ลาก่อน คุณสามี - ตอนที่ 163 อย่าได้คิดห้ามปรามเขา
เว่ยชูหรงต้องการเกลี้ยกล่อมต่อไปอย่างไม่ยอมแพ้ ครั้นยังไม่ทันได้พูดจบก็ต้องปิดปากไปทันที เธอมองดวงตาที่ถอดแว่นออกของเฉินจิ้นถงด้วยความตกตะลึง สายตานั้นช่างเย็นชาราวกับเข็มน้ำแข็ง ที่สามารถแทงทะลุหัวใจของเธอได้ทุกเมื่ออย่างไรอย่างนั้น
“ผมเคยบอกแม่แล้ว อย่าให้ผมได้ยินคำว่าผู้หญิงใจง่ายออกมาจากปากคุณแม่อีก”
“ลูก……”
ภายใต้ความหวาดกลัว เธอเริ่มพูดตะกุกตะกักขึ้นมาทันที นี่คือลูกชายของเธออยู่หรือเปล่า เหตุใดจึงน่ากลัวเพียงนี้ ถึงขั้นน่ากลัวยิ่งกว่ายามที่เฉินเป่ยชวนระเบิดโมโหออกมาเสียอีก
“ทำเรื่องของคุณแม่ไปก็พอ สิ่งที่ผมต้องการ ผมจะเอามันกลับคืนมาให้แม่จนได้ แต่อย่าให้ผมรู้ว่าแม่แอบทำอุบายอะไรลับหลังผม”
เฉินจิ้นถงเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงอันเย็นชา จากนั้นค่อยนำแว่นตาใส่กลับคืน สายตาที่ราวกับต้องการฆ่าคนเมื่อสักครู่นี้จึงฟื้นกลับมาเป็นปกติที่สุขุมและอ่อนโยนเหมือนเดิม
“แม่เป็นแม่ของผม สิ่งที่ผมอยากทำ แม่ควรสนับสนุนหรือพยายามช่วยเหลือให้ผมทำสำเร็จ เข้าใจไหม ?”
เขายกมือขึ้นมาแล้ววางลงไหล่ของเธอ น้ำเสียงอันอ่อนโยนไม่แตกต่างจากทุกวัน ครั้นกลับทำให้ผู้อื่นอดไม่ได้ที่จะตัวสั่นเทา ศีรษะที่หนักก้มลงอย่างแข็งทื่อ
จากนั้นก็เดินลงมาจากชั้นบนด้วยความพึงพอใจ แววตาที่มองไม่เห็นถึงอารมณ์ความรู้สึกของเฉินจิ้นถงกวาดสายตามองไปทางห้องนอนของท่านผู้หญิงที่อยู่ชั้นหนึ่ง ไม่ว่าจะเป็นผู้ใด อย่าได้คิดห้ามปรามเขา
ภายในห้องนอน ท่านผู้หญิงโมโหจนสุดจะทน สีหน้าซีดเซียวแถมทั้งเนื้อทั้งตัวมองดูไม่มีชีวิตชีวาเลยเช่นกัน
เฉียวชูเฉี่ยนนั่งอยู่ขอบเตียง นัยน์ตาเต็มไปด้วยความเป็นกังวล เดิมทีอยากทำให้คุณย่ามีความสุขขึ้นมาหน่อย ครั้นคิดไม่ถึงว่าครั้งนี้กลับเป็นการเพิ่มความทุกข์ใจให้ผู้สูงอายุอย่างท่านเสียแล้ว หากรู้แต่เนิ่น ๆ เธอคงไม่พาจิ่งเหยียนมาไม่ว่าเธอจะพูดอะไรแล้ว
“ยายหนู อย่าก้มหน้าเลย ไม่เกี่ยวกับหนูหรอก เว่ยชูหรงหวังตั้งนานแล้วว่าอยากให้คนแก่อย่างย่าจบสิ้นสักที ยิ่งเธอเป็นอย่างนั้นย่าก็ยิ่งทำให้เธอสมหวังไม่ได้เด็ดขาด”
แม่ผัวและลูกสะใภ้ก็อยู่ด้วยกันมานานหลายปีแล้ว เธอจะมองไม่ออกถึงความคิดนั้นของเว่ยชูหรงได้อย่างไร ถ้าหากไม่เป็นเพราะยังมีหลานชายอย่างจิ้นถงอยู่ด้วย เธอคงยกคอนโดให้เธอสักห้องแล้วให้เธอย้ายเข้าไปพักตั้งนานแล้ว
“คุณย่าคะ แต่เป็นเพราะหนู ไม่อย่างนั้นคุณย่าคงไม่ถูกโกรธจนเป็นแบบนี้หรอก” เฉียวชูเฉี่ยนเงยหน้าขึ้นมา ขณะที่ตำหนิตนเองสีหน้าเธอไม่ได้ดูดีขึ้นเลย
“เด็กโง่ สิ่งที่เธอไม่พอใจไม่ใช่หนูหรอก แต่เป็นการที่ย่าชอบหนูกับจิ่งเหยียนต่างหาก แน่นอนว่ายังมีเรื่องที่สำคัญยิ่งกว่าอีก”
ท่านผู้หญิงไม่ได้พูดออกมาอย่างตรงไปตรงมาจนเกินไป ครั้นภายในใจกลับกระจ่างแจ้งดี สิ่งที่ลูกสะใภ้คนนี้ต้องการมาตลอดก็คือทรัพย์สมบัติของตระกูลเฉิน ในใจของเธอ ตนก็คือย่าที่ลำเอียงผู้หนึ่งเท่านั้น
“หนูไม่เป็นไรค่ะคุณย่า ตอนนี้คุณย่ารู้สึกดีขึ้นหรือยังคะ ให้ส่งคุณย่าไปโรงพยาบาลหรือเปล่าคะ ?”
เธอพยายามฉีกยิ้มขึ้นมาบาง ๆ ยังคงเป็นห่วงคุณย่าอยู่ในใจ ถึงอย่างไรคุณย่าก็อายุมากแล้ว หัวใจก็ไม่ดีด้วย ไปตรวจที่โรงพยาบาลสักหน่อยจะได้หายห่วง
“ไม่เป็นไรหรอก ย่าตายไม่ได้หรอก ยายหนู ย่าอยากถามอะไรหนูหน่อย หนูบอกย่ามาตามความจริงได้ไหม ?”
ท่านผู้หญิงส่ายหน้าพร้อมกุมมือเธอไว้ บนใบหน้าที่เหี่ยวย่นมีความจริงใจและถึงขั้นมีความอ้อนวอนอยู่ด้วย
“คุณย่าคะ หนูรู้ว่าคุณย่าอยากจะถามอะไร แต่ว่าต้องขอโทษจริง ๆ นะคะ หนูจนปัญญาจริง สิ่งที่คุณย่าต้องการที่จะถามนั้นไม่ต้องพูดขึ้นมาเธอก็รู้อยู่แก่ใจดี บางทีเธออาจจะลืมเฉินเป่ยชวนไม่ได้ ครั้นเธอก็จนปัญญาที่จะอดทนต่อไปแล้วเช่นกัน เนื่องจากความรักนี้ต้องใช้พลังงานและความกล้าเหลือเกิน ศักดิ์ศรีของตนเองถูกย่ำยีจนถึงที่สุดแล้ว เธอไม่มีแม้แต่เรี่ยวแรงสักนิด
คิดไว้แล้วว่าต้องถูกปฏิเสธ ครั้นคิดไม่ถึงว่าตนเองยังไม่เอ่ยขึ้นมาก็ถูกยายหนูปฏิเสธไปโดยตรงเช่นนี้ ขอบตาของท่านผู้หญิงแดงก่ำขึ้นเล็กน้อย ผ่านมาเนิ่นนานจึงถอนหายใจออกมา
“ไม่โทษหนูหรอก แต่เป็นความโชคร้ายที่น่าผิดหวัง ในอนาคตเขาจะต้องเสียใจภายหลังแน่นอน ยายหนู ย่าหวังว่าไม่ว่าอนาคตหนูกับเฉินเป่ยชวนจะเป็นอย่างไร ก็อย่าลืมคุณย่านะ มาเยี่ยมคุณย่าบ่อย ๆ ได้ไหม ?”
ไม่ว่าเป็นใครก็ตามที่ได้ยินคำขอร้องเช่นนี้ก็ล้วนแล้วจะรู้สึกระทับใจขึ้นมา “คุณย่าคะ คุณย่าเป็นย่าของหนูตลอดไปค่ะ”
“ย่าทวดก็เป็นย่าทวดของจิ่งเหยียนตลอดไปเหมือนกัน ผมจะกตัญญูกับย่าทวดครับ”
เฉียวจิ่งเหยียนที่อยู่ข้าง ๆ มีดวงตาที่แดงก่ำ ครั้นไม่ได้ร้องออกมา ผู้ใดที่ดีกับเขาเขาจำได้หมด และผู้ใดที่ไม่ดีกับเขาเขาก็จำได้เช่นกัน วันข้างหน้าเมื่อเขาโตกว่านี้ จะไปคิดบัญชีกับพวกเขาให้สาแก่ใจ
“เด็กดีของย่าทวด ย่าทวดก็จะมีชีวิตไปเรื่อย ๆ ดูหนูเติบโตเป็นผู้ใหญ่จนแต่งงานจนมีเหลนสะใภ้ให้ย่าทวดนะ”
ท่านผู้หญิงอดไม่ได้ที่จะร้องไห้น้ำตาอาบแก้ม ครั้นมุมปากยังคงยิ้มขึ้นมา เป่ยชวนพลาดจากยายหนูและลูกไป คงไม่มีความสุขทั้งชีวิตนี้เป็นแน่
เฉียวชูเฉี่ยนรีบยื่นมือไปปาดน้ำตาที่ไหลรินจากกรอบตาของเธอทันที จากนั้นก็ยิ้มพร้อมเงยหน้าขึ้นอีกครั้ง “คุณย่าคะ ดึกมากแล้ว พวกเราต้องกลับแล้วค่ะ เดือนหน้าหนูกับจิ่งเหยียนจะมาเยี่ยมคุณย่าใหม่นะคะ”
“ตอนแรกอยากให้หนูกับจิ่งเหยียนทานข้าวที่บ้านดี ๆ ก่อน……”
เมื่อท่านผู้หญิงได้ยิน แววตาก็ผุดความตัดใจไม่ลงและความไม่ชอบใจขึ้นมา เป็นเพราะเว่ยชูหรงแท้ ๆ ที่ทำลายช่วงเวลาที่ดีของครอบครัวพัง
“ไม่เป็นไรค่ะ จากนี้ไปมีเวลาทานข้าวด้วยกันเยอะเลย ไม่อย่างนั้นครั้งหน้าเดี๋ยวหนูกับจิ่งเหยียนมารับคุณย่าออกไปหาอะไรทานอร่อย ๆ ข้างนอกก็ได้นะคะ”
การที่เธอมาบ้านตระกูลเฉินนั้นก็เพียงต้องการมาเยี่ยมคุณย่าเท่านั้น เมื่อเทียบกับเรื่องย่ำแย่ที่อาจจะเกิดขึ้นนั้น ไม่สู้รับคนออกไปมีความสุขอย่างอิสระข้างนอกดีกว่า
“ดีเลย ครั้งหน้าย่าจะเลี้ยงมื้อใหญ่พวกหนูที่ภัตตาคารตึกใหญ่ข้างนอกนะจ๊ะ”
บนใบหน้าของท่านผู้หญิงมีรอยยิ้มผุดขึ้นมาแล้ว พร้อมลูบมือของเธอแล้วเอ่ยว่า “กลับไปเถอะ”
“ถ้างั้นพวกเรากลับก่อนนะคะ”
เฉียวชู่เฉี่ยนเอ่ยจบ เจ้าตัวน้อยก็เอียงตัวเข้ามาพร้อมจุ๊บบนใบหน้าของท่านผู้หญิงหนึ่งครั้ง “ย่าทวดครับ อย่าลืมว่าพวกเรานัดกันว่าเดือนหน้าจะไปทานมื้อใหญ่กันนะครับ”
“ย่าทวดไม่ลืมหรอกจ้ะ”
จากนั้นเฉียวชูเฉี่ยนจึงพาจิ่งเหยียนออกจากห้องนอนมาด้วยความรู้สึกที่ซับซ้อน เฉินจิ้นถงนั่งรออยู่ห้องรับแขกอยู่แล้ว มุมปากของเธอจึงขยับ ครั้นเขาเป็นผู้ปริปากขึ้นก่อน
“ขอโทษด้วยนะครับ ผมคิดไม่ถึงว่าแม่ผมจะพูดอะไรที่ใจดำแบบนี้ออกมาได้ ผมขอโทษทั้งสองคนแทนเธอด้วยนะครับ หวังว่าพี่จะยกโทษให้กับคำพูดที่เธอพูดเมื่อครู่นี้ด้วย”
“ไม่เป็นไรหรอก ฉันไม่ได้เก็บมาใส่ใจเลย”
เธอฉีกรอยยิ้มปลอม ๆ ออกมา เฉินจิ้นถงพูดถึงเพียงนี้แล้ว ต่อให้เธอต้องพูดโกหกก็จะต้องพูดต่อไป ไม่เช่นนั้นสถานการณ์จะแลดูอึดอัดเกินไป
“ถ้างั้นให้ผมส่งทั้งสองคนกลับบ้านดีกว่าครับ”
“ไม่ต้องหรอก ฉันยังอยากพาจิ่งเหยียนไปเดินเล่นก่อน ไม่รบกวนเธอหรอก จิ่งเหยียนบอกลาคุณอาเขาเร็ว”
แม้ว่าต้องพูดคำพูดแก้สถานการณ์ ครั้นไม่ได้หมายความว่าเธอจะปฏิเสธไม่ได้ เว่ยชูหรงพูดถูก เธอไม่สมควรมาบ้านตระกูลเฉิน
ไม่เข้ากันโดยสิ้นเชิง
“ถ้างั้นผมไม่ไปส่งแล้วนะครับ”
เฉินจิ้นถงลากเปิดประตูใหญ่ของคฤหาสน์ให้พวกเขา บนใบหน้ายังคงมีรอยยิ้มอันสุขุมมีมารยาทเช่นเดิม ครั้นมือที่อยู่ข้างหลังกลับกำหมัดแน่นขึ้นมา
หลังจากที่เรียกรถแท็กซี่ออกมาจากบ้านตระกูลเฉินแล้ว เฉียวชูเฉี่ยนจึงรู้สึกโล่งใจขึ้นมา เธอมองไปยังเจ้าตัวน้อยที่นั่งเงียบอยู่ข้าง ๆ จึงรีบดึงเขาเข้ามาแนบอิงที่อกทันที
“เป็นอะไรไปครับ ? ไม่ชอบใจเหรอครับ ?”
คำพูดอันดูถูกดูแคลนของเว่ยชูหรงเมื่อสักครู่นี้เขาน่าจะได้ยินเข้าไปในจิตใจแล้ว ความคิดของจิ่งเหยียนมีบางคราก็อ่อนไหวมากกว่าเธอเสียอีก
“เมื่อเจ็ดปีก่อน แม่เป็นที่รองรับอารมณ์ของคนตระกูลเฉินแบบนี้ตลอดเลยใช่ไหมครับ ?”
ใบหน้าน้อย ๆ เงยขึ้นมา ความเกลียดชังภายในแววตานั้นเปิดเผยออกมาเล็กน้อยอย่างอดไม่ได้ หม่ามี๊ออกจากบ้านตระกูลเฉินแล้ว ยายแม่มดแก่นั่นยังพูดเช่นนี้ออกมาอีก สามารถมองออกว่าตอนที่หม่ามี๊อยู่ที่บ้านตระกูลเฉินนั้น ถูกรังแกเช่นไรบ้าง