว่าพยายามหาเรื่องติเตียนชัด ๆเลย!
เฮ่อเหลียนชิงที่เพิ่งกินอิ่มก็เริ่มรู้สึกเหนื่อย หนังตาก็เกิดการประท้วงขึ้น และยิ่งนับเป็นเรื่องดีสำหรับลูกน้องของเขา ความรู้สึกขอบคุณที่มีต่อเหมยเหมยยิ่งเพิ่มขึ้น เขาอุ้มเฮ่อเหลียนชิงไปยังห้องน้ำก่อน เพื่อทำการชำระล้างร่างกาย จากนั้นค่อยอุ้มขึ้นเตียง
“พรุ่งนี้แกไปบอกคนพวกนั้นว่าให้ไปเก็บรวบรวมข้อมูลและภาพถ่ายของผู้หญิงที่มีอายุระหว่างสิบห้าถึงยี่สิบปีในบรรดาตระกูลที่พอจะมีชื่อเสียงในเมืองหลวงมา ห้ามขาดแม้แต่คนเดียว”
ดวงตาของเฮ่อเหลียนชิงกึ่งหลับกึ่งตื่น พอพูดจบเขาก็หลับลงอย่างง่ายดาย ทำให้ลูกน้องที่คอยปรนนิบัติยู่ข้างกายเขาร้องไห้ออกมาอย่างอดไม่ได้
หลายปีมานี้คุณท่านของเขาไม่ได้เข้านอนมานานแล้ว!
เหยียนหมิงซุ่นอุ้มเหมยเหมยขึ้นรถ จากนั้นคนทั้งคู่ก็พลอดรักกันอยู่พักใหญ่ แสงยามเย็นได้ลาลับขอบฟ้าไปแล้ว แปรเปลี่ยนเป็นแสงสลัวของดวงจันทร์ที่โผล่พ้นปลายยอดของต้นหลิว มืดสลัว ๆช่างเป็นค่ำคืนที่เหมาะสำหรับการพบปะของคู่รัก
เหมยเหมยถูกจูบจนแทบไม่มีอากาศหายใจ หากผ่านค่ำคืนนี้ไป เธอและเหยียนหมิงซุ่นก็จะไม่ได้เห็นหน้ากันอีกหลายวัน ไม่อยากห่างกันเลย!
“เป็นเด็กดีล่ะ อีกไม่กี่วันพี่จะขอลาหยุดเพื่อมาหาเธอ…หืม”
เหยียนหมิงซุ่นกอดเธอที่นั่งอยู่บนหน้าขา โดยไม่กล้าทำอย่างอื่น มือทั้งสองข้างทำตามกฎอย่างเคร่งครัด ไม่งั้นเขาคงต้องได้รบกวนมือทั้งห้านิ้วอีก
“อืม…”
เหมยเหมยพิงอกเขาอย่างเชื่อฟัง มือเล็ก ๆของเธอลูบนั่นลูบนี่ไปมาอย่างเบื่อหน่าย ทุก ๆสัมผัสของเธอ ทำให้เหยียนหมิงซุ่นนั้นยากเกินจะห้ามใจไหว เขาข่มใจกดมือเล็ก ๆที่อยู่ไม่เป็นสุขนั้นไว้
“พี่จะไปส่งเธอที่บ้านตระกูลเซียว ส่วนเรื่องบ้านไม่ต้องรีบหรอก อีกหน่อยพี่จะเอามันมาคืนเธอให้ได้” เหยียนหมิงซุ่นเอ่ยรับปาก
“ไม่ได้คืนก็ไม่เป็นไร พวกเราไม่จำเป็นต้องมีเรื่องกับเฮ่อเหลียนเช่อเพราะเรื่องแบบนี้ ฉันขอแค่ให้พี่ปลอดภัย…”
เหมยเหมยส่ายหน้าไปมา ไม่ยอมให้เหยียนหมิงซุ่นไปแย่งบ้านคืน มีแค่ห้าหลังเธอก็พอใจแล้ว ที่เหลืออีกหกหลังไม่ได้ก็คือไม่ได้สิ
แต่เธอไม่เข้าใจเรื่องของความภาคภูมิใจของลูกผู้ชาย โดยเฉพาะคู่ต่อสู้อย่างเฮ่อเหลียนเช่อและเหมยซูหาน เหยียนหมิงซุ่นจะยอมแพ้ง่าย ๆได้อย่างไร?
…………………………………………………..
[1] วิธีการทรมานนักโทษของชาวแมนจู แห่งราชวงศ์ชิง ประกอบด้วยการถลกผิวหนัง การตัดเอว การใช้รถดึงแยกร่าง การตัดอวัยวะทั้งห้า การแล่เนื้อเถือหนัง การตัดหัวประจาน การต้มทั้งเป็น การตัดอวัยวะสืบพันธุ์ การตัดเท้า การฝังเข็มอาบยาพิษ การฝังทั้งเป็น การดื่มยาพิษ การแทงไส้ทะลุลำไส้ การหั่นแยกร่าง การหักกระดูก การกดตะกั่ว การหวีเนื้อด้วยเหล็ก และสุดท้ายคือการควักมันสมอง