ลาก่อน คุณสามี - ตอนที่ 132 ผมยอมรับการแต่งงานของคุณ
“งานแต่งงานพอแค่นี้”
ริมฝีปากอันบางเฉียบเอ่ยขึ้นมาอย่างเย็นชา จากนั้นเขาก็สาวสองขาอันเรียวยาวเดินออกไปบริเวณด้านนอกของสถานที่จัดงานทันที
“เป่ยชวน !”
เครื่องสำอางที่แต่งอยู่บนหน้าของหลินเฟยเอ๋อร์ยังไม่สามารถปกปิดความซีดเซียวบนใบหน้าขณะนี้ของเธอได้เลย งานแต่งงานวันนี้ถูกมองว่าเป็นเรื่องขำขันเรียบร้อยแล้ว แถมเขายังทิ้งเธอไว้ผู้เดียวท่ามกลางเสียงหัวเราะอีก
“ผมยอมรับงานแต่งงานของคุณ”
เฉินเป่ยชวนเอ่ยขึ้นมาน้ำเสียงเย็นชาโดยไม่หันหน้ากลับมาด้วยซ้ำ จากนั้นร่างของเขาก็หายวับไปหลังบานประตูใหญ่ของห้องโถงจัดงานทันที
ผู้เข้าร่วมงานทั้งหลายต่างก็ตกตะลึงกับเรื่องราวที่เกิดขึ้นกะทันหันนี้จนพูดอะไรไม่ออก พระเจ้าช่วย งานแต่งนี้ช่างไม่เคยเห็นที่ไหนมาก่อนจริง ๆ !
เจ้าบ่าววิ่งหนีจากไปกลางครรภ์ ครั้นก็ดูเหมือนว่างานแต่งงานได้จัดขึ้นเรียบร้อยแล้ว
หลินเฟยเอ๋อร์ค้ำเคาน์เตอร์วางแก้วเหล้าข้าง ๆ เอาไว้ พยายามควบคุมอารมณ์ของตนเองเอาไว้ เฉียวชูเฉี่ยน ฉันระเอียดรอบคอบอย่างถึงที่สุดแล้ว แต่สุดท้ายก็ยังเป็นแกที่มาทำลายงานแต่งงานของฉัน แต่ว่าไม่เป็นไรหรอก อีกไม่นานแกก็จะได้ชดใช้แล้ว เชือกเส้นสุดท้ายระหว่างแกกับเฉินเป่ยชวนใกล้จะขาดแล้ว
และฉันก็จะเป็นคุณนายเฉินเพียงผู้เดียวของเขา
เฉินเป่ยชวนสาวเท้ายาว ๆ เข้าไปในลิฟต์ จากนั้นก็หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาต่อสายทันที “หลินผิง ล็อกและตรวจสอบการจราจรภายนอกซั่นเป่ยเดี๋ยวนี้ อย่าให้ลูกชายของเฉียวชูเฉี่ยนถูกจับตัวออกไปภายนอกได้เด็ดขาด และยืนยันตำแหน่งตอนนี้ของเขาให้เร็วที่สุด”
เมื่อนึกถึงงานแต่งงานข้างบน เขาก็ขมวดคิ้วขึ้นมาอีกครั้ง “พรุ่งนี้ฉันไม่อยากเห็นข่าวเรื่องงานแต่งงานวันนี้แม้แต่นิดเดียว นายรู้ว่าควรทำยังไงนะ”
“ครับเจ้านาย”
หลินผิงกล่าวจบ โทรศัพท์ก็ถูกตัดสายไป นิ้วมือที่เฉินเป่ยชวนบีบโทรศัพท์เอาไว้แน่นขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว เจ้าตัวเปี๊ยก ห้ามเป็นอะไรเด็ดขาดนะ !
ศีรษะที่มึนงงอยู่ถูกกระแทกเข้าอย่างแรก เฉียวจิ่งเหยียนจึงรู้สึกตื่นตัวขึ้นมา เขาพยายามลืมตาขึ้นมาข้างหนึ่งอย่างเต็มที่ จึงพบว่าตนเองอยู่ในรถคันหนึ่ง
บนรถมีผู้ชายอยู่สองคน คนหนึ่งขับรถ อีกคนกำลังเล่นโทรศัพท์อยู่ เห็นได้ชัดว่าพวกเขาสบายใจมากว่าตนจะไม่วิ่งหนีไปไหน
เขาก้มหน้ามองเชือกที่รัดลำตัวของตนอยู่ ต่อให้เปิดประตูรถได้แล้ว เขาก็วิ่งไปไหนไม่ได้อยู่ดี
หัวสมองน้อย ๆ คิดประเมินเหตุการณ์อย่างรวดเร็ว ใครกันนะที่ต้องการลักพาตัวตน ?
หรือว่าจะเป็นเฉินเป่ยชวนไอ้คนสารเลวคนนั้น ?
“พี่ หลังจากทำเรื่องนี้สำเร็จเราก็จะมีเงินที่ใช้จ่ายไม่หมดแล้ว ผมจะเปลี่ยนโทรศัพท์เครื่องใหม่ก่อน เวรเอ๊ย โทรศัพท์เครื่องนี้เล่นเกมติด ๆ ขัด ๆ เกินไป”
ผู้ชายที่นั่งที่นั่งข้างคนขับยกโทรศัพท์เครื่องเก่าในมือขึ้นมา พร้อมเอ่ยขึ้นด้วยสีหน้าไม่สบอารมณ์
“แค่นี้เนี่ยนะไอ้หนุ่มน้อย เงินตั้งมากมายเปลี่ยนแค่โทรศัพท์เองหรือไง ฉันว่านะเปลี่ยนรถคันใหม่ก่อน จากนั้นค่อยซื้อบ้านหลังใหม่ ไม่แน่ว่าถ้าผ่านไปอีกสองปีราคาบ้านคงเพิ่มขึ้นสูงอีกครั้นแน่นอน พวกเราคงรวยแล้ว”
ผู้ชายที่ขับรถเมื่อคิดถึงคำว่ารวยก็ยิ้มขึ้นมาเห็นฟันหน้าขาว ๆ ด้วยความตื่นเต้นดีใจทันที
เฉียวจิ่งเหยียนรีบปิดตาลง ภายในหัวสมองเริ่มครุ่นขึ้นมา ถ้าหากเป็นเฉินเป่ยชวนใช้ให้คนมาลักพาตัวตนจริง ๆ ไม่มีทางที่จะให้เงินแต่อย่างใด เพราะ ลูกน้องที่เขามีอยู่เป็นคนที่ไม่ใช้จ่ายเงิน
ครั้นหากไม่ใช่เฉินเป่ยชวนแล้วจะเป็นใครไปได้อีก ? หรือว่าเจ้าอ้วนน้อยในห้องจะหาคนมาจัดการ ?
ทว่าอย่างมากสุดเขาคงควักเงินค่าขนมมาได้เพียงเล็กน้อย คงไม่สามารถควักเงินก้อนโตขนาดนั้นมาได้
ยิ่งคิดก็ยิ่งนึกไม่ออกว่าช่วงนี้ตนยังไปยั่วโมโหศัตรูที่ไหนอีก และสิ่งที่ทำให้ร้อนรนใจกว่านี้ก็คือ เขาไม่รู้ว่าคนเหล่านี้จะพาเขาไปที่ใดต้องการไถ่เงินหรือว่าต้องการเอาชีวิตกันแน่ ?
เมื่อนึกถึงว่าชีวิตน้อย ๆ ของตนเองตกอยู่ในภัยอันตรายคุกคามแล้วนั้น ภายในใจก็ราวกับมีหญ้าขนเกิดขึ้นมา เขาเพิ่งเจ็ดขวบเองนะ แม้แต่ความรักวัยเด็กก็ยังไม่ทันเริ่มเลย ก็จะถูกฆ่าตายไปเช่นนี้เสียแล้ว น่าอนาถาเกินไปหรือเปล่า
“เด็กคนนี้โชคร้ายเหมือนกันเนอะ อีกสักครู่เราหากล่องที่ดี ๆ หน่อยใส่มันลงไป แล้วโยนลงน้ำเวลาตายจะได้สบาย ๆ หน่อย”
ผู้ชายที่เล่นโทรศัพท์อยู่เอ่ยพึมพำขึ้นมา พวกเขาสองพี่น้องไม่ได้มีจิตใจที่เลวร้าย ครั้นผู้ใดไม่ต้องการที่จะใช้ชีวิตของเศรษฐีกันเล่า ครั้นนอกเหนือจากการทำอาชญากรรมวางเพลิงแล้วพวกเขาสองพี่น้องก็ทำอย่างอื่นไม่เป็นอีกเลย
ไม่จริงใช่ไหม กล่องหรือ โยนลงน้ำให้จมน้ำตายงั้นหรือ ?
ภายในหัวของเฉียวจิ่งเหยียนมีภาพของผู้หญิงคนหนึ่งถูกยัดเข้าไปในกรงหมูจากนั้นก็ถูกโยนลงน้ำทะเลแวบเข้ามาในหัว ทันใดนั้นเองทั้งเนื้อทั้งตัวก็รู้สึกแย่ขึ้นมา เขาไม่ได้ลักขโมยสักหน่อยเหตุใดผู้ชายสองคนนี้จะต้องจัดเตรียมการตายของเขาเช่นนี้ด้วย ?
ไม่ได้การแล้ว เขาไม่สามารถรอคอยเช่นนี้ต่อไปได้ ถ้าหากอีกสักครู่ถูกยัดเข้าไปในกล่องไม้แล้วเขาคิดที่จะหลบหนีก็ยิ่งเป็นไปไม่ได้กว่าเดิมเสียอีก
“แค่ก ๆ”
เขาจงใจไอขึ้นมาสองครั้ง และผู้ชายที่เล่นโทรศัพท์อยู่เบื้องหน้าก็หันหน้ามามองเหมือนอย่างที่คิดไว้ “ฟื้นเร็วขนาดนี้เลยเหรอ ?”
“คุณลุงครับ พวกคุณเป็นใครเหรอครับ ? พวกคุณจะพาผมไปไหน ?”
เฉียวจิ่งเหยียนเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล ดวงตากลมโตอันใสซื่อบริสุทธิ์ระยิบระยับ ช่างสดใสกระไรเช่นนี้
“พวกลุงจะพาหนูไปที่ที่ดี ไม่ต้องกลัวนะ อีกไม่นานก็ไม่ต้องกลัวแล้ว”
ชายหนุ่มฉีกยิ้มแห้ง ๆ ขึ้นมา เมื่อตายแล้วก็ไม่มีอันใดต้องกลัวแล้ว
“คุณลุงครับ คุณลุงดีจริง ๆ เลย กลับไปผมจะไปบอกคุณพ่อ ให้ท่านเอาเงินให้พวกคุณเยอะ ๆ เลย พ่อของผมรวยมากเลยนะครับ”
เจ้าหมาป่าขาวตัวน้อยผู้ใสซื่อบริสุทธิ์แสร้งทำหน้าทำตาต่อไป ในเมื่อสองคนนี้ชอบเงินมากเพียงนี้ คงทำได้เพียงใช้เงินในการหาทางออกเท่านั้น หวังว่าจะได้ผล
“พ่อของหนูเป็นใครเหรอ ?”
ชายหนุ่มถามกลับทันควัน ดูเหมือนว่าจะเคยได้ยินมาเมื่อก่อน ครั้นก็ลืมเสียได้
“พ่อของผมชื่อลู่ฉี เป็นท่านประธานใหญ่ของลู่กรุ๊ปครับ คุณลุงทราบไหมครับว่าท่านประธานใหญ่แปลว่าอะไร ก็คือบอสใหญ่ของบริษัท เป็นคนที่สุดยอดมาก ๆ เลยแหละครับ”
“บอสใหญ่ ? เจ้าหนูบอกว่าพ่อของหนูเป็นบอสใหญ่ที่มีเงินงั้นเหรอ ?”
เมื่อได้ยินคำว่าเงิน แววตาของชายหนุ่มก็เริ่มเปล่งประกายขึ้นมา
“แน่นอนสิครับ ไม่อย่างนั้นผมจะเก่งและมีราศีแบบนี้ได้ยังไง ?”
ขณะที่ออกเล่ห์กลอุบายไป เขาก็ยังไม่ลืมที่จะชื่นชมตนเองอย่างลำพองใจขึ้นมาด้วย
ชายสองคนที่อยู่ข้างหน้าสบตากัน จากนั้นผู้ชายที่ขับรถก็จอดรถข้างทางทันที “พวกลุงมีอะไรต้องคุยกันหน่อย หนูอยู่ที่นี่อย่างว่าง่ายนะ” สิ้นเสียงทั้งสองคนก็ลงรถไป
“พี่ มันบอกว่าพ่อของมันมีเงิน ถึงยังไงเราก็จะต้องฆ่าตัวประกันอยู่แล้ว เราถือโอกาสเอาเงินมาอีกเป็นไง ?”
“ดี เอามาก้อนหนึ่งก่อน จากนั้นเราค่อยเอาเงินก้อนที่ต้องฆ่าตัวประกันนั้นมา น้องรัก เราซื้อบ้านสองหลังได้แล้ว”
“ผมจะซื้อไอโฟนสองเครื่อง”
สองพี่น้องผลัดกันแลกเปลี่ยนคำพูด เฉียวจิ่งเหยียนแนบหูฟังอยู่ข้างใน ตอนนี้หม่ามี๊น่าจะทราบแล้วว่าเขาหายตัวไป ไม่รู้ว่าได้ไปขอร้องคุณอาลู่ฉีให้ช่วยเหลือหรือเปล่า
ถ้าหากไปหาเขาก็จะเปิดเผยตำแหน่งของเขาตอนนี้ได้พอดี ถ้าหากไม่ได้ไปหา ก็ยังมีอีกทางหนึ่งในการช่วยเหลือชีวิต
ประตูรถถูกเปิดออกสองพี่น้องขึ้นรถมาตามหลังกันมา เฉียวจิ่งเหยียนจึงได้ส่งยิ้มอย่างไร้เดียงสาให้พวกเขาทันที “คุณลุงครับ ตอนนี้จะส่งผมกลับบ้านเลยหรือว่าให้ผมโทรบอกคุณพ่อก่อนครับ ?”
“หนูจำเบอร์พ่อหนูได้เหรอ ?”
ผู้ชายที่เล่นโทรศัพท์ราวกับเจอเส้นทางที่สะดวกยิ่งขึ้นแล้ว แววตาของเขาได้มีสัญลักษณ์เงินตราขึ้นมาเต็มไปหมด
“แน่นอนสิครับ เบอร์ของพ่อผมคือ……”
หลังจากที่บอกเบอร์โทรของลู่ฉีไปแล้ว เขาจึงรอคอยฝ่ายนั้นรับสาย และเป็นไปตามที่คาดไว้ น้ำเสียงปลายสายอันคุ้นเคยดังขึ้นมา
“ฮัลโหล ผมคือลู่ฉี คุณเป็นใคร ?”
เมื่อโทรศัพท์ถูกรับสาย น้ำเสียงอันเหนื่อยล้าของลู่ฉีก็ดังเข้ามา
“ลู่ฉีใช่ไหม ลูกชายของคุณอยู่ในน้ำมือของเรา ตอนนี้เตรียมเงินค่าไถ่มาสองล้านหยวน ไม่อย่างนั้นฉันจะฆ่าตัวประกันเดี๋ยวนี้”
พี่ชายคนที่ขับรถแย่งโทรศัพท์ไป พร้อมเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงเหี้ยมโหด
“ลูกชายฉัน ? จิ่งเหยียนอยู่ในน้ำมือพวกแกงั้นเหรอ ?”