ลำนำพระเจ้าขวดโหล - ตอนที่ 4 สิบจรรยา
“เราคือพระเจ้า” เธอกล่าว
“ท่านบันดาลภัยพิบัติ” เขาเอ่ย
“เราบันดาลชีวิตแก่มนุษย์” เธอแย้ง
“ท่านบันดาลโรคภัย” เขาเอ่ย
“เราบันดาลความรักแก่ดวงจันทรา” เธอแย้ง
“ท่านบันดาลสงคราม” เขาเอ่ย
“เราบันดาลความเมตตาแก่มหาราช” เธอแย้ง
“ท่านบันดาลความหิวโหยอดอยาก” เขาเอ่ย
“เราบันดาลแร่ธาตุแก่ดินแดนแห่งทองคำ” เธอแย้ง
“ท่านบันดาลความตาย” เขาเอ่ย
“เราบันดาลกรรมให้ตกแก่ผู้กระทำการ” เธอแย้ง
“สิ่งนั้นคือ—”
เช้าที่น่าจะสดใสมาเยือน
วันนี้ผมตื่นเช้ากว่าปกติ เวลาเข้าเรียนคือเก้าโมงเช้า เวลากินข้าวคือหกโมงตรง แต่เวลาตอนนี้คือประมาณตีห้าครึ่ง
ผมลุกขึ้นมาจากเตียง มองไปรอบ ๆ ไม่เห็นใครอยู่ เดาว่ารูมเมตของผมน่าจะตื่นและออกไปก่อนแล้ว ไม่รู้เหมือนกันว่าจะรีบไปไหนตั้งแต่เช้า
ช่างเถอะ เลิกสงสัยเรื่องคนอื่นแล้วไปจัดการเรื่องตัวเองให้ดีก่อนจะดีกว่า
.
.
.
หลังจากจัดการธุระส่วนตัวเสร็จก็ผ่านไปแล้วชั่วโมงเศษ ตอนนี้เป็นเวลาประมาณหกโมงสี่สิบ ผมพร้อมที่จะไปโรงเรียนด้วยตัวเองแล้ว
ค่อนข้างจะประหม่าอยู่หน่อย นี่เป็นการเข้าเรียนในโรงเรียนครั้งแรกของผม และอาจจะเป็นการเข้าสังคมจริง ๆ จัง ๆ ครั้งแรกด้วย
หวังว่าวันนี้จะโชคดีนะ
ผมก้าวออกจากห้อง มองซ้ายมองขวาไม่เห็นใคร สงสัยว่าจะยังเช้าเกินไปอยู่ แม้แต่ในโถงรวมก็ไม่มีใคร ก่อนเจ็ดโมงคงจะเช้าเกินไปสำหรับที่นี่
ผมตรงไปที่ลิฟต์ได้อย่างสวัสดิภาพ พอกดปุ่มลิฟต์ก็เปิดออกทันที ไม่มีใครกำลังใช้หรือรอใช้อยู่ เห็นว่าถ้าจะไปที่ห้องอาหารให้กดปุ่มเลข 2 สินะ
ผมกดปุ่มไปตามนั้น ใช้เวลาไม่กี่วินาทีก็ถึงที่หมาย ผมเดินออกจากลิฟต์อย่างระมัดระวัง ก่อนที่จะค่อย ๆ สังเกตไปรอบ ๆ ห้องอาหาร
…..รู้สึกเหมือนกำลังแอบทำอะไรไม่ดีอยู่เลยแฮะ ต้องผ่อนคลายกว่านี่สิ นี่แค่มากินอาหารเช้านะ
ผมหายใจเข้าออกช้า ๆ ก่อนที่จะก้าวต่อไปข้างหน้า
เอาล่ะ ใจเย็นขึ้นแล้ว เท่านี้ก็เดินไปตักอาหารได้
ที่ห้องอาหารพอจะมีคนอยู่บ้างประปราย แต่ก็ถือว่าน้อยอยู่ดี แต่ละคนเหมือนจะจดจ่ออยู่กับตัวเองกันทั้งนั้นด้วย ก็เลยไม่ต้องกังวลว่าจะมีใครมองมาด้วยสายตาแปลก ๆ
อาหารที่นี่จัดวางเหมือนกับอาหารโรงแรม สามารถตักได้ตามที่ต้องการ อาหารส่วนใหญ่ก็ดูหรูหราเกินกว่าอาหารที่ผมเคยรู้จัก
ผมเลือกที่จะตักทุกอย่างมาอย่างละนิด เมื่อตักเสร็จก็เลือกไปนั่งโต๊ะที่อยู่ห่างไกลผู้คนมากที่สุด เท่านี้ก็จะสามารถมีมื้ออาหารที่สบายใจได้—
“แฮมเลต~กินนี่สิจ๊ะ จะได้ตัวโต ๆ นะ”
“…..ค่ะ”
“แล้วก็อย่าลืมกินนี่ด้วย~อ๊ะ นี่ก็อร่อยนะจ๊ะ—หืม? เธอ…..”
แย่ล่ะสิ ก่อนหน้านี้ไม่เห็นมีใครอยู่ตรงนี้เลย สองคนนี้มาจากไหนกัน
“เป็นเธออีกแล้วเหรอ?” หนึ่งในนั้นทักขึ้น “นี่ครั้งที่เท่าไหร่แล้วล่ะ? สิบสอง? หรือสิบสาม?”
ไม่รู้ว่าคนคนนี้กำลังพูดถึงเรื่องอะไร แต่ผมในตอนนี้ไม่สามารถตอบสนองต่อประโยคนั้นได้เลย แม้แต่จะก้าวขายังทำไม่ได้ด้วยซ้ำ
“เอาเถอะ ถามไปก็ไม่ได้อะไร แต่ครั้งนี้เราเจอกันเร็วไปหน่อยนะ” คนคนนั้นพูดด้วยรอยยิ้มก่อนที่จะตรงมาหาผม “ผู้ดูแลหอสมุดต้องทำตามกฎทั้งหมดสิบข้อ” เธอหัวเราะเบา ๆ ในลำคอ “…..อีกสิบสามวันไว้เจอกันนะจ๊ะ” เธอกระซิบด้วยน้ำเสียงชวนสงสัย
ในตอนนั้น รู้สึกเหมือนกับมีใครมาแตะที่หลังเบา ๆ
และแล้ว—–
เช้าที่สดใสมาเยือน วันนี้ผมตื่นเช้ากว่าปกติ เวลาเข้าเรียนคือเก้าโมงเช้า เวลากินข้าวคือหกโมงตรง เวลาตอนนี้ตรงกับเวลากินข้าวพอดี
ผมลุกจากเตียง มองไปรอบ ๆ ไม่เห็นใครอยู่ เดาว่าเจมส์น่าจะออกไปจากห้องก่อนแล้ว คงจะอยู่ที่ห้องอาหารล่ะมั้ง
ผมใช้เวลาเกือบชั่วโมงไปกับการจัดการธุระส่วนตัว ตอนนี้เป็นเวลาประมาณหกโมงสี่สิบ ผมพร้อมที่จะไปโรงเรียนด้วยตัวเองแล้ว พอจะประหม่าอยู่บ้าง ก็เป็นการเข้าสังคมครั้งแรกนี่เนอะ
เอาล่ะ หวังว่าวันนี้จะโชคดี
ผมก้าวออกจากห้อง ไม่มีใครออกมาจากห้องพร้อมกับผม แต่ก็มีบางคนที่นั่งเล่นอยู่ที่โถงรวมบ้างประปราย ก่อนเจ็ดโมงคงจะเช้าเกินไปสำหรับคนส่วนใหญ่
ผมใช้ลิฟต์มาที่ห้องอาหาร ที่นี่พอจะมีคนอยู่บ้าง แต่ก็ไม่ถือว่าแออัด แต่ละคนเหมือนจะจดจ่ออยู่กับตัวเองกันทั้งนั้นด้วย ก็เลยไม่ต้องกังวลว่าจะมีใครมองมาด้วยสายตาแปลก ๆ
อาหารที่นี่จัดวางเหมือนกับอาหารโรงแรม สามารถตักได้ตามที่ต้องการ อาหารส่วนใหญ่ก็ดูหรูหราเกินกว่าอาหารที่เคยรู้จัก เพื่อที่จะได้เปิดโลก ผมก็เลยเลือกที่จะตักอาหารทุกอย่างมาอย่างละนิด จากนั้นจึงไปนั่งกินคนเดียวที่มุมหนึ่งของห้อง
…..ไม่ใช่มื้ออาหารที่ดีเท่าไหร่ สงสัยว่าการตักอาหารมารวมกันในจานเดียวจะเป็นความคิดที่แย่สินะ เพราะแบบนี้ก็เลยใช้เวลาไปกับมื้อเช้านานกว่าที่คิด แต่ถึงอย่างนั้นก็เถอะ คนที่ห้องอาหารไม่ได้เยอะขึ้นจากก่อนหน้านี้เลย คนที่นี่คงจะไม่นิยมมื้อเช้ากันเท่าไหร่
ผมเอาจานไปเก็บก่อนที่จะขึ้นลิฟต์ไปยังชั้นแรกของหอพัก ทุกอย่างเป็นไปอย่างราบรื่น ไม่มีเหตุการณ์อะไรแปลก ๆ เกิดขึ้น…..ล่ะมั้ง?
“สวัสดีตอนเช้าค่ะ หวังว่าจะปรับตัวกับการเป็นนักเรียนหอพักได้นะคะ”
ทันทีที่ลิฟต์เปิดออกก็มีคนแปลก ๆ ยืนอยู่ข้างหน้า เป็นคนที่แต่งตัวเหมือนกับแม่มดผสมกับพนักงานบริษัท ดูขัดกันอย่างบอกไม่ถูก
“เหมือนว่าจะยังสับสนอยู่ เอาเป็นว่า…..ยินดีที่ได้เจอกันอย่างเป็นทางการค่ะ ขอแนะนำตัวอย่างเป็นทางการอีกครั้ง—” คนแปลกหน้าที่แต่งตัวแปลก ๆ โค้งตัวลงตามมารยาท “—รองศาสตราจารย์เอสเมอรัลดา อิสคาริโอท หัวหน้าภาควิชาฟิสิกส์และดาราศาสตร์ แล้วก็เป็นอาจารย์ที่ปรึกษาประจำชั้นเรียนที่คุณลัวร์อยู่ และต่อจากนี้ จะเป็นคนนำทางคุณลัวร์ไปยังห้องเรียนเองค่ะ”
รองศาสตราจารย์เอสเมอรัลดา? อาจารย์เอสมา? คนที่แนะนำโรงเรียนให้ผมเมื่อวานเหรอ?!
จากน้ำเสียงกับจังหวะการพูดก็พอจะใช่อยู่ แต่การแต่งตัวแบบนี้มันอะไรกัน ไม่เหลือเค้าโครงของอาจารย์เอสมาที่ผมรู้จักเลย
ผมอ้ำอึ้งอยู่สักพักโดยที่ไม่ได้ตอบอะไรกลับไป ค่อนข้างเสียมารยาทสำหรับการสนทนา แต่อาจารย์เอสมาเหมือนจะไม่สนใจเรื่องนั้น
เธอเดินนำทางผมจากหอพักไปยังอาคารที่อยู่ติดหอพัก เห็นว่าชื่ออาคารนักบุญกาเรียหรืออะไรสักอย่าง เรียกว่าอาคาร ม.ปลาย ปีหนึ่งก็แล้วกัน ยังไงก็ไม่มีใครเรียกชื่อเต็มกันอยู่แล้ว
ระหว่างทางจากหอพักไปห้องเรียนไม่มีบทสนทนาใด ๆ เกิดขึ้น กระอักกระอ่วนน่าดู บางทีผมน่าจะหัดพูดกับคนอื่นให้มากกว่านี้
เรื่องที่น่าสนใจระหว่างทางเดินคือ ไม่มีใครในโรงเรียนหันมามองที่อาจารย์เอสมาเพราะชุดแปลก ๆ นี่เลย อย่างกับว่าเป็นชุดที่ใคร ๆ ก็ใส่กันอย่างไรอย่างนั้น เทียบกันแล้ว อาจารย์ที่ใส่ชุดแบบเมื่อวานยังมีคนหันมามองมากกว่าอีก ถึงเมื่อวานจะแทบไม่มีใครเดินอยู่นอกอาคารเลยก็เถอะ
ห้องเรียนที่ผมจะได้อยู่คือห้อง A เป็นห้องเดียวในปีหนึ่งที่มีนักเรียนแค่สิบสี่คน ถ้าผมเข้าไปอยู่ก็จะกลายเป็นสิบห้าเท่ากับห้องอื่น นี่น่าจะเป็นสาเหตุที่ผมได้มาอยู่ห้องนี้
อาคาร ม.ปลาย ปีหนึ่ง นับว่าเป็นอาคารที่เตี้ยที่สุดในบรรดาอาคารเรียนทั้งหมด แต่ภายในซับซ้อนกว่าที่คิด ถ้าไม่มีอาจารย์เอสมานำทางคงจะหลงได้ง่าย ๆ
ภายในอาคารจะเน้นไปที่การใช้โทนสีม่วงขาวสำหรับการตกแต่ง สไตล์การออกแบบภายในค่อนข้างจะทันสมัยเทียบกับโถงใหญ่ แต่ก็จะมีบางจุดที่ออกจะโบราณไปหน่อย โดยเฉพาะห้องรวมของอาคารที่มีแต่นาฬิกา มีทั้งแบบติดผนังกับตั้งพื้น เหมือนกับห้องสะสมนาฬิกามากกว่าห้องรวมนักเรียน น่าแปลกที่นาฬิกาทุกเรือนยังใช้งานได้ ไม่ว่าจะดูโบราณขนาดไหนก็ตาม
ระหว่างทางมีอะไรหลายอย่างที่ชวนดึงดูด ที่นี่ไม่ให้ความรู้สึกเหมือนอาคารเรียนเท่าไหร่ แต่กลับให้ความรู้สึกของพิพิธภัณฑ์อย่างเต็มเปี่ยม
เส้นทางที่อาจารย์เอสมานำทางผมมาที่ห้องเรียนก็ดูจะไม่ใช่ทางที่นักเรียนปกติจะเดินกัน เหมือนจะเป็นทางลับอะไรแบบนั้นมากกว่า เป็นทางลับที่จะเปิดออกเมื่อหมุนเข็มนาฬิกาไปที่เวลาหนึ่งพร้อมกับตั้งนาฬิกาทรายให้เวลานับถอยหลัง ทำไมอาคารเรียนถึงต้องมีทางลับด้วยล่ะ แปลกชะมัด
ช่างเถอะ คิดไปก็ไม่ได้อะไร
กว่าจะมาถึงห้องเรียนก็ได้เวลาโฮมรูมพอดี ที่น่าแปลกอีกเรื่องคงจะเป็นห้องเรียนนี่แหละ ในขณะที่จุดอื่นในอาคารดูลึกลับซับซ้อน ห้องเรียนกลับอยู่เรียงกันแบบปกติ แถมยังไม่ได้ดูจะมายากอย่างที่คิดด้วย อันที่จริง เดินเข้าอาคารแล้วหันขวาก็เจอห้องเรียนแล้ว แต่อาจารย์ดันพาไปทางซ้ายแล้วก็เดินอ้อมมา…..สงสัยคงจะอยากให้ผมทำความรู้จักกับอาคารเรียนล่ะมั้ง หวังว่าจะเป็นแบบนั้น
“ได้เวลาแนะนำตัวเองให้กับเพื่อนใหม่แล้วล่ะค่ะ” อาจารย์เอสมาหันมาพูดกับผมทันทีที่มาอยู่หน้าประตูห้อง “หลัก ๆ แค่แนะนำแค่ชื่อก็พอ ไม่ต้องกังวลไปนะคะ ตอนนี้รออยู่ตรงนี้ก่อน เรียกเมื่อไหร่ค่อยเข้ามานะคะ” พูดจบอาจารย์ก็เดินเข้าห้องไปก่อน
‘อรุณสวัสดิ์ค่ะ เนื้อหาของการโฮมรูมเช้านี้มีสองเรื่องด้วยกัน เรื่องแรกคือนิทรรศการชมรมในวันพุธหน้า ในวันนั้นจะไม่มีการเรียนการสอน ขอให้นักเรียนทุกคนใช้เวลาให้เต็มที่กับการเลือกชมรมที่ตัวเองสนใจนะคะ นักเรียนทุกคนจะต้องสังกัดชมรมอย่างน้อยหนึ่งชมรม อย่าลืมเรื่องนี้กันด้วยนะคะ’
อาจารย์เอสมาพูดด้วยท่าทางที่ขึงขัง แตกต่างจากตอนที่คุยกับพบลิบลับ ไม่เข้ากับชุดที่ใส่อยู่เท่าไหร่ เรื่องที่พูดเหมือนจะเป็นเรื่องสำคัญ น่าจะตั้งใจให้ผมได้ยินด้วยสินะ
บรรยากาศในห้องเต็มไปด้วยความคึกคัก ผิดจากที่คิดไว้พอสมควร คิดว่าโรงเรียนหัวกะทิจะมีบรรยากาศตึงเครียดกว่านี้เสียอีก
‘หมายความว่าอยู่ได้มากกว่าหนึ่งชมรมเหรอคะ? รองศาสตราจารย์เอสเมอรัลดา อิสคาริโอท หัวหน้าภาควิชาฟิสิกส์และดาราศาสตร์และเวทมนตร์’ นักเรียนหญิงคนหนึ่งในห้องถามขึ้นด้วยน้ำเสียงขี้เล่น เหมือนตั้งใจจะล้อชื่อเต็มอาจารย์มากกว่าจะอยากได้คำตอบ ‘ทางทฤษฎีแล้วสามารถอยู่ได้มากกว่าหนึ่งชมรมค่ะ แต่เนื่องจากนักเรียนที่สังกัดชมรมใดชมรมหนึ่งแล้วจะต้องทำงานวิจัยเกี่ยวกับสิ่งที่ศึกษาภายในชมรมก่อนจบภาคเรียน ตามปกติแล้วก็เลยไม่มีใครอยากจะอยู่สองชมรมเพื่อทำงานวิจัยสองชิ้นพร้อมกัน แต่ถ้าอยากลองท้าทายตัวเองดูก็ได้นะคะ คุณแมรี อัสโตรโลรอโลตซา ฮอปส์คิน’ ทางฝั่งอาจารย์เอสมาก็ตอบกลับด้วยคำตอบที่จริงจัง ถึงตอนท้ายจะแอบเน้นชื่อเต็มของนักเรียนคนนั้นก็เถอะ
แมรี อัสโตรอะไรสักอย่าง ฮอปส์คิน ชื่อยากชะมัด อาจารย์เอสมายังอุตส่าห์จำได้อีกนะ
‘—แล้วก็เรื่องที่สอง…..วันนี้จะมีนักเรียนใหม่ย้ายเข้ามาค่ะ’ อาจารย์ส่งสายตาเรียกให้ผมเข้าไปในห้อง
เอาล่ะ เวลาแห่งความจริงมาถึงแล้ว ผมจะไม่ประหม่าอะไรทั้งนั้น
ใช่ ไม่ประหม่า—
“นาย!?!” ทันทีที่เดินเข้าไปในห้องก็มีคนตบโต๊ะเสียงดังแล้วตะโกนขึ้นมาพร้อมกับชี้หน้าผม หัวใจแทบวาย ตกใจแทบแย่ ใครที่ไหนอีกล่ะเนี่ย
คนที่ชี้หน้าผมเป็นผู้หญิงผมบลอนด์ตาฟ้า ผูกโบใหญ่สีดำอย่างกับหลุดออกมาจากหนังสือการ์ตูน ผมไม่เคยรู้จักคนคนนี้มาก่อน อย่างน้อยถ้ารู้จักก็ควรจะจำได้ทันที
อาจารย์เอสมาส่งสัญญาณมือบอกให้ผู้หญิงคนนั้นสงบลงหน่อย จากนั้นจึงให้ผมไปยืนหน้าชั้นเรียน
ก่อนที่จะพูดแนะนำตัวออกไป ผมใช้เวลาสักนิดสังเกตคนที่จะกลายเป็นเพื่อนของผมในอนาคต
ในบรรดาคนทั้งหมด เหมือนจะมีคนหน้าคุ้นอยู่หนึ่งคน เจมส์นั่นเอง เจมส์คนที่เป็นรูมเมตผม ทันทีที่หันไปสบตาเขาก็โบกมือให้ ช่วยคลายความประหม่าของผมลงได้นิดหน่อย
นอกจากเจมส์แล้วก็มีอีกคนที่รู้สึกคุ้น ๆ เหมือนกับเคยเจอที่ไหนมาก่อน
ผู้หญิงที่ใส่แว่นหนาเตอะที่ดูง่วง ๆ ตรงนั้นให้บรรยากาศคุ้น ๆ แฮะ แต่พยายามนึกเท่าไหร่ก็นึกไม่ออก
และก็ผู้ชายที่นั่งใกล้ ๆ กันให้ความรู้สึกคล้ายกับเจมส์อยู่พอสมควร เป็นญาติกันหรือเปล่านะ
ช่างเถอะ ใช้เวลาสังเกตรอบห้องนานพอแล้ว ได้เวลาแนะนำตัวแล้วล่ะ
“ส-สวัสดีครับ ลัวร์ครับ ลัวร์ ซันดรา…..” ฟังน้ำเสียงดูก็รู้ว่าประหม่า
ทั้งห้องเงียบกริบ เหมือนกำลังรอให้ผมพูดอะไรต่อ
“…..ยินดีที่ได้รู้จัก” ผมพูดคำจบประโยค ทุกคนจะได้ไม่คาดหวังคำพูดต่อไป
อาจารย์เอสมาแอบหัวเราะแห้ง ๆ ในลำคอด้วยความกระอักกระอ่วน ไม่ควรจะมีใครได้ยิน แต่ความที่ห้องเงียบขนาดนี้ พนันได้เลยว่าทุกคนในห้องได้ยิน
“ก็…..สำหรับโฮมรูมเช้านี้ก็มีเพียงเท่านี้ ขอให้ทุกคนต้อนรับเพื่อนใหม่อย่างอบอุ่นนะคะ ส่วนเรื่องที่นั่ง เอ่อ…..ข้าง ๆ คุณแมรีมีที่ว่างอยู่ ไปนั่งตรงนั้นก็แล้วกันนะคะ ถ้าสงสัยอะไรให้ถามคุณแมรีได้เลยค่ะ” อาจารย์เอสมาพูดจบก็ชี้ไปยังที่นั่งหลังห้องที่ว่างอยู่ คนที่ชื่อแมรีน่าจะเป็นคนเดียวกันกับที่ถามคำถามก่อนหน้านี้ ที่นั่งของผมอยู่เกือบมุมห้อง ส่วนคนที่ชื่อแมรีนั่งอยู่มุมห้อง ว่ากันว่าเด็กที่นั่งมุมห้องจะไม่ตั้งใจเรียน จะเป็นแบบนั้นหรือเปล่านะ
ผมเดินไปยังที่นั่ง คนในห้องเหมือนจะไม่ได้สนใจอะไรผมมากนัก ดีแล้วล่ะ ยกเว้นแต่เพียงคนที่ชื่อแมรี คนคนนั้นดูจะตื่นเต้นเป็นพิเศษ เอาแต่โบกมือให้ผมเหมือนกับโบกมือเป็นสัญญาณ อยู่ใกล้กันแค่นี้เอง ไม่เห็นจะต้องโบกมือสูงขนาดนั้นเลย
เอาเถอะ ดูเป็นคนมีมนุษยสัมพันธ์ดี น่าจะเป็นเพื่อนที่ดีได้ล่ะมั้ง
ผมเดินไปนั่งที่โต๊ะ ทันทีที่ก้นแตะกับเก้าอี้ คนที่ชื่อแมรีเปิดปากพูด
“สวัสดีเพื่อนใหม่! ฉันแมรี เอ ฮอปส์คิน เรียกฉันว่ามาดามฮอปส์คินก็ได้ ส่วนนาย…..”
“ลัวร์ครับ…..ลัวร์ ซันดรา ให้เรียกว่ามาดามฮอปส์คิน…..สินะครับ?”
“ฮ่า ๆ พูดเล่นหรอกน่า แต่ถ้านายจะเรียกแบบนั้นก็ไม่เกี่ยงหรอกนะ เราเป็นเพื่อนกันแล้ว เรียกฉันแมรีก็พอ” แมรียื่นมือมาให้จับ เป็นการจับมือทักทายฉันมิตร จากการคุยด้วยกันหนึ่งประโยคทำให้รู้สึกคนคนนี้อาจจะขี้แกล้ง ไม่แน่ว่าอาจจะมีอะไรอยู่ในมือที่ให้จับก็ได้
ผมจับมือตามน้ำไป
มือสากเกินกว่าจะเป็นมือของผู้หญิงหรือมือของนักเรียน
สากอย่างกับว่าทำงานจนมือด้าน คิดว่านักเรียนที่เข้าเรียนที่นี่ได้จะมีแต่พวกลูกคุณหนูเสียอีก
“คาบแรกกำลังจะเริ่มแล้ว ถ้าตามเนื้อหาอะไรไม่ทันก็มาถามฉันคนนี้ได้ทุกเรื่องเลยนะ! แมรีคนนี้ยินดีช่วยเสมอ” เธอพูดด้วยความภาคภูมิใจ
ไม่รู้ว่าทำไม แต่ความรู้สึกไม่ไว้ใจก่อนหน้านี้เปลี่ยนไปลิบลับเลยแฮะ
อะไรบางอย่างบอกผมว่าคนคนนี้พึ่งพาได้
คาบเรียนแรกในวันนี้เป็นวิชาปรัชญาและศาสนา แปลกใจอยู่เหมือนกันที่มีวิชานี้เป็นวิชาหลัก เท่าที่ได้ยินมาไม่เห็นว่าจะมีโรงเรียนไหนเปิดสอนวิชานี้โดยเฉพาะ ถึงอย่างนั้นก็เถอะ ตอนที่เรียนที่บ้าน คุณแม่ก็สอนวิชานี้ให้เหมือนกัน เห็นว่าจะได้ใช้ประโยชน์ในสักที่
คนที่เดินเข้ามาในห้องเป็นชายวัยกลางคนรูปร่างท้วม แต่งตัวดูดีมีภูมิฐาน ประเมินจากบุคลิกแล้วน่าจะเป็นคนใจดีพอสมควร
“คนคนนี้คืออาจารย์ชาร์เลอมาญจน์ล่ะ ชาร์เลอมาญจน์ เมาเร สอนวิชาปรัชญาเป็นหลัก บางครั้งก็ไปทำงานอยู่ที่หอสมุด เห็นว่าเคยเป็นผู้ดูแลหอสมุดตอนเรียนที่นี่ด้วย อาจารย์เป็นคนใจดี แต่ถ้าในคาบเรียนจะดุหน่อย ๆ เพราะงั้นอย่าเผลอหลับในคาบล่ะ!”แมรีพูดอธิบายเกี่ยวกับคุณสมบัติของอาจารย์คนนี้คร่าว ๆ ซึ่งก็ไม่ต่างจากที่ผมคิดนัก อาจารย์ชาร์เลอมาญจน์สินะ ชื่อยาวอีกแล้ว กว่าจะจำชื่ออาจารย์ทุกคนได้คงใช้เวลาพอสมควร
ถึงจะเป็นวิชาปรัชญาแต่คาบเรียนก็ไม่ได้น่าเบื่ออย่างที่คิด อาจารย์ชาร์เลอมาญจน์คนนี้สอนด้วยกระดานดำในโรงเรียนที่ไม่มีกระดานดำ เขาก็เลยแบกกระดานดำมาเอง แปลกดีเหมือนกัน ถึงอย่างนั้นก็เถอะ ทั้งการเรียบเรียงเนื้อหา การอธิบาย น้ำเสียง หรือแม้แต่ท่าทาง อาจารย์คนนี้ทำได้ดีเสียจนไม่เหมือนว่ากำลังเรียนอยู่ แต่เป็นกำลังย้อนเวลาไปอยู่ในเหตุการณ์นั้นจริง ๆ
แมรีบอกว่าที่นี่ไม่มีสอนวิชาประวัติศาสตร์เพราะจะเอาประวัติศาสตร์ของแต่ละอย่างไปแฝงไว้กับวิชานั้น ๆ แทน แบบนั้นจะทำให้เรียนได้เข้าใจมากขึ้น เป็นการจัดหลักสูตรที่น่าสนใจดี
คาบเรียนวันนี้เป็นการเกริ่นเนื้อหาหลักที่กำลังจะลงลึก เป็นเรื่องของปรัชญาอัตถิภาวนิยม หลัก ๆ ก็จะเป็นการอธิบายพวกความหมายกับการเกิดขึ้นของแนวคิด แค่นั้นก็หมดคาบแล้วล่ะ
เพราะว่าเป็นคาบแรกที่เริ่มเนื้อหาใหม่ก็เลยยังไม่มีการบ้าน ถึงจะมีบอกให้ไปลองอ่านเนื้อหาล่วงหน้ามาบ้างก็เถอะ แต่อันที่จริงผมเคยเรียนเรื่องนี้มาจากที่บ้านแล้ว ก็เลยไม่มีปัญหาอะไร
พอถามแมรีว่าก่อนหน้านี้เรียนอะไรไปแล้วบ้าง เธอก็นึกอยู่พักหนึ่งแล้วหันไปถามคนอื่นเพื่อที่จะเอาคำตอบมาบอกผม ผลสรุปว่าเป็นเรื่องที่ผมเคยเรียนมาแล้วทั้งนั้น เพราะงั้นวิชานี้ไม่มีปัญหาอะไร คะแนนทั้งหมดจะเก็บจากการสอบกลางภาคกับปลายภาคเท่านั้นด้วย ก็เลยไม่ต้องทำงานย้อนหลัง
คาบเรียนถัดมาเป็นวิชาภาษาและวรรณกรรม คราวนี้เป็นคนหนุ่มที่ดูเนี้ยบ ผมสีทองเหมือนกับเจมส์ที่เป็นรูมเมตของผม ตาค่อนข้างคม แถมยังใส่แว่นทรงเหลี่ยมอีก ดูท่าจะเป็นคนเข้มงวดพอสมควร
“นี่คืออาจารย์ยาซิคอท ยาซิคอท ดยฺาราท ถ้าออกเสียงยากจะออกเสียงว่าจาราทก็ได้นะ เป็นอาจารย์ที่มาจากต่างชาติแล้วก็เป็นพ่อของคนตรงนั้น” แมรีชี้ไปที่เจมส์ซึ่งนั่งอยู่ไม่ไกลจากผมเท่าไหร่ “สองคนพ่อลูกเป็นที่นิยมในหมู่นักเรียนทั้งชายหญิงเลยล่ะ ถึงคนพ่อจะดุไปหน่อย แต่คนส่วนใหญ่อยากโดนเขาดุกันทั้งนั้น ฉันก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไม”
กะแล้วเชียว ทั้งสองคนให้บรรยากาศใกล้เคียงกันขนาดนั้น จะเป็นพ่อลูกกันก็ไม่แปลก
อาจารย์คนนี้แตกต่างจากคนที่แล้วพอสมควร ด้วยบรรยากาศที่ดูเข้มงวดกว่า ทำให้แอบรู้สึกกดดันนิด ๆ
โชคดีที่วิชาที่สองเป็นวิชาภาษาและวรรณกรรม เห็นว่าส่วนใหญ่จะเน้นไปที่วรรณกรรมมากกว่าด้วย บรรยากาศก็เลยผ่อนคลายขึ้น อาจารย์มักจะย้ำอยู่เสมอว่าการเรียนวรรณกรรมที่สร้างขึ้นมาเพื่อความบันเทิงไม่ว่าในแง่ใดก็ตามควรจะศึกษาด้วยความบันเทิง ช่วงต้นคาบจะเป็นการเกริ่นเนื้อหาของเรื่องที่จะเรียน ส่วนที่เหลือเป็นการเล่นละครหุ่นเชิด แมรีบอกว่าอาจารย์ลงทุนแปลงวรรณกรรมเป็นบทละคร พร้อมทั้งสร้างหุ่นเชิดทุกตัวด้วยมือ แถมยังพากย์เสียงด้วยตัวเองอีก ลงทุนน่าดู
ถึงการทำเรื่องทั้งหมดจะไม่เข้ากับสิ่งที่ผมคิดไว้ทีแรก แต่ก็ประทับใจในคาบเรียนนี้เหมือนกัน
สงสัยจังว่าอาจารย์แต่ละคนได้เงินเดือนกันเท่าไหร่ถึงลงทุนกับคาบเรียนขนาดนี้
คาบที่สามเป็นวิชาการเมืองและความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ…..แค่ชื่อวิชาก็เครียดแล้ว ไม่อยากจะคิดว่าคนสอนจะเครียดขนาดไหน—
“เมอร์รีคริสต์มาสเอฟวรีวัน—!”
“เอ่อ…..อาจารย์คะ? อีกตั้งหกเดือนกว่าจะถึงวันคริสต์มาส—”
“โนโนโน! ถ้าใจอยู่วันคริสต์มาสต์ทุกวันก็คือวันคริสต์มาสใช่ไหมล่ะจ๊ะแม่สาวน้อย~ขนาดครูประจำชั้นเธอยังทำให้ทุกวันเป็นฮาโลวีนได้เลย! โฮะโฮะโฮ่!”
…..ฮะ? อะไรนะ
จู่ ๆ ก็มีคนแต่งชุดกวางเรนเดียร์เดินเข้ามาในห้อง หมายถึง เดินสี่ขาเข้ามาแบบกวางเรนเดียร์น่ะ
“นี่คือ…..เอ่อ…..อาจารย์ครัมบส์ สอนวิชาการเมือง…..เขาก็แปลก ๆ แบบนี้แหละ เดี๋ยวก็ชินเอง” แมรีพูดด้วยสีหน้าเจื่อน ๆ “วันนี้เหมือนจะล้ออาจารย์เอสเมอรัลดาล่ะ เท่าที่ฉันได้ยินมา วันแรกที่อาจารย์เอสเมอรัลดาเข้าสอนเธอดูปฏิทินผิดคิดว่าเป็นวันฮาโลวีนก็เลยแต่งชุดแม่มดมา แต่พอรู้ว่าไม่ใช่ก็เลยแสร้งว่าเธอแต่งชุดแม่มดเป็นปกติอยู่แล้ว หลังจากนั้นก็ตามที่เห็น อาจารย์เอสเมอรัลดาแต่งชุดแม่มดเป็นเครื่องแบบไปแล้วล่ะ…..เรื่องก็เป็นแบบนี้”
เพราะแบบนั้นเองหรอกเหรอ?! ยิ่งแปลกกว่าเดิมอีก
ตลอดคาบ อาจารย์ครัมบส์ในชุดกวางเรนเดียร์สี่ขาสอนเรื่องการเมืองอย่างจริงจัง แต่ผมไม่เข้าใจอะไรเลย ไม่เข้าใจว่าทำไมอาจารย์ถึงสอนด้วยการยืนสี่ขาแล้วใช้ปากคาบไม้ชี้ ถึงเนื้อหาจะจริงจังก็เถอะ แต่การที่อาจารย์สอนด้วยท่าทางแบบนี้ดึงดูดความสนใจจากเนื้อหาไปหมดเลย
สุดท้ายก็ไม่รู้ว่าอาจารย์สอนอะไรไปบ้าง เรื่องแบบนี้ต้องโทษใครกันนะ
ช่างเถอะ
คาบต่อไปเป็นคาบที่สี่ คาบสุดท้ายก่อนจะพักเที่ยง
“ต่อไปเป็นคาบชีวะ วันนี้จะเป็นการแนะนำสวนพฤกษศาสตร์กับแล็บพืช เพราะงั้นเราจะไปเรียนกันนอกอาคารล่ะนะ วางหนังสือเรียนไว้ตรงนี้แล้วตามฉันมาได้เลย!” พูดจบแมรีก็ลากตัวผมออกไปนอกห้อง
สวนพฤกษศาสตร์ที่ว่าเป็นสวนเดียวกันกับที่ผมเห็นเมื่อวาน เมื่อไปถึงก็เห็นหญิงชราหลังค่อมคนหนึ่งยืนรออยู่แล้ว ดูจากสายตา คิดว่าเป็นอาจารย์อีกคนที่น่าจะเข้มงวด ไม้เท้าในมืออาจจะไม่ได้มีไว้ช่วยทรงตัวอย่างเดียวก็ได้
“นี่คือมิสมาร์กาเร็ต เธอบอกให้เรียกแบบนี้น่ะ เห็นอย่างนี้ก็เป็นถึงศาสตราจารย์เชียวนะ! เขาเรียกแก่แต่เก๋า—” พูดไม่ทันจบก็โดนไม้เท้าเคาะหัวเข้าให้ “นักเรียนใหม่เรอะ อย่าไปติดนิสัยส่วนไม่ดีมาจากคุณฮอปส์คินมากล่ะ เอาแค่ส่วนดี ๆ มาก็พอ” มิสมาร์กาเร็ตมองมาที่ผมแล้วเดินสำรวจนักเรียนคนอื่นต่อ
“แฮะ ๆ ๆ มิสมาร์กาเร็ตก็แบบนี้แหละ เห็นดุ ๆ แบบนี้ที่จริงใจดีนะ ฉันเข้าเรียนที่นี่ได้ก็เพราะมิสมาร์กาเร็ตช่วยไว้ล่ะ” แมรีพูดพลางเอามือลูบหัว “เธอเป็นคนเสนอชื่อฉันเป็นนักเรียนทุนน่ะ ทำให้ฉันเข้าเรียนที่นี่ได้โดยไม่ต้องเครียดเรื่องเงิน”
แมรีเป็นถึงนักเรียนทุนเชียวเหรอ เหนือความคาดหมายเลยแฮะ
พูดถึงคาบเรียนชีววิทยา วันนี้ก็ไม่มีอะไรมาก ส่วนใหญ่จะเป็นการแนะนำกฎการใช้สวนพฤกศาสตร์สำหรับศึกษา ส่วนแล็บพืชจะเข้าไปได้ก็ต่อเมื่อได้รับการอนุญาตจากมิสมาร์กาเร็ตเท่านั้น ลักษณะของแล็บจะเป็นโดมกระจก ให้ความรู้สึกคล้ายกับอยู่ในเรือนกระจกมากกว่าในห้องแล็บ
ข้างในจะมีพวกอุปกรณ์สำหรับการปลูกพืช การดูแลพืช ไปถึงเครื่องมือเฉพาะสำหรับศึกษาพืช ค่อนข้างครบครันเลยทีเดียว
แมรีดูจะมีความสุขกับที่นี่ เธอน่าจะชอบวิชานี้เป็นพิเศษล่ะมั้ง ส่วนมิสมาร์กาเร็ตดูไปดูมาก็เท่ดี อาจจะเข้มงวดก็จริง แต่ให้ความรู้สึกเหมือนคนแก่เท่ ๆ มากกว่า
หลังจากเยี่ยมชมห้องแล็บไปได้เกือบชั่วโมงก็ได้เวลาพักเที่ยง คราวนี้แมรีลากตัวผมไปที่ห้องอาหารที่อยู่ชั้นสองของอาคารเรียน ทุก ๆ อาคารจะมีห้องอาหารอย่างน้อยหนึ่งห้องและจะมีโรงอาหารใหญ่อยู่ที่อาคารกลาง ห้องอาหารของแต่ละอาคารเรียนจะมีอาหารไม่หลากหลายเท่ากับโรงอาหารใหญ่ คนก็เลยน้อยกว่า เหมาะกับนักเรียนที่ไม่เลือกกินและต้องการความเป็นส่วนตัว
คนส่วนใหญ่จะไปที่โรงอาหารใหญ่ เพราะงั้นที่นี่ก็เลยเงียบสงบพอสมควร
“จะว่าไปแล้ว เย็นนี้นายว่างไหม” ขณะที่กำลังกินมื้อเที่ยงกันอยู่ แมรีก็ถามขึ้นมา
“ว-ว่างมั้งครับ คิดว่านะ”
“เป็นเพื่อนกันมาครึ่งวันแล้วทำไมยังประหม่าอยู่ล่ะ เอาเถอะ ถ้าว่างสนใจมาเที่ยวบ้านฉันไหม”
…..คำถามอะไรล่ะนั่น
“ว่ายังไงนะครับ?”
“อ๊ะ! ไม่ได้หมายความแบบนั้นนะ พอดีว่าที่บ้านฉันเปิดร้านขายขนมปังอยู่ที่ย่านการค้าน่ะ ก็เลยอยากหาลูกค้าเพิ่ม ไม่ได้หมายความอะไรแบบนั้นนะ” แมรีทำท่าทีลนลานเหมือนเพิ่งจะรู้ตัวว่าพูดอะไรออกไป
เพราะบ้านเปิดร้านขายขนมปัง มื้อเที่ยงก็เลยมีแต่ขนมปังสินะ เข้าใจได้
“ได้สิครับ” ผมตอบตกลง ยังไงก็คาดหวังว่าจะได้ออกไปเปิดโลกตั้งแต่มาที่นี่อยู่แล้ว ไปเที่ยวกับเพื่อนคนแรกก็ไม่น่าเสียหายอะไร
เรียกว่าเพื่อนคนแรกได้หรือเปล่านะ? เจมส์นี่นับเป็นเพื่อนหรือเปล่า? อันที่จริงผมก็เคยมีเพื่อนสมัยเด็กคนนึงด้วย
ช่างเถอะ จะเพื่อนคนที่เท่าไหร่ก็คือเพื่อนนั่นแหละ
หมดจากพักเที่ยงก็เหลืออีกสองคาบเรียนสำหรับวันนี้ เป็นคาบคู่วิชาฟิสิกส์ อันที่จริงจะมีอีกสองคาบที่ให้เข้าชมรมด้วย แต่ตอนนี้พวกปีหนึ่งยังไม่มีชมรมก็เลยถือเป็นคาบว่าง
ผู้สอนวิชาฟิสิกส์จะเป็นใครเป็นไปไม่ได้นอกจากอาจารย์เอสมาคนนั้น
“อาจารย์คนนี้นายน่าจะรู้จักอยู่แล้ว อาจารย์เอสเมอรัลดาที่รักของพวกเรายังไงล่ะ! ก่อนหน้านี้เห็นว่าติดธุระช่วงบ่ายตลอดก็เลยไม่ค่อยได้เข้าสอน คนสอนแทนก็จะเป็นคุณไซโนะที่เป็นหัวหน้าบรรณารักษ์ แต่หลังจากนี้น่าจะไม่ติดอะไรแล้วล่ะ คาบนี้เป็นคาบแรกของภาคเรียนที่อาจารย์ได้เข้าสอนช่วงบ่ายเลยล่ะนะ!”
คาบเรียนของอาจารย์เอสมาเป็นไปด้วยความปกติสุข ที่ไม่ปกติคงจะมีแค่ชุดแม่มดที่อาจารย์ใส่กับท่าทางที่ดูจะตื่นเต้นเป็นพิเศษ โดยรวมไม่ค่อยมีอะไรให้พูดถึง เป็นคาบเรียนทั่วไปที่อาจารย์สอนเข้าใจดี
อันที่จริงคาบคู่ควรจะใช้ทำแล็บมากกว่า แต่ตอนนี้ยังไม่ถึงเวลา
คาบสุดท้ายของวันจบไปอย่างราบรื่น เป็นวันแรกของการเข้าเรียนที่ดีกว่าที่คิด
“นี่ ลัวร์ ยังไม่ลืมสัญญาของเราใช่ไหม?” ผมเก็บกระเป๋าเตรียมกับหอพัก แต่จู่ ๆ แมรีก็ห้ามไว้
สัญญา? เรื่องที่แมรีชวนไปเที่ยวบ้านสินะ เกือบลืมไปเลย
“อะ อื้ม” ผมตอบกลับไป แมรีทำหน้าโล่งใจก่อนที่จะหันไปเก็บกระเป๋าของตัวเอง
ระหว่างนี้รู้สึกเหมือนมีสายตาอาฆาตมาดร้ายจากใครสักคน พอลองกวาดตาดูก็ไปเผลอสบตากับคนที่ลุกขึ้นชี้หน้าผมเมื่อเช้า ผมไปทำอะไรให้แค้นใจรึเปล่านะ
ไม่สิ ผมแทบจะตัวติดกับบ้านอยู่แล้ว จะไปสร้างความแค้นให้ใครได้
“เอาล่ะ เก็บกระเป๋าเสร็จแล้ว เราไปกันเถอะ!” และแล้วก็เป็นอีกครั้งที่แมรีลากตัวผมออกไปจากห้องเรียน…..เอาเถอะ ถึงหนึ่งวันจะสั้นไปหน่อย แต่เธอก็ดูเป็นคนดี อย่างน้อยก็ทำให้ชีวิตของผมมีสีสันขึ้นบ้าง
…..แต่แบบนี้ค่อนข้างจะมีสีสันมากไปหน่อยนะ?!
“เห้ยตาแก่! ไหนอะค่าคุ้มครอง ก็บอกแล้วไงว่าต้องจ่ายทุกเดือน!”
“ค่าคุ้มครองอะไร! เอ็งไปใครมาจากไหนเนี่ย ที่นี่ร้านขายขนมปัง ถ้าไม่อยากให้เอาขนมปังยัดปากก็ไสหัวออกไป เกะกะคนอื่นเค้า”
‘ลุง นั่นขนมปังผม เอาคืนมา—’
“ปากดีงี้ก็สวยดิวะ! ลุงอยากโดนลูกตะกั่วยัดปากไหมล่ะ ถ้าไม่อยากก็เอาเงินมา!”
เหตุการณ์ที่กำลังเกิดขึ้น ณ ตอนนี้เป็นการต่อสู้กันอย่างดุเดือดเผ็ดมันระหว่างเจ้าของร้านขนมปังกับนักเลงข้างถนน…..ก็บ้าแล้ว?! โลกภายนอกกลายเป็นบ้านป่าแดนเถื่อนแบบนี้กันตั้งแต่ตอนไหนล่ะเนี่ย
เล่าย้อนกลับไปสักหน่อย หลังจากแมรีลากตัวผมออกมาจากโรงเรียนได้สำเร็จ เธอก็เดินนำไปยังย่านการค้าที่อยู่ใกล้ ๆ นี้
เพราะว่าอยู่ใกล้โรงเรียนก็เลยมีนักเรียนค่อนข้างเยอะโดยเฉพาะพวกปีหนึ่งที่ไม่มีคาบเรียน ย่านก็เลยคึกคัก บ้านของแมรีก็เปิดเป็นร้านขนมปังอยู่ที่นี่แหละ
แต่แล้วพอเดินมาถึงก็เจอกับคนสองคนกำลังทะเลาะกันอยู่ หรือว่าสามนะ ช่างเถอะ แต่คนพวกนี้ทะเลาะกันหน้าร้านขนมปังที่มีป้ายติดตัวใหญ่ ๆ ว่า “ฮอปส์คินเบเกอรี” ดูชื่อก็รู้ว่าร้านใคร
แมรีที่มาด้วยกำลังกุมขมับอยู่แหนะ อย่างกับว่าเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นทุกวันอย่างไรอย่างนั้น
ประเมินจากสายตา ผมไม่คิดว่าจะเป็นอะไรที่เกิดขึ้นทุกวันนะ การที่คนทะเลาะกันโดยที่คนนึงใช้ปืนเป็นอาวุธ แต่อีกคนดันใช้ขนมปังฝรั่งเศสเนี่ย เป็นขนมปังที่ไปเอามาจากลูกค้าเสียด้วย
มองมุมไหนก็ไม่น่าจะมีอะไรแบบนี้เกิดขึ้นทุกวัน
‘ลุง ก็บอกว่านั่นขนมปังผม—’
“บอกว่าไม่จ่ายก็ไม่จ่ายไง”
“งั้นก็เอาลูกตะกั่วไปกิน!”
คนที่ดูเหมือนนักเลงชักปืนออกมา นิ้วกำลังจะลั่นไกปืน เหตุการณ์มันชักจะบานปลายไปใหญ่แล้วสิ
ผมหันไปดูแมรี แต่เธอไม่อยู่ที่เดิมแล้ว
แมรีพุ่งตัวออกไปขวางลำกล้องปืน
และแล้ว…..เสียงปืนก็ดังขึ้น
“ผู้ดูแลหอสมุดมีกฎที่ต้องปฏิบัติตามอยู่สิบข้อด้วยกัน”