ลาก่อน คุณสามี - ตอนที่ 51 กำไล
“เด็กโง่ นี่เป็นของที่ย่ามอบให้แก่หนู ย่าอายุเท่านี้แล้ว ไม่รู้จะตายเมื่อไร เธออายุยังน้อย ใส่กำไลนี่แล้วขึ้นมาก”
ท่านผู้หญิงยื่นมือออกไปด้วยรอยยิ้ม แต่ไม่คิดจะให้เธอถอดออก ขอเพียงยายหนูและ
จิ่งเหยียนอยู่บ้านนี้ไปตลอด และยอมคืนดีกับเฉินเป่ยชวนได้ อย่าว่าแต่กำไลหนึ่งวงเลย แม้จะต้องมอบบ้านตระกูลเฉินให้ยายหนู เธอก็ยินดี
“คุณย่าคะ แต่กำไลวงนี้ราคาสูงเกินไปนะคะ หนูไม่อาจรับของๆ คุณย่าได้นะค่ะ” เธอรู้ฐานะตัวเองดี
“ทำไมถึงไม่อาจรับได้ล่ะ ย่าบอกให้หนูรับ หนูก็รับไว้ ไม่งั้นย่าจะโกรธแล้วนะ”
ท่านผู้หญิงแสร้งทำเป็นโกรธ เฉียวชูเฉี่ยนจึงรับกำไลมาไว้เป็นการชั่วคราว รอให้
เฉินเป่ยชวนกลับมาค่อยเอากำไลส่งให้เขา รอให้เธอพาจิ่งเหยียนจากบ้านนี้ไปก่อนค่อยบอกให้เขาส่งคืนคุณย่า
เว่ยชูหรงที่อยู่ด้านข้างมองด้วยความอิจฉาตาร้อน กำไลของท่านผู้หญิงนี้ไม่ใช่กำไลทั่วไป เล่าลือต่อๆ กันมาว่าเป็นกำไลที่พระนางซูสีไทเฮาเคยสวมใส่มาก่อน เรื่องระยะเวลาคงไม่ต้องพูดถึง เขาว่าถ้านำกำไลนี่ไปขายจะมีมูลค่ามากกว่าห้าสิบล้านหยวน เธออยากได้มายี่สิบกว่าปีแล้ว ได้แต่รอให้ยายแก่หนังเหนียวนี่เสียชีวิตไปก่อน เธอก็จะได้ครอบครองกำไลวงนี้ไปโดยปริยาย แต่คิดไม่ถึงว่าท้ายที่สุดท่านจะมอบให้เฉียวชูเฉี่ยน
คุณแม่คะ เด็กวัยรุ่นเขาชอบใส่เพชรกันทั้งนั้น ใครเขาใส่หยกเจไดต์กันล่ะคะ”
เธอต่างหากที่เป็นสะใภ้ตระกูลเฉิน ทำไมท่านผู้หญิงถึงมองข้ามเธอแล้วนำกำไลไปมอบให้เฉียวชูเฉี่ยนเสียได้
“ใครบอกว่าวัยรุ่นไม่ชอบหยกเจไดต์กันล่ะ ยายหนูบอกย่ามาตามตรง กำไลนี่สวยไหม หนูชอบหรือไม่ชอบกันล่ะ?”
ต้องสวยอยู่แล้วสิ ของแพงขนาดนี้จะไม่ดีได้อย่างไร “คุณย่า มันสวยมากค่ะ หนูก็ชอบเหมือนกันเลยนะคะ”
ตั้งแต่คุณย่ามอบกำไลวงนี้ให้กับเธอ เว่ยชูหรงก็เอาแต่มองของสิ่งนี้โดยไม่ละสายตา เห็นได้ชัดว่าเล็งกำไลวงนี้เอาไว้อยู่ เธอไม่คิดจะให้เว่ยชูหรงได้สมดังใจเสียอย่าง
“ย่าก็รู้ว่าหลานสะใภ้ของย่าเป็นคนดูของเป็น ไม่งั้นจะแต่งเข้าบ้านตระกูลเฉินมาได้อย่างไรกัน”
ท่านผู้หญิงพูดจาสองแง่สามง่าม จากนั้นก็เนียนเอ่ยชมหลานตัวเองไปด้วย
เมื่อทางห้องอาหารได้จัดเตรียมอาหารเสร็จเรียบร้อยแล้ว ท่านผู้หญิงก็ดึงเฉียวชูเฉี่ยนนั่งลง อยู่ดีๆ เว่ยชูหรงก็กดไปที่ท้องของตัวเอง “โอ๊ย ปวดท้องเหลือเกิน คุณแม่คะ หนูไม่ทานแล้วนะคะ จะขอขึ้นไปนอนพักเสียหน่อยนะค่ะ”
“รีบไปเถิด”
รอจนเว่ยชูหรงกลับขึ้นห้องนอนของตัวเองที่ชั้นสองแล้ว ท่านผู้หญิงก็ส่งเสียง ฮึ ออกมา “ผู้หญิงคนนี้นึกว่าฉันแก่จนหูหนวกตาบอดหรืออย่างไร แผนการยังตื้นไปสักหน่อยนะ”
เฉียวชูเฉี่ยนขำออกมา เว่ยชูหรงเล็งสมบัติของตระกูลเฉินมาตลอดตั้งแต่แปดปีก่อนแล้ว จนถึงทุกวันนี้ก็คงไม่ต้องพูดอะไรกันมากแล้ว
“ช่างเขาเถิดค่ะ พวกเรามาทานข้าวกันดีกว่าค่ะ”
ขณะที่คนสามคนสามวัยกำลังนั่งร่วมโต๊ะรับประทานอาหารกันอยู่ในห้องอาหารชั้นล่าง เว่ยชูหรงก็เดินกลับเข้าห้องปิดประตู จากนั้นก็กดโทรศัพท์
“ฮัลโหล คุณแม่” เสียงรับสายเป็นเสียงผู้ชายที่ดูสุภาพเรียบร้อย เว่ยชูหรงยิ้มออกมาด้วยความดีใจ
“จิ้นถง เธอไม่โทรหาแม่มาสองสามวันแล้วนะ แม่คิดถึงลูกมาก ลูกจะกลับมาจากแคนาดาเมื่อไรล่ะ?”
ที่เว่ยชูหรงอยากให้ลูกชายกลับมา เพราะเธอรู้สึกร้อนใจ เหตุผลหนึ่งเพราะเธอคิดถึงลูกชายตัวเองจริงๆ แต่อีกเหตุผลหนึ่งก็เป็นเพราะตอนนี้อำนาจส่วนใหญ่ในบ้านตระกูลเฉินล้วนตกอยู่ในกำมือของเฉินเป่ยชวนแล้ว หากจิ้นถงยังไม่กลับมาอีก ต่อไปคงไม่มีโอกาสแล้ว
“คุณแม่ครับ ผมอยู่แคนาดาก็สุขสบายดี คงอีกสักพักถึงจะกลับล่ะครับ”
“ไม่ได้ คราวนี้ลูกต้องกลับมา”
เว่ยชูหรงเสียงสูงขึ้นมาหลายส่วน พอรู้สึกตัวเธอก็พยายามลดเสียงลงมา “จิ้นถง หากเธอยังไม่กลับมาอีก ก็คงสายไปเสียแล้ว”
ตอนนี้สำนักงานใหญ่เฟิงฉิงล้วนแต่เป็นคนของเฉินเป่ยชวน หากจิ้นถงกลับประเทศในอีกสองปีข้างหน้า คงวางแผนทำอะไรไม่ทันแล้ว
เมื่อคิดว่าลูกชายตัวเองอาจจะไม่ได้รับช่วงกิจการต่อ ก็รู้สึกร้อนใจเป็นอย่างมาก แต่คนในสายกลับไม่รู้สึกร้อนใจแม้เพียงนิด “คุณแม่จะรีบไปทำไมล่ะครับ จะอย่างไรผมก็เป็นลูกชายบ้านตระกูลเฉินอยู่นะครับ”
“เด็กโง่ ลูกไม่รู้หรือว่าอยู่ๆ เฉินเป่ยชวนก็แจ้งข่าวเรื่องแต่งงานกับเฉียวชูเฉี่ยนเมื่อเจ็ดปีก่อนขึ้นมา แล้วยังให้เฉียวชูเฉี่ยนพาเจ้าเด็กเถื่อนนั่นกลับเข้าบ้านตระกูลเฉิน ส่วนคุณย่าลูกนะหรือก็ถูกห้อมล้อมเอาใจมานานแล้ว เมื่อวานยังบอกจะยกสมบัติทั้งหมดของตระกูลเฉินให้เจ้าเด็กเลือดเถื่อนนั่นอีก ยังๆ ไม่พอ วันนี้ตอนเฉียวชูเฉี่ยนกลับเข้ามา คุณย่ายกกำไลของพระนางซูสีไทเฮาให้นางนั่น ราคากี่สิบล้านเชียวนะ……”
ตอนเว่ยชูหรงพูดถึงกำไลอยู่นั้นก็ประหนึ่งเลือดกำลังไหล เธอรู้สึกราวกับมีคนมาแย่งของๆ ตัวเองไป แต่ยังไม่ทันได้พูดจนจบก็ถูกปลายสายพูดขัดขึ้นมาก่อน “คุณแม่ ผมกลับไปก็ใช้ได้แล้วใช่ไหมครับ คุณแม่หยุดบ่นเถอะครับ”
“จริงหรือ เธอจะกลับมาจริงๆ ใช่ไหม?” สองปีมานี้เธอโทรเรียกให้เขากลับหลายต่อหลายครั้งแล้ว แต่ทุกครั้งก็เอาแต่บอกรอก่อนๆ มาครั้งนี้ตอบตกลงก็รู้สึกกะทันหันไปสักหน่อย
“แน่นอน ผมควรต้องกลับไปแล้วครับ”
เสียงที่ตอบกลับมายังคงนุ่มนวลอ่อนโยน แต่หากฟังดีๆ จะรู้สึกได้ถึงความแปลกประหลาดบางอย่างที่บอกไม่ถูก
“งั้นก็ดีแล้ว แม่จะอยู่รอลูกที่บ้านนะ ยายแก่หนังเหนียวคิดจะเก็บบ้านตระกูลเฉินให้เฉินเป่ยชวนกับเจ้าเด็กเลือดเถื่อนนั่น ฝันไปเถอะ”
“คุณแม่รอผมอยู่กับบ้านดีๆ นะครับ”
เฉินจิ้นถงวางสายด้วยรอยยิ้ม หญิงสาวชาวต่างชาติที่อยู่ข้างๆ มองเขาด้วยใบหน้าที่งงงวย เธอฟังไม่ออกว่าเขาคุยอะไรกันอยู่ในสายเมื่อสักครู่นี้
“เบ็ตตี้ ผมต้องกลับบ้านแล้ว เราเลิกกันเถอะครับ”
เขาแบมือออก ดวงตาหลังกรอบแว่นสีทองส่งรอยยิ้มแสดงความเสียใจออกมา เขาบอกเลิกเธอเป็นภาษาอังกฤษ
หญิงสาวตกใจอย่างเห็นได้ชัด แต่ยังไม่ทันได้ถามเหตุผลออกไป อดีตแฟนหนุ่มก็หมุนตัวเดินจากไปโดยไม่เหลือเยื่อใยใดๆ สักนิด
ใบหน้าหล่อคมแม้จะน้อยกว่าเฉินเป่ยชวนเล็กน้อย แต่เมื่อมีกรอบแว่นตาสีทองบนจมูกสวยนั่น กลับยิ่งทำให้เขาดูสุภาพมีมารยาทดั่งคุณชายจากตระกูลสูงศักดิ์ เขาส่งรอยยิ้มบางๆ ออกมา “ซั่นเป่ย ในที่สุดผมก็จะได้กลับไปแล้ว”
ตลอดหลายวันมานี้ เฉียวชูเฉี่ยนใช้ชีวิตอย่างไม่ค่อยเป็นสุขนัก โดยเฉพาะดวงตาของเธอ มักจะมีภาพอันไม่เหมาะสมปรากฏอยู่ตรงหน้าบ่อยๆ จะหลบก็หลบไม่ได้
ตอนนี้ห้องทำงานของ GM ได้กลายเป็นสถานที่พลอดรักไปเสียแล้ว นอกจากจะเสียสายตาแล้วยังต้องมาทนรับฟังคำวิพากษ์วิจารณ์อันเซ็งแซ่ของเพื่อนร่วมงานอีก เธอรู้สึกเก็บกดจนจะทนไม่ไหวอยู่แล้ว
“ฮัลโหล เธออยู่ไหนเนี่ย?”
“เตรียมตัวขึ้นศาลหาเงินอยู่น่ะสิ” เสียงของเหยียนสือเซี่ยดังมาจากปลายสาย น้ำเสียงบ่งบอกถึงความขยันขันแข็งในการทำงาน
“จะเสร็จเมื่อไรล่ะ? คืนนี้เราไปคลายเครียดกันหน่อยไหม?” หากเป็นแบบนี้ต่อไป ตัวเธอจะต้องเก็บกดจนป่วยจิตเป็นแน่
“ไม่มีปัญหา คืนนี้เราไปดื่มฉลองชัยชนะของพวกเราที่โซ่วจิน KTV กันเป็นไง?”
“ตามสบายเลย ที่ไหนก็ได้” เฉียวชูเฉี่ยนยิ้มๆ คดีฟ้องร้องยังไม่ทันเริ่มก็รู้แล้วว่าจะต้องชนะ มั่นใจซะขนาดนี้คงมีเพียงเหยียนสือเซี่ยคนเดียวแล้วล่ะ
“งั้นรอเธอเลิกงานแล้วฉันจะไปรับแล้วกัน”
พอวางสายแล้วเธอก็รอเวลาเลิกงาน หลังจากผ่านช่วงเวลาแห่งความทรมาน ในที่สุดก็ถึงเวลาเลิกงานเสียที เธอรีบซอยเท้าออกจากห้องทำงานไป
เฉินเป่ยชวนที่อยู่ในห้องข้างๆ เห็นเธอออกไปด้วยท่าทีเร่งร้อน หลังจากนั้นก็ขึ้นรถเบนซ์คันสีแดงไป เขาขมวดคิ้วขึ้นมา “ลินดา”
ลินดาได้ยินเสียงเรียกของเขาก็รีบเดินเข้ามาหา “ประธานเฉินเรียกฉันมามีธุระอะไรจะเรียกใช้หรือคะ?”
“ไปเช็คให้หน่อย เจ้าของรถเบนซ์คันสีแดงเมื่อสักครู่นี้ชื่อเหยียนสือเซี่ยใช่หรือไม่”