ลาก่อน คุณสามี - ตอนที่ 194 แอบตามคุ้มครอง
ตั้งแต่สือเซี่ยบอกกับเธอว่าคนที่ช่วยจิ่งเหยียนไว้คือเฉินเป่ยชวน เธอก็เคยสงสัยว่าเขาอาจจะเป็นคนส่งรถคันนั้นมา แต่เธอใช้เหตุและผลเตือนสติไม่ให้คิดเข้าข้างตัวเองไป
ไม่คิดว่าวันนี้จะได้มาเจอกับคำตอบโดยไม่คาดฝัน
ด้วยประสาทสัมผัสที่เฉียบไว เฉินเป่ยชวนรู้สึกได้ว่ามีคนอยู่ด้านหลัง จึงหันหลังกลับไปทันที จากนั้นหางตาเขาก็เกร็งขึ้นมา
คนสองคนเผชิญหน้ากันในสถานการณ์แบบนี้ก็พาให้รู้สึกอึดอัดขึ้นมาในชั่วพริบตา เมื่อคิดถึงคำพูดที่เธอเคยพูดกับเขานั่น ในใจเขาก็เหมือนมีเปลวไฟน้อยๆ ลุกพรึ่บขึ้นมา
เมื่อไหร่นะที่เขาเคยบอกเธอว่าหนังที่หยุดไปแล้วสามารถเริ่มต้นขึ้นมาใหม่ได้ไม่ยาก?
ที่น่าแค้นใจยิ่งกว่าคือผู้หญิงคนนี้ยังต้องการอิสระในการเลือกผู้อื่น
ผู้หญิงของเฉินเป่ยชวน ชั่วชีวิตนี้ก็ต้องเป็นของเขาเท่านั้น คิดจะสวมหมวกเขียวให้เขา ก็ต้องรอให้เขาตายไปเสียก่อน
“คุณส่งคนคุ้มครองจิ่งเหยียนมาโดยตลอดหรือคะ?”
ความเงียบทำให้สถานการณ์ดูน่าอึดอัดมากขึ้นไปอีก เฉียวชูเฉี่ยนจึงเปิดปากพูดขึ้นมาก่อน ถึงอย่างไรไม่ว่าจะครั้งก่อนเขาจะเคยช่วยชีวิตจิ่งเหยียน หรือแอบตามคุ้มครองลูกชายเธอในครั้งนี้ เธอก็ควรจะกล่าวคำขอบคุณออกไป
ไม่อย่างนั้นล่ะครับ?”
เฉินเป่ยชวนหันใบหน้าเย็นชาไปอีกด้าน แม้เขาจะไม่ได้เงยคางสูงมาก แต่ก็มองออกถึงความเย่อหยิ่งของเจ้าของใบหน้าในเวลานี้ได้อยู่ดี
“ขอบคุณค่ะ”
เฉียวชูเฉี่ยนพูดออกมาอย่างเกรงอกเกรงใจ แต่กลับทำให้คนบางคนไม่พอใจ
“แค่สองคำนี้เองเหรอ?”
“ไม่อย่างนั้นล่ะคะ?”
พอตอบคำถามกลับไปอย่างสมบูรณ์ เฉียวชูเฉี่ยนก็ก้มศีรษะเพื่อหลบสายตาที่จ้องมองมาของเขา
“ผมเคยบอกเอาไว้ ถ้าอยากขอบคุณผมก็ให้แสดงความจริงใจออกมาให้เห็น ผมช่วยชีวิตลูกชายคุณ แล้วยังส่งคนไปคุ้มครองเขาอีก คุณว่าคุณควรแสดงความจริงใจสักเท่าไหร่ดี?”
ขายาวๆ ทั้งสองก้าวขึ้นมาข้างหน้า และจ้องมองเธอด้วยสายตาที่ดุดัน ครั้งก่อนเธอยังจ้องตาเขาแล้วพูดอย่างองอาจอยู่เลยไม่ใช่หรือ? ทำไมมาคราวนี้ถึงก้มศีรษะหลบสายตาเขาแล้ว
“คุณไม่ช่วย คุณไม่ปกป้องก็ได้นี่คะ”
ทีแรกใจเธอก็รู้สึกขอบคุณเป็นอย่างมาก แต่พอได้ยินจากปากเขาสามคำว่าลูกชายเธอ ก็รู้สึกเหมือนมีคนเอากะละมังใส่น้ำเย็นมาสาดหัวเธออย่างนั้น
ก็ถูก ในสายตาเขา จิ่งเหยียนเป็นลูกชายของคนอื่น ไม่เกี่ยวกับเขา
“……”
น่าตายนัก ไม่คิดเลยว่าเธอจะพูดแบบนี้
เฉินเป่ยชวนโกรธจนแทบอยากจะกัดปากเธออยู่แล้ว นั่นลูกชายเขา ถ้าเขาไม่ช่วยใครจะมาช่วย เขาไม่คุ้มครอง แล้วใครจะมาคุ้มครอง
ชัดเจนขึ้น
เฉินเป่ยชวนสูดลมหายใจเข้าลึกๆ ระงับความโกรธที่แทบจะควบคุมไม่อยู่เอาไว้ จากนั้นก็หาที่ระบายออกมาอย่างเผด็จการ
“ผมไม่ช่วย นายลู่ฉีนั่นก็ช่วยไม่ได้เช่นกัน”
แม้เรื่องเข้าใจผิดจะคลี่คลายลงแล้ว แต่เขากลับยังใส่ใจกับคำสองคำนั่นมากกว่าที่ตัวเองคิดเอาไว้ ถังอี้บอกว่าตอนที่เจ้าเด็กหน้าเหม็นถูกลักพาตัวไป เขาได้โทรมาขอความช่วยเหลือ แต่ไม่ได้โทรหาเขา กลับโทรหาลู่ฉี
พอคิดว่าตัวเองในใจสองแม่ลูกนี่ยังด้อยกว่าลู่ฉี ก็อดรู้สึกพ่ายแพ้อยู่ในใจไม่ได้ ไม่มีอะไรที่ประธานเฉินทำไม่ได้ ขนาดเฉินจิ้นถงคุณยังกล้าวางแผนส่งเขาเข้าสถานกักขังผู้ต้องสงสัยได้เลย ยังจะมีใครเหนือกว่าคุณอีกได้ล่ะค่ะ”
เป็นเพราะลู่ฉีทำให้เขาเข้าใจเธอผิดครั้งแล้วครั้งเล่า เฉียวชูเฉี่ยนจึงอยากระบายความโกรธในใจที่ควบคุมไม่อยู่ออกมา แต่ไหนแต่ไรมาเขาไม่เคยเชื่อใจเธอเลยจริงๆ
ไม่เคยเลย
แก้มเธอถูกบีบจนต้องเงยหน้า เนื้อที่ข้างแก้มเบียดเข้าหากัน เฉินเป่ยชวนพูดด้วยน้ำเสียงที่ทั้งโมโหและเย็นชา
“นี่เธอแคร์เฉินจิ้นถงหรือ?”
เขาถึงทำขนาดนี้เพื่ออะไร ไม่ใช่เพราะผู้หญิงงี่เง่าคนนี้หรือ
เธอก็ดีนักนะ ไม่รู้จักซาบซึ้งในบุญคุณ ยังไปแคร์คนที่วางแผนกับเธออีก
“เฉินเป่ยชวน ไม่ใช่ทุกคนที่จะคิดสกปรกๆ เหมือนคุณขนาดนั้นหรอกค่ะ”
เฉียวชูเฉี่ยนเม้มริมฝีปากแน่นเหมือนจะเก็บกักความโกรธและความน้อยใจเอาไว้ข้างใน ในสายตาเขาเธอก็เป็นผู้หญิงที่ยั่วผู้ชายไม่เว้นแต่ละวันอย่างนั้นหรือ?
แรงบีบที่แก้มมากขึ้นจนเจ็บฟันกรามไปหมดแล้ว เธอนิ่วหน้าขมวดคิ้วด้วยความเจ็บปวด ยกมืออยากจะสลัดเขาออก
“ถ้าผมคิดสกปรก งั้นคนที่คิดสกปรกกว่าผมก็คงมีเยอะเลย คนโง่ๆ อย่างคุณไม่เพียงสายตาไม่ดี สมองยังมีปัญหาอีก”
พอพูดด้วยน้ำเสียงดุๆ จบ เฉินเป่ยชวนก็ปล่อยมือตัวเองออก จากนั้นเขาก็ก้าวยาวๆ เดินไปทางรถที่จอดอยู่ไกลๆ
“……”
เมื่อแก้มถูกปล่อยเป็นอิสระแล้ว เฉียวชูเฉี่ยนก็นวดๆ ขยับๆ แก้มอย่างระมัดระวัง “คุณต่างหากที่สายตาไม่ดี สมองก็ป่วยอีกด้วย!”
พอได้ยินเสียงที่คุ้นหู เฉียวจิ่งเหยียนก็รีบหันไปมองทันที แล้วปากเล็กๆ ก็กระดกสูงขึ้นตามไปด้วย
หม่ามี๊นิสัยไม่ดี คนร้ายหนีไปแล้วถึงค่อยมา หากเขาเป็นอะไรขึ้นมาจริงๆ จะคอยดูว่าหม่ามี๊จะไปร้องไห้ที่ไหน
เฉียวชูเฉี่ยนรีบยิ้มอย่างอ่อนโยนที่สุดรับสายตากล่าวโทษจากเจ้าตัวน้อยทันที หัวใจเธอยังเต้นรัว ไม่ยอมสงบอยู่ สายตาก็เหม่อมองไปยังทิศทางที่เฉินเป่ยชวนเดินจากไป สองสามวันนี้เธอคิดจนหัวสมองจะแตกอยู่แล้ว แต่ก็ยังคิดหาคำตอบบอกตัวเองไม่ได้สักทีว่าจะปฏิบัติต่อชายหนุ่มคนนี้ด้วยอารมณ์แบบไหนดี?
เฉินเป่ยชวนกระโดดขึ้นรถ สีหน้าดูดีขึ้นมาอย่างช้าๆ ทุกครั้งที่เธอพูดมักจะทำให้เขาอยากจะบีบเธอให้ตาย แต่ก็ทำไม่ลงไปซะทุกที
เขาเปิดวิทยุอย่างหดหู่ใจ “เพียงสามขั้นตอนเท่านั้น จะทำให้คุณผู้ชายเช่นคุณสัมผัสได้ถึงกำลังวังชาที่คุณไม่เคยรู้สึกมาก่อน ทำให้คู่ของคุณสัมผัสได้ถึงความสุขขั้นสุดยอด”
โฆษณาด้วยภาษาที่เข้าใจง่ายดังขึ้นมาอย่างไม่ทันตั้งตัว เขาปิดวิทยุด้วยใบหน้าที่มืดมน เท้าเหยียบคันเร่งบึ่งรถมายบัคไปทางร้านโซ่วจินอย่างเร็ว
ถังอี้กำลังดูการรายงานข่าวเกี่ยวกับเฉินจิ้นถงผ่านทางทีวีด้วยสีหน้าที่เกียจคร้าน ทันใดนั้นประตูห้องก็เปิดออก ทำให้เขาตกใจแทบกระโดด
“พอชีวิตนายไม่ลงรอยกันก็มาทำให้ฉันตกใจตายแทนสินะ”
เขาพูดความในใจออกมาแล้วส่งสายตากล่าวโทษออกไป หลังจากเหตุการณ์กระโดดตึกเมื่อครั้งก่อน เขาก็มักรู้สึกว่าหัวใจดวงน้อยๆ ดวงนี้เหมือนจะเต้นผิดจังหวะอยู่บ่อยๆ ดูท่าเขาคงต้องหาเวลาไปตรวจที่โรงพยาบาลดูบ้างแล้ว
“……”
เฉินเป่ยชวนจ้องเขาอย่างเย็นชา เขาถึงนั่งตัวตรงขึ้นมา
“ล้อเล่นน่า ผู้หญิงสิถึงจะไม่ค่อยลงรอยกัน ผู้ชายขอเพียงมีมือก็ลงรอยกันได้ตลอด”
เฉินเป่ยชวนไม่สนใจมุกตลกของเขา แล้วเดินไปหยิบไวน์แดงหายากขวดหนึ่งจากตู้ไวน์ที่อยู่ข้างๆ ขึ้นมาเปิด หาที่นั่งจากนั้นก็เริ่มดื่มทีละแก้วๆ
คราวนี้ถังอี้ไม่เพียงหัวใจเต้นผิดจังหวะ ยังเจ็บปวดเป็นอย่างมาก ไวน์แดงหายากขวดนี้เป็นขวดที่ดีที่สุด แต่กลับต้องมาเสร็จขี้เมาคนนี้ไปเสียแล้ว
“พี่เป่ย ถ้านายอารมณ์ไม่ดีก็บอกฉันมาได้ อย่าเอาแต่ดื่มแก้กลุ้มอยู่แบบนี้สิ มันไม่ดีต่อสุขภาพเลยนะ”
เขาพูดโน้มน้าวพลางยื่นมือไปหยิบขวดไวน์ที่เหลืออยู่ครึ่งหนึ่งกลับมา แต่เฉินเป่ยชวนรู้ทางจึงเปลี่ยนมาถืออีกข้าง ทำให้มือเขาเอื้อมไม่ถึง
“นายลงรอยกับเหยียนสือเซี่ยหรือยัง?”
“หา?”
คำพูดแบบตาลปัตรกลับด้านเช่นนี้ทำให้สมองของถังอี้หมุนด้วยความเร็วสูงอยู่หลายรอบ สีหน้าแปรเปลี่ยนไปมาในชั่วพริบตา ยังต้องพูดอีกหรือ เขาเป็นใคร ขอเพียงเขาลงมือไม่มีทางไม่ลงรอยกันหรอก แต่ปัญหาคือผู้หญิงคนนั้นไม่ยอมใช้ชีวิตร่วมกับเขาเลยนี่สิ
อารมณ์บนสีหน้าเพื่อนอยู่ในสายตาของเฉินเป่ยชวน เขาส่งสายตาที่เย็นชาพร้อมพูดประชดออกไปว่า “ดูท่าการลงรอยของนายคงต้องอาศัยมือเท่านั้น”
“……”