ร้อยรักปักดวงใจ - ตอนที่ 731 ข่าวสารจากแดนไกล (ปลาย)
ในใจเซี่ยงซื่อยังคงกังวลอยู่เล็กน้อย
คนอื่นไม่รู้ แต่ตนรู้! ท่านแม่บ่นท่านอาหญิงลับหลังเพราะเรื่องนี้มาแล้วไม่รู้ตั้งกี่ปี!
นางปรึกษากับสวีซื่ออวี้
สวีซื่ออวี้รู้สึกว่าเรื่องนี้รับมือได้ยาก ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะพูดขึ้นมาว่า “ในเมื่อท่านแม่บอกให้พวกเรารับไว้ พวกเราก็รับไว้ก่อน” แล้วพูดต่อไปว่า “อีกสองวันพวกเราก็จะออกเดินทางแล้ว อย่างไรเสียก็ต้องไปกล่าวลาทางด้านคุณหนูใหญ่ เมื่อถึงเวลานั้นเจ้าลองพูดกับนาง ดูว่านางจะว่าอย่างไร แล้วพวกเราค่อยวางแผนก็ยังไม่สาย”
ตอนที่เซี่ยงโหรวจิ่นอยู่ทีสกุลเดิมก็ได้ช่วยนายหญิงเซี่ยงจัดการเรื่องอาหารการกินในเรือน ในบรรดาพี่น้อง นางรู้เรื่องสกุลเซี่ยงชัดเจนมากที่สุด ต่อมาได้แต่งกับสหายร่วมงานของใต้เท้าเซี่ยง บุตรชายคนโตของใต้เท้าโจวรองเจ้ากรมโยธาธิการ แต่งกับสกุลที่น่าภาคภูมิใจ ตอนนี้ใต้เท้าโจวยังทำหน้าที่เป็นฝ่ายตุลาการตรวจการแม่น้ำสองแห่ง ใต้เท้าโจวได้ฮึดสู้ สอบติดราชบัณฑิตในปีหย่งเหอที่สิบหก ในเวลาเพียงห้าปีเขาได้เป็นหัวหน้ากระทรวงครัวเรือนซานตง มีอนาคตยาวไกล เซี่ยงโหรวจิ่นเป็นสตรีที่มีคุณธรรมและมีความสามารถ ไม่ว่าจะเป็นสกุลโจวหรือคุณชายโจวต่างก็ให้ความเคารพนางเป็นอย่างมาก นายหญิงเซี่ยงให้ความสำคัญกับบุตรสาวคนโตผู้นี้มากขึ้นเรื่อยๆ ไม่ว่าในเรือนมีเรื่องอันใดก็จะชอบฟังความคิดเห็นของเซี่ยงโหรวจิ่น
เซี่ยงซื่อยิ้มพลางพยักหน้า “ข้ารู้แล้ว พรุ่งนี้ตอนเช้าตรู่ข้าจะไปเยี่ยมพี่หญิงใหญ่เจ้าค่ะ”
เมื่อเซี่ยงโหรวจิ่นรู้จุดประสงค์การมาของน้องหญิง ก็ยิ้มอย่างหมดปัญญา “ข้าเพียงแค่เคยได้ยินเรื่องนี้จากท่านป้าสะใภ้เพียงครั้งเดียวตอนที่ข้ายังเป็นเด็ก ดูเหมือนจะบอกว่าตอนที่ท่านอาหญิงแต่งงาน นางอยากจะนำหนังสือในห้องหนังสือของตัวเองไปด้วย ท่านย่ารับปากในทันที ท่านแม่รู้สึกว่าหนังสือเหล่านี้แม้เทียบไม่ได้กับเงินทองแต่ก็เป็นมรดกสืบทอดของตระกูล นางจึงนินทาลับหลังท่านย่าว่า ‘แม้จะบอกว่าเป็นสินเดิมแต่สุดท้ายก็ติดตามไปอยู่เรือนคนอื่น จากนั้นก็กลายเป็นทรัพย์สินของจวนอื่น’ ไม่รู้ว่าเหตุใดถึงได้ยินไปถึงหูของท่านย่า ท่านย่าฉุนเฉียวอย่างมาก เอาความกับประโยคนี้ไม่ปล่อยวาง พูดความผิดของท่านแม่ต่อหน้าท่านปู่ สุดท้ายก็ยังมอบหนังสือของสกุลเซี่ยงให้เป็นสินเดิมของท่านอาหญิง การที่ท่านอาหญิงทำเช่นนี้ เห็นได้ชัดว่ายังคงจำคำพูดของท่านแม่ได้แปดเก้าในสิบส่วน”
เจ้ารังเกียจที่ท่านแม่ของข้าให้กำเนิดบุตรสาวไม่ใช่หรือ ดี! ข้าจะให้ของที่เจ้าสนใจมากที่สุดในตอนนั้นมอบให้แก่บุตรสาวของเจ้า ดูว่าเจ้าจะพูดว่าอย่างไร…
เรื่องก็ผ่านมาหลายปี แต่ยังคงดังชัดเจนอยู่ในหูของนายหญิงเซี่ยง
“เช่นนี้จะทำอย่างไรดี เช่นนี้จะทำอย่างไรดี” เซี่ยงซื่อเดินไปเดินมาด้วยความกระวนกระวาย “ท่านแม่สามีพูดแล้วว่าให้ข้ารับของไว้ ใช่ว่าจะรับสิ่งของไว้ไม่ได้ แต่หากท่านแม่รู้เข้า…” นางพูดพลางรีบดึงมือพี่หญิง “พี่หญิง ท่านต้องช่วยข้าออกความคิดเห็นนะเจ้าคะ”
เมื่อเห็นว่าน้องหญิงรู้สึกลำบากใจระหว่างท่านแม่กับท่านอาหญิง เซี่ยงโหรวจิ่นก็รู้สึกไม่สบายใจ นางครุ่นคิดอยู่นานก่อนจะพูดขึ้นมาว่า “หนังสือล้ำค่าเหล่านั้นเจ้าเก็บรักษาให้ดี ส่วนด้านของท่านแม่ข้าจะไปพูดกับนางเอง”
“จะพูดอย่างไรหรือ” เซี่ยงซื่อถามด้วยความกังวลใจ
นางกลัวว่าเมื่อถึงตอนนั้นท่านแม่จะตำหนิแม้กระทั่งพี่หญิง
“ก็บอกตามความเป็นจริง!” เซี่ยงโหรวจิ่นพูดขึ้นมาว่า “เรื่องระหว่างท่านแม่กับท่านอาหญิงสั่งสมมานานหลายปี ไม่ใช่เรื่องที่เกิดขึ้นเพียงแค่วันสองวัน ต่อให้พวกเรามีใจจะช่วยท่านอาหญิงปกปิด เกรงว่าสุดท้ายแล้วท่านแม่ก็จะไปโทษท่านอาหญิงอยู่ดี หากไม่ระวัง ไม่แน่อาจจะโทษแม้กระทั่งแม่สามีของเจ้าด้วย…”
เซี่ยงซื่อได้ยินดังนั้นก็ใจเต้นแรง ไม่รอให้พี่หญิงพูดจบ รีบพูดขัดจังหวะพี่หญิงว่า “จะให้ท่านแม่สามีถูกลากเข้ามาเกี่ยวข้องด้วยไม่ได้เป็นอันขาด!” ขณะที่พูดก็มีสีหน้าขมขื่น “ตอนนี้ข้าตกอยู่ในสภาวะที่ถูกกดดัน…จะให้เกิดปัญหาขึ้นอีกไม่ได้แล้ว!”
“เจ้าวางใจเถิด” เซี่ยงโหรวจิ่นเห็นดังนั้นก็อดถอนหายใจไม่ได้ “ข้ารู้ว่าควรทำอย่างไร!” จากนั้นก็ทำตัวให้มีชีวิตชีวา ยิ้มพลางถามเรื่องที่นางจะไปจยาซิ่ง “เมื่อถึงเวลานั้นก็จะไปอาศัยอยู่ที่ศาลปกครองใช่หรือไม่ น้องเขยตำแหน่งยังต่ำต้อย เรือนในศาลปกครองจะต้องเล็กอย่างแน่นอน เครื่องใช้ในเรือนและบ่าวรับใช้ หากนำไปเยอะเกรงว่าจะไม่เหลือที่ให้คนอาศัยอยู่…”
คำพูดนี้ตรงกับความในใจของเซี่ยงซื่ออยู่พอดี นางคล้อยตามหัวข้อสนทนาทันที “ใช่แล้ว ข้าก็กำลังกังวลเกี่ยวกับเรื่องนี้อยู่พอดี เพียงแค่ของใช้ในชีวิตประจำวันก็ปาไปยี่สิบกว่าหีบแล้ว หากนำไปด้วยทั้งหมด ทั้งยังมีบ่าวรับใช้ อย่างน้อยก็ต้องนั่งเรือทางการสองลำ ท่านพี่เป็นเพียงแค่ผู้พิพากษาระดับเจ็ด หากออกจากเมืองหลวงอย่างยิ่งใหญ่เช่นนี้ คนอื่นเห็นเข้าก็ไม่รู้ว่าจะพูดถึงเขาอย่างไร ไม่แน่อาจจะถูกฝ่ายตุลาการฟ้องร้อง เมื่อไปถึงจยาซิ่งด้วยซ้ำ หากผู้ใหญ่ในหน่วยงานหรือสหายร่วมงานของเขาเห็นว่าพวกเราทำตัวเอิกเกริกเช่นนี้ อีกทั้งท่านพี่ยังเป็นบุตรชายของหย่งผิงโหว เกรงว่าจะทำให้พวกเขาคิดว่าท่านพี่มีนิสัยหยิ่งผยอง มีแต่จะเป็นผลเสียทำให้เขาเข้ากับผู้ใหญ่ในหน่วยงานหรือสหายร่วมงานไม่ได้ ไม่มีผลดีเลยสักนิด! แต่ท่านพี่ก็ยังยืนกรานจะเอาของทุกอย่างไปด้วย ข้าก็ไม่อาจพูดอะไรได้มากจึงทำได้เพียงเก็บของไปพลางๆ ก่อน รอจนถึงวันเดินทางแล้วค่อยว่ากัน!”
เซี่ยงโหรวจิ่นได้ยินดังนั้นก็ใจเต้น “น้องเขยให้เจ้าเก็บของทุกอย่างเลยหรือ เช่นนั้นเรือนที่พวกเจ้าอาศัยอยู่ก็จะว่างใช่หรือไม่”
“ใช่แล้วเจ้าค่ะ!” เซี่ยงซื่อพูดขึ้นมาว่า “ข้าบอกให้เหลือสาวใช้สองคนไว้ดูแลเรือนท่านพี่ก็ไม่เห็นด้วย…” เมื่อพูดถึงตรงนี้นางก็พูดอย่างลังเลว่า “พี่หญิงใหญ่ ท่านว่าท่านพี่จะอาศัยโอกาสนี้…” นางพูดพลางหยิบส้มที่วางอยู่บนโต๊ะแล้วแบ่งออกเป็นสองส่วน
เซี่ยงโหรวจิ่นพยักหน้าเล็กน้อย “ข้าฟังดูแล้วก็คิดว่ามีเจตนาเช่นนี้!”
เซี่ยงซื่อพูดอย่างครุ่นคิดว่า “เพียงแต่ท่านพี่ไม่ได้พูดต่อหน้าข้า ข้าเองก็ไม่อาจถามได้!”
แม้ว่าพวกเขาจะเป็นบุตรชายคนโตของอนุ เพื่อประโยชน์ของบุตรชายคนโตของภรรยาเอกก็ควรจะแยกเรือนออกไปให้เร็ว แต่ท่านพ่อท่านแม่ไม่ได้พูดอะไร พวกเขาก็ไม่อาจเสนอขึ้นมาเองได้
เซี่ยงโหรวจิ่นออกความคิดเห็นให้นาง “เช่นนั้นเจ้าก็นำของที่ไม่ได้ใช้เป็นประจำไปไว้ที่เรือนในหมู่บ้านที่น้องเขยมอบให้ในตอนแต่งงาน แล้วค่อยส่งผู้ดูแลหรือป้ารับใช้คนสนิทไปเฝ้า ดูว่าน้องเขยจะว่าอย่างไร”
เซี่ยงซื่อเข้าใจทันที เหลือบมองพี่หญิงใหญ่ด้วยความรู้สึกซาบซึ้ง หลังจากกลับไปก็รีบกำชับให้สาวใช้เก็บหีบใหม่ นำของที่ใช้ประจำมาไว้รวมกัน ของที่ไม่ได้ใช้ประจำไปไว้รวมกัน เมื่อเก็บของในห้องเก็บของแล้วก็เอาไปวางไว้ที่อื่น ให้สาวใช้และหญิงเฒ่าทำรายการบัญชีตามนี้ จากนั้นก็ไปปรึกษากับสวีซื่ออวี้ “มีของมากเกินไปเลยเตรียมจะแบ่งเอาไปไว้ที่เรือนในหมู่บ้าน”
สวีซื่ออวี้แอบถอนหายใจด้วยความโล่งอก พยักหน้าให้เซี่ยงซื่อด้วยสีหน้าปกติ
เซี่ยงซื่อเองก็แอบถอนหายใจด้วยความโล่งอกเช่นกัน
ในที่สุดก็เข้าใจความหมายของท่านพี่
ดูเหมือนว่าเมื่อออกไปครั้งนี้ก็จะไม่กลับมาอีกแล้ว
นางอดสำรวจมองเรือนที่นางอาศัยอยู่มาเจ็ดแปดปีไม่ได้
ต้นกล้วยที่เดิมทีสูงเท่าไหล่ได้เติบโตจนสูงเท่าความสูงของคน เมื่ออิ๋งอิ๋งอายุได้หนึ่งขวบ ชิงช้าที่ท่านอาห้าสร้างให้ก็ตั้งอยู่ที่นั่นด้วยความว่างเปล่า ความโศกเศร้าพลันปรากฏขึ้นในใจนางจางๆ
ในช่วงสองสามปีแรกของการแต่งงาน ในใจนางเอาแต่คิดถึงเรื่องแยกจวน แต่หลังจากอาศัยอยู่ที่นี่ได้ไม่กี่ปี ก็ได้รู้ว่าท่านย่าเป็นคนร่าเริงและใจดี ท่านพ่อและท่านแม่สามีเป็นคนรอบรู้และมีเหตุผล ระหว่างบรรดาสะใภ้ต่างก็ยอมถอยให้กันและกัน เมื่อเจอหน้ากันก็พูดคุยได้อย่างสนิทสนม เด็กๆ ก็จะได้เล่นด้วยกัน…เมื่อคิดได้ว่าความครึกครื้นเหล่านี้จะค่อยๆ ห่างไกลจากนางมากขึ้นเรื่อยๆ และเมื่อนึกขึ้นได้ว่าหลายปีมานี้ไม่ว่าในเรือนมีเรื่องอันใดนางก็ไม่จำเป็นต้องดูแล แม้แต่ตอนที่ตั้งครรภ์หรือคลอดบุตร ท่านแม่สามีล้วนส่งผู้ดูแลหญิงมาดูแลนางอย่างพิถีพิถัน ทันใดนั้นนางก็รู้สึกหวาดกลัวขึ้นมาเล็กน้อย
ในภายภาคหน้าไม่ว่าจะมีเรื่องอันใดก็คงทำได้เพียงพึ่งพาตัวเองแล้ว ในจยาซิ่งที่ไม่คุ้นเคย ตัวเองจะสามารถรับผิดชอบได้หรือไม่
ขณะที่กำลังครุ่นคิด มีคนวิ่งเข้ามากอดขานาง “ท่านแม่ ท่านแม่!”
นางก้มลงมองดูบุตรสาวที่ยิ้มแย้มแจ่มใสดุจดวงตะวันก็ไม่ปาน
“อิ๋งอิ๋ง!” เซี่ยงซื่ออุ้มบุตรสาวขึ้นมา บุตรสาวกอดคอนางไว้ทันที “ท่านแม่ ท่านมาทำอะไรอยู่ที่ลานเจ้าคะ”
ดวงตาของบุตรสาวนั้นสดใสราวกับน้ำพุ พลอยทำให้ใจของนางสงบลง
เพื่อบุตรสาวแล้ว นางต้องรวบรวมความกล้า ก้าวเดินไปข้างหน้าไม่ถอยหลังกลับ
“ข้าก็กำลังรออิ๋งอิ๋งอยู่!” เซี่ยงซื่อสูดลมหายใจเข้าลึกๆ น้ำเสียงของนางหนักแน่นกว่าเมื่อก่อนเล็กน้อย “รออิ๋งอิ๋งมาแล้วพวกเราก็จะได้ไปคารวะท่านย่าด้วยกัน!”
อิ๋งอิ๋งหัวเราะคิกคัก ดิ้นไปมาในอ้อมแขนของมารดาอยากจะลงไปยืนบนพื้น จับมือของเซี่ยงซื่อ “ท่านแม่ พวกเรารีบไปกันเถิด! หากไปสาย น้องใหญ่กับน้องสองก็จะทานขนมไส้ถั่วแดงที่เรือนท่านย่าจนหมด”
เซี่ยงซื่อกำชับแม่นมให้ไปอุ้มชิ่งเกอ ยิ้มพลางปล่อยให้บุตรสาวพาตัวเองไปที่เรือนสืออีเหนียง
******
เมื่อมองดูเรือทางการสามเสากระโดงที่ลอยออกจากฝั่ง ใบหน้าของสวีซื่ออวี้ เซี่ยงซื่อ อิ๋งอิ๋ง และชิ่งเกอที่ยืนอยู่ข้างขอบเรือก็เริ่มเลือนราง สืออีเหนียงจึงได้หยุดแขนที่กำลังโบกไปมา
“พวกเรากลับกันเถิด!” สวีลิ่งอี๋ที่ยืนเอามือไขว้หลังมองภรรยาที่กำลังกอดแขนแล้วพูดขึ้นมาอย่างไม่คิดอะไร
มีรอยยิ้มจางๆ ปรากฏอยู่ในดวงตาของเขา
สืออีเหนียงตอบเพียง “เจ้าค่ะ” มีเจียงซื่อช่วยประคองไปยังรถม้าที่อยู่ข้างๆ
เมื่ออิงเหนียงเห็นเจียงซื่อยื่นมือออกมา นางจึงถอยหลังแล้วเดินตามอยู่ข้างหลังสืออีเหนียงแทน
มีทหารม้าสี่ห้าคนแต่งกายด้วยชุดทางการ ตะโกนใส่ผู้คนที่เดินผ่านไปมา ควบม้าตรงมาที่โขดหินที่พวกเขายืนอยู่
สวีลิ่งอี๋ชะงักฝีเท้า จ้องมองพลางขมวดคิ้ว
ม้าเหล่านั้นวิ่งมาอย่างรวดเร็ว
องครักษ์ของจวนสวีรีบเข้ามารายล้อมเป็นกำแพงทันที
สืออีเหนียง เจียงซื่อ อิงเหนียง สวีซื่อจุน สวีซื่อเจี้ยและคนอื่นๆ ที่ได้ยินเสียงความเคลื่อนไหวก็อดหันไปมองตามเสียงไม่ได้ เห็นม้าหลายตัวยกกีบหน้าขึ้นแล้วส่งเสียงร้องพร้อมกัน หยุดอยู่ห่างจากองครักษ์เพียงห้าหกก้าว
“ท่านโหว!” ผู้นำทหารม้ากระโดดลงจากม้า คุกเข่าลงบนทางเดินที่เต็มไปด้วยหินกรวด “ผู้น้อยคือราชองครักษ์ในพระตำหนักเฉียนชิง” ขณะที่พูดก็หยิบเอาป้ายที่เอวยื่นให้องครักษ์ที่ยืนขวางอยู่ข้างหน้าเขา “ได้รับพระบัญชาจากฮ่องเต้ให้มาเชิญท่านโหวเข้าวังประเดี๋ยวนี้ขอรับ”
สวีลิ่งอี๋รู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย
องครักษ์จวนสวีได้นำป้ายหยกของทหารผู้นั้นไปให้สวีลิ่งอี๋ดู
สวีลิ่งอี๋เหลือบมอง กำชับสวีซื่อจุน “เจ้ากับน้องห้าของเจ้าปกป้องแม่ของเจ้ากลับจวน ข้าขอตัวไปก่อน”
สวีซื่อจุนและสวีซื่อเจี้ยขานรับด้วยความเคารพ “ขอรับ” สายตามองไปที่ทหารผู้นั้นพร้อมกันโดยไม่ได้นัดหมาย
สวีลิ่งอี๋พาองครักษ์ควบม้าตามองครักษ์วังหลวงเหล่านั้นไป
สืออีเหนียงและคนอื่นๆ ค่อยๆ นั่งรถม้าเข้าไปในเมืองถงโจว
“ท่านแม่เจ้าคะ ท่านพ่อจะไม่เป็นอะไรใช่หรือไม่” อิงเหนียงถามด้วยความเป็นกังวลเล็กน้อย
เจียงซื่ออยากจะพูดอะไรบางอย่างแต่ก็หยุดชะงักไป
เมื่อไม่กี่วันก่อนเฉินเก๋อเหล่าได้ขอเลือกคนที่มีความสามารถมาทดแทนเหลียงเก๋อเหล่าที่ลาออกไป ฮ่องเต้ทรงใช้ข้ออ้างว่าฮ่องเต้องค์ก่อนยังไม่อนุญาตเพื่อยื้อเวลาออกไปไม่พูดถึงเรื่องนี้ หลายวันมานี้ฮ่องเต้มักจะเชิญท่านพ่อสามีเข้าวังเพื่อหารือเกี่ยวกับเรื่องนี้ ตามคำพูดของท่านลุงใหญ่บอกว่า ‘โอวหยางหมิงใช้งานไม่ได้มากนัก ดังนั้นฮ่องเต้จึงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากใช้หย่งผิงโหวเพื่อขัดแข้งขัดขาโจวซื่อเจิงบิดาของฮองเฮา ท่านป้าใหญ่มาพบนางหลายครั้ง เอาแต่พูดว่าตอนนี้ฮ่องเต้โปรดปรานท่านพ่อสามีเป็นอย่างมาก ขอให้ท่านพ่อสามีช่วยพูดต่อหน้าฮ่องเต้ให้ ซ้ำยังพูดอีกว่าหากท่านพ่อสามีอยากจะหลีกเลี่ยงความสงสัย จะแนะนำใต้เท้าตู้ก็ได้เช่นกัน เช่นนี้สกุลเจียงก็รู้สึกซาบซึ้งไม่แพ้กัน’
คำพูดพวกนี้นางจะบอกกับท่านพ่อสามีได้อย่างไร!
ครั้งที่แล้วท่านแม่สามีได้ตักเตือนนางไปแล้ว หากนางยังไม่รู้จักแยกแยะแล้วยื่นมือเข้าไปยุ่งกับเรื่องนี้อีก ท่านแม่สามีจะต้องโกรธเคืองอย่างแน่นอน!
แต่หากไม่ช่วยพูดอะไรเลย สกุลเจียงก็จะสูญเสียโอกาสนี้ อำนาจก็จะยิ่งอ่อนแอลงเรื่อยๆ อยากจะเข้ากระทรวงขุนนางภายในก็เกรงว่าคงจะเป็นไปไม่ได้แล้ว