ร้อยรักปักดวงใจ - ตอนที่ 724 เคลื่อนไหวก่อน (กลาง)
เมื่อปฏิบัติต่อราษฎรอย่างตั้งใจ พวกเขาก็จะปฏิบัติต่อเจ้าด้วยความเคารพ สวีซื่อเจี้ยตั้งชื่อบุตรชายคนโตด้วยตัวอักษร ‘จวง’
หลังจากที่จวงเกอได้ผ่านพิธีสรงสามแล้ว สวีซื่อจุนพูดกับสวีซื่อจิ่นเป็นการส่วนตัวว่า “พรุ่งนี้เช้าเจ้าไปที่จวนยงอ๋อง ได้ยินคนของกรมกลาโหมบอกว่ายงอ๋องมีความประสงค์จะให้เจ้าไปกุ้ยโจวเพื่อรับตำแหน่งที่หัวหน้าหน่วยพลทหารชิงล่างฝ่ายขวา แม้ว่าจะยังไม่มีการออกเอกสารอย่างเป็นทางการ แต่ในเมื่อพวกเรารู้แล้วก็ควรจะไปแสดงความขอบคุณที่จวนยงอ๋อง”
ในระบบทางการของต้าโจว กุ้ยโจวมีผู้บัญชาการทหารหนึ่งคน รองผู้บัญชาการทหารหนึ่งคน หัวหน้าหน่วยสองคน ที่หัวหน้าหน่วยพลทหารชิงล่างฝ่ายขวาหนึ่งคน ที่หัวหน้าหน่วยพลทหารชวนกุ้ยอี่ฝ่ายซ้ายหนึ่งคน ทหารรักษาการณ์เจ็ดคน และหน่วยลาดตระเวนหนึ่งคน…หัวหน้าหน่วยเป็นตำแหน่งที่สำคัญมาก ปีนี้ตัวเองพึ่งจะอายุสิบสามปี…
เขาอดประหลาดใจไม่ได้
ท่านพ่อไม่ได้บอกให้เขาไปกุ้ยโจวเพื่อเป็นองครักษ์ผู่อานที่กองพันผิงอี๋หรอกหรือ เหตุใดจึงได้มีตำแหน่งหัวหน้าหน่วยพลทหารชิงล่างฝ่ายขวาโผล่มาได้เล่า
“พี่สี่รู้ได้อย่างไรกัน” สวีซื่อจิ่นครุ่นคิด “ข่าวนี้น่าเชื่อถือหรือไม่ขอรับ”
“เดิมทีข้าอยากจะช่วยไปคุยกับกรมกลาโหมให้เจ้าได้อยู่ฝ่ายผู้บัญชาการทหาร แต่ปรากฏว่าอาลักษณ์ลู่ที่อยู่กรมกลาโหมบอกข้าอย่างอ้อมค้อมว่ายงอ๋องได้บอกกับเขาว่าจะให้เจ้าไปกุ้ยโจวเพื่อรับตำแหน่งหัวหน้าหน่วยพลทหารชิงล่างฝ่ายขวา หัวหน้าหน่วยพลทหารฝ่ายขวาคนปัจจุบันเดิมเป็นทหารรักษาการณ์ผิงเย่ว์ แต่เพราะทำผลงานจึงพึ่งได้รับเลื่อนเป็นตำแหน่งหัวหน้าหน่วยพลทหารฝ่ายขวาได้ยังไม่ถึงสามเดือน ยงอ๋องกลับต้องการตำแหน่งนี้ให้เจ้า อาลักษณ์ลู่เลยกำลังคิดหาวิธีย้ายเมืองให้หัวหน้าหน่วยพลทหารฝ่ายขวาผู้นั้น เมื่อเห็นข้าบอกว่าอยากจะให้อยู่ฝ่ายผู้บัญชาการทหาร จึงถามข้าว่าตกลงจะให้ไปอยู่ฝ่ายผู้บัญชาการทหารหรือเป็นหัวหน้าหน่วยกันแน่ ด้วยความสามารถของข้าแล้วอย่างมากก็แค่ช่วยให้เจ้าได้มีประสบการณ์ด้านผู้บัญชาการทหารเท่านั้น แต่ในเมื่อตอนนี้ได้เป็นถึงหัวหน้าหน่วยพลทหารชิงล่างฝ่ายขวา เช่นนั้นแน่นอนว่าตำแหน่งหัวหน้าหน่วยย่อมดีกว่า ข้าจึงกลับคำโดยแสร้งทำเป็นบอกว่าเพียงแค่กลัวว่างานของหัวหน้าหน่วยนั้นจะไม่ใช่เรื่องง่าย เลยคิดให้ไปอยู่ฝ่ายผู้บัญชาการทหารยังจะดีเสียกว่า” ขณะที่พูดก็มีสีหน้าปลื้มปริ่ม “ตอนนี้มาคิดดูอีกที สิ่งที่ข้าพูดออกไปนั้นช่างไม่สมเหตุสมผลเอาเสียเลย แม้ตำแหน่งที่หัวหน้าพลทหารฝ่ายขวานั้นไม่ง่าย แต่ถ้าอาลักษณ์ลู่ให้ตำแหน่งผู้บัญชาการหรือผู้ว่าราชการแก่เจ้าเท่านั้นจะไม่เป็นการผิดต่อความเมตตาของยงอ๋องหรอกหรือ ยิ่งไปกว่านั้นข้ายังทำให้อาลักษณ์ลู่สับสน ซ้ำหากยงอ๋องรู้เข้าเกรงว่าคงจะแอบตำหนิว่าข้านั้นมากเรื่อง” พูดจบก็หยุดไปครู่หนึ่ง “หากเพียงแค่ตำหนิว่าข้ามากเรื่องก็ไม่เป็นไร แต่กลัวว่าจะทำให้เจ้าถูกยงอ๋องตำหนิไปด้วย ความหมายของข้าก็คือในขณะที่เอกสารอย่างเป็นทางการยังไม่ลงมา เจ้าสามารถประนีประนอมเรื่องนี้ได้โดยไปขอบคุณยงอ๋อง อาลักษณ์ลู่จะได้ไม่ต้องส่งเจ้าไปฝ่ายผู้บัญชาการทหาร”
ในที่สุดสวีซื่อจิ่นก็เข้าใจ
เขาไม่คิดว่ายงอ๋องจะช่วยให้เขาไปกรมกลาโหมโดยไม่พูดอะไรสักคำ ยิ่งคิดไม่ถึงว่าสวีซื่อจุนก็ไปพูดแทนเขาเช่นกัน…
สวีซื่อจิ่นโอบไหล่สวีซื่อจุนอย่างสนิทสนม ยิ้มแล้วพูดว่า “พี่สี่ ที่แท้ท่านก็แอบไปหาลู่ทางให้ข้าด้วยหรือขอรับ!”
“แต่ก็ทำไม่สำเร็จ!” สวีซื่อจุนพูดอย่างลำบากใจ “ไม่แน่อาจจะเหมือนคนโง่ที่อวดฉลาดเสียด้วยซ้ำ!”
“ไม่เป็นไร ไม่เป็นไร” ระหว่างพี่น้องแค่มีใจเช่นนี้ก็พอแล้ว สวีซื่อจิ่นปลอบเขา “พรุ่งนี้เช้าข้าจะไปจวนยงอ๋อง รับรองว่าจะจัดการเรื่องนี้อย่างเหมาะสม” แต่ในใจคิดอยากจะส่งให้พี่สี่รีบออกไปเจอกับท่านพ่อ หากให้เขาไปเป็นหัวหน้าหน่วยพลทหารฝ่ายขวาจริงๆ เช่นนั้นก็คงไม่ได้ไปผิงอี๋แล้ว!
สวีซื่อจุนกลับคิดอีกเรื่องขึ้นมาได้ “คราวที่แล้วข้าได้ยินเจ้าพูดว่าต้องการหาเหมืองทองคำ แล้วก็จะทำกิจการยาสมุนไพรหรือ เจ้าไปอยู่ที่นั่นไม่คุ้ยเคยกับสถานที่ เหตุใดต้องไปก่อความวุ่นวายเรื่องผลประโยชน์ให้กับขุนนางทหารในพื้นที่ด้วย ถ้าหากเงินเจ้าไม่พอก็มาเอากับข้าได้เสมอ เรื่องอื่นข้าไม่กล้ารับประกัน แต่หนึ่งพันสามพันตำลึงยังพอมี เจ้าอย่าได้เสี่ยงทำให้ใต้เท้ากงต้องขุ่นเคืองเพราะเรื่องเงิน เข้าใจหรือไม่”
เขาคงไม่สามารถพึ่งพาคนอื่นได้ตลอดชีวิตหรอกกระมัง
สวีซื่อจิ่นลอบบ่นในใจ เมื่อเห็นใบหน้าที่จริงใจของพี่ชาย คิดว่าตอนนี้ก็ยังไม่รู้ว่าเหมืองทองกับกิจการยาสมุนไพรอยู่ที่ไหน ไม่มีความจำเป็นที่ต้องคัดค้านความหวังดีของพี่ชายในเวลานี้ ยิ้มพลางพยักหน้า “ข้ารู้แล้ว ข้ารู้แล้ว หากขาดแคลนเงินข้าจะไปเอากับพี่สี่แน่นอนขอรับ”
สวีซื่อจุนวางใจ ถามสวีซื่อจิ่นว่าเก็บของไปถึงไหนแล้ว เรื่องในเรือนของสวีซื่อจิ่นมีอะไรจะกำชับกับเขาหรือไม่…หลังจากสนทนากันเป็นเวลาประมาณสองก้านธูปจึงได้กล่าวลา
สวีซื่อจิ่นรีบไปหาสวีลิ่งอี๋
สวีลิ่งอี๋รู้สึกประหลาดใจอย่างเห็นได้ชัดเมื่อรู้ว่ายงอ๋องกับสวีซื่อจุนฝากฝังสวีซื่อจิ่นไว้ที่กรมกลาโหม เขาคิดอยู่ครู่หนึ่ง ยิ้มแล้วพูดว่า “ดูเหมือนว่าเรื่องที่เจ้าถูกส่งไปกุ้ยโจว ยงอ๋องจะมีความเห็นของตัวเอง แม้ว่าข้าจะไม่รู้ว่าทำไม แต่ว่าเจ้าควรรอให้เอกสารทางการมาก่อนแล้วค่อยไปจวนยงอ๋อง!”
สวีซื่อจิ่นไม่ค่อยเข้าใจ
สวีลิ่งอี๋ยิ้มแล้วพูดว่า “ข้าต้องการให้เจ้าไปอยู่ที่ผิงอี๋ ถ้าหากเจ้าไปขอบคุณยงอ๋องในตอนนี้ สุดท้ายพอเอกสารลงมา เจ้าไม่ได้ตำแหน่งหัวหน้าพลทหารฝ่ายขวา ยงอ๋องจะไม่โกรธหรอกหรือ ถ้าหากสร้างความขุ่นเคืองไปถึงกรมกลาโหมด้วยเหตุนี้ เกรงว่าเจ้าคงจะต้องไปเป็นหัวหน้าหน่วยพลทหารฝ่ายขวาจริงๆ! ไม่สู้แสร้งทำเป็นไม่รู้ รอให้เอกสารราชการลงมาก่อนแล้วค่อยไปลายงอ๋องก็พอแล้ว”
สวีซื่อจิ่นพยักหน้า รอมาสองวัน เอกสารทางการจากกรมกลาโหมก็ถูกส่งมา จากนั้นก็ไปลายงอ๋อง
สีหน้ายงอ๋องดูไม่ดีนัก พูดกำชับเขาซ้ำแล้วซ้ำเล่าว่า “ไม่มีอะไรที่ทำไม่ได้ เจ้าอยู่ที่นั่นสักสองสามเดือน ข้าย่อมมีวิธีเอาเจ้ากลับมาเอง” จากนั้นก็มอบเงินสองพันตำลึงให้เขาเป็นค่าเดินทาง
สวีซื่อจิ่นรู้ว่าก่อนหน้านี้เขาไม่เคยใส่ใจ ถ้าหากจริงจังขึ้นมา ไม่แน่ตัวเองยังไม่ทันถึงกุ้ยโจวก็อาจจะถูกเรียกตัวกลับมาแล้ว นึกขึ้นได้ว่ายงอ๋องมักขาดเงินอยู่เสมอแต่กลับมอบเงินสองพันตำลึงให้เขาเป็นค่าเดินทาง คิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะกระซิบกับยงอ๋องเรื่องยาสมุนไพรของกุ้ยโจว “…ท่านไม่ต้องรีบเอาข้ากลับมา ไม่สู้ให้ข้าไปหาลู่ทาง หากไม่สำเร็จท่านค่อยเอาข้ากลับมาก็ยังไม่สายขอรับ!”
ยงอ๋องได้ฟังดังนั้นแววตาก็เป็นประกายขึ้นมา “เจ้าพูดจริงหรือ เช่นนั้นเจ้าไม่ต้องรีบร้อนกลับมา ลองไปสืบดูภูมิหลังของกงตงหนิงก่อน เรื่องดีๆ เช่นนี้ ไม่มีทางที่กงตงหนิงจะไม่เข้าไปยุ่ง รอเจ้าไปแล้วพวกเราค่อยมาวางแผนกัน”
ทั้งสองคนปรึกษากันอยู่นาน ก่อนจะแยกจากกันอย่างมีความสุข
สวีซื่อจิ่นพึ่งมาถึงกุ้ยโจวในปลายเดือนหก ตอนที่ยงอ๋องได้รับจดหมายของเขาก็กลางเดือนสิบสองแล้ว พิธีอภิเษกขององค์หญิงใหญ่กับหวังเสียนได้มีกำหนดแล้ว เป็นวันที่หกเดือนสามปีหน้า หวังเสียนเป็นคนเผิงเฉิง ฮองเฮาไม่อยากให้องค์หญิงอภิเษกไปอยู่ที่เผิงเฉิง ฮ่องเต้จึงได้แต่งตั้งบิดาของหวังเสียนเป็นเสนาบดีวัดไท่ฉัง ทำหน้าที่รับผิดชอบเรื่องพิธีกรรม สกุลหวังกำลังรีบหาจวนในเยี่ยนจิง ยงอ๋องจึงต้องช่วยเหลือ เมื่อเห็นจดหมายของสวีซื่อจิ่นบอกว่ากงตงหนิงเป็นพ่อค้าสมุนไพรที่ใหญ่ที่สุดในกุ้ยโจวจึงอดรู้สึกท้อแท้ไม่ได้ รวบรวมสมาธิจดจ่อเรื่องช่วยองค์หญิงใหญ่หาจวนก่อน
ทุกคนในสกุลสวีก็ได้รับจดหมายจากสวีซื่อจิ่นเช่นกัน เมื่อรู้ว่าเขาได้ตั้งหลักปักฐานแล้ว ซ้ำเขาและฉังอานยังปรับตัวกับชีวิตที่ผิงอี๋ได้อย่างรวดเร็ว สวีลิ่งอี๋ตอบกลับจดหมายเขา ให้เขาใช้เวลานอกเหนือจากการฝึกฝนไปหาบรรดาทหารที่เคยทำสงครามกับพวกแมนจูและวิเคราะห์สาเหตุของความพ่ายแพ้และการชนะศึก
เพราะว่าใกล้จะตรุษจีนแล้ว สืออีเหนียงจึงพาป้าซ่งไปทำความสะอาดที่เรือนสวีซื่อจิ่น เห็นว่าอาจินกำลังทำชุดตรุษจีนให้สุยเฟิง ก็นึกขึ้นได้ว่าคนที่ติดตามสวีซื่อจิ่นเหลือเพียงอาจินกับสุยเฟิงไว้ช่วยเขาดูแลเรือน ก็อดใจเต้นแรงไม่ได้ ให้ป้าซ่งลองถามความคิดของทั้งสองคน อาจินหน้าแดงก่ำ เอาแต่ก้มหน้าไม่พูดอะไร ส่วนมารดาของสุยเฟิงรีบมาขอพบสืออีเหนียง ขอให้สืออีเหนียงเมตตาให้อาจินแต่งกับสุยเฟิง สืออีเหนียงตกลงกับงานแต่งครั้งนี้ เขียนจดหมายไปบอกสวีซื่อจิ่น
ไท่ฮูหยินเขียนจดหมายถามเขาว่าขาดแคลนเงินหรือไม่ ส่วนฮูหยินสองเพิ่มคำกำชับของตัวเองไว้ท้ายจดหมายของไท่ฮูหยิน ให้เขาไปมาหาสู่กับขุนนางชั้นสูงบ่อยๆ หาโอกาสไปที่ถงเหรินซึ่งเป็นกองทหารรักษาการณ์ขุนนางชั้นผู้ใหญ่ในกุ้ยโจว ส่วนอิงเหนียงเขียนถึงเขาในนามของตัวเองและสวีซื่อเจี้ย ซึ่งเนื้อหาทั้งหมดล้วนเล่าถึงความน่ารักของจวงเกอ ส่วนเซินเกอก็คิดอยากจะไปเยี่ยมสวีซื่อจินที่กุ้ยโจวหลังจากเริ่มฤดูใบไม้ผลิ แต่กลับโดนฮูหยินห้าดุเพราะอารมณ์ไม่ดีที่เฉิงเกอกำลังจะย้ายไปอยู่ลานนอก เซินเกอวิ่งไปเรือนไท่ฮูหยินด้วยความโกรธและไม่ยอมกลับมา เจียงซื่อและคนอื่นๆ พากันไปเกลี้ยกล่อม นอกจากนี้ฟังซื่อที่อยู่ตรอกซานจิ่งได้ให้กำเนิดบุตรคนรอง พึ่งจะเสร็จสิ้นพิธีสรงสาม และจะจัดพิธีครบรอบหนึ่งเดือนในปลายปี บุตรชายคนโตของเซี่ยงซื่อชิ่งเกอจัดพิธีครบรอบร้อยวันพอดี ยุ่งกับการฉลองตรุษจีนและไปกินเลี้ยงที่จวนอื่นๆ พูดคุยหัวเราะสนุกสนาน ช่วงพริบตาเดียวเทศกาลโคมไฟก็มาถึง
สวีลิ่งอี๋กับสืออีเหนียงได้รับเชิญให้เข้าวังไปชมโคมไฟ
ต่างก็เป็นคนคุ้นเคย ห้อมล้อมฮองเฮาชมดอกไม้ไฟในศาลาว่านชุนที่สวนหลวง
โจวฮูหยินและสืออีเหนียงกระซิบกันอยู่ด้านข้าง “ข้าได้ยินว่าเหลียงเก๋อเหล่าจะออกจากตำแหน่งแล้ว”
สืออีเหนียงพยักหน้า “หลานถิงบอกว่าเหลียงเก๋อเหล่าอายุมากแล้ว เวลาเขียนหนังสือมือของเขาสั่นมาก จึงเสนอออกจากตำแหน่งกับฮ่องเต้ ฮ่องเต้ก็ทรงอนุญาตโดยทันที”
“เช่นนี้พวกเขาจะต้องกลับไปบ้านเกิดที่เฟิงสุ่ยใช่หรือไม่” โจวฮูหยินถอนหายใจ “น่าเสียดายที่บุตรทั้งสามของเหลียงเก๋อเหล่าไม่มีใครได้เป็นราชบัณฑิตเลยสักคน”
สืออีเหนียงพูดไม่ออก
คนเรียนหนังสืออย่างพวกเขา คนรุ่นหลังไม่มีใครได้เป็นราชบัณฑิตหรือราชบัณฑิตหลวง ก็แสดงว่าสกุลค่อยๆ เสื่อมถอยลง
โจวฮูหยินก็รู้สึกว่าในช่วงตรุษจีนเช่นนี้ไม่ควรพูดเรื่องนี้ ยิ้มแล้วถามว่า “ข้าได้ยินนายท่านของพวกเราบอกว่าพี่น้องสกุลเดิมของเจ้าจะได้รับเลื่อนตำแหน่งเป็นข้าหลวงฮั่นหยางในปีหน้าหรือ”
คิดไม่ถึงว่าข่าวจะแพร่สะพัดเร็วเช่นนี้
“ต้องรอจนกว่าเอกสารทางการลงมาจึงจะรู้เจ้าค่ะ!” สืออีเหนียงพูดอย่างมีนัยยะ มีคนวิ่งมาหาพวกนาง
ทั้งสองคนพูดคุยกันพลางหันไปมอง
มวยผมขึ้นทั้งสองข้าง สวมเสื้อกั๊กยาวสีแดงทอลายมังกรเมฆาสีทอง นอกจากองค์หญิงใหญ่แล้วใครจะกล้าสวมชุดเช่นนี้
ทั้งสองคนยิ้มพลางคารวะองค์หญิงใหญ่
องค์หญิงใหญ่กลับจับมือสืออีเหนียง “หย่งผิงโหวฮูหยิน ข้า…ข้าจะต้องพาจิ่นเกอกลับมาโดยเร็วแน่นอน!”
ภายใต้ดอกไม้ไฟหลากสี มีแสงจากหยดน้ำส่องประกายในดวงตาของนาง
นางคงคิดว่าจิ่นเกอถูกลงโทษเพราะนางกระมัง
สืออีเหนียงยิ้มเล็กน้อยพลางตบมือองค์หญิงใหญ่เบาๆ “ไม่เป็นไรเพคะ บิดาของเขาคิดว่าอารมณ์ของเขารุนแรงเกินไป จึงอยากจะส่งเขาไปขัดเกลานิสัยที่กุ้ยโจวสักหน่อย ยิ่งไปกว่านั้นตอนนี้อยู่ที่กุ้ยโจวเขาก็สบายดี องค์หญิงไม่ต้องเป็นห่วงเพคะ”
องค์หญิงใหญ่เม้มริมฝีปาก หันหลังแล้วจากไปอย่างกะทันหันเหมือนตอนมา
สืออีเหนียงอยากจะตะโกนเรียกนาง แต่ฮองเฮาหันกลับมาพูดกับทุกคนว่า “ไม่รู้ว่าดอกไม้ไฟในวันนี้เป็นส่วยของที่ไหน ช่างสวยงามจริงๆ!”
ทุกคนพากันยิ้มอย่างเห็นด้วย
สืออีเหนียงจึงไม่ได้รั้งนางไว้
องค์หญิงฉังหนิงหัวเราะอย่างร่าเริง “ข้าว่าตอนที่องค์หญิงอภิเษก ไม่สู้ใช้ดอกไม้ไฟของที่นี่ไปเสียเลย!”
ย่อมมีคนอยากรู้อยากเห็นเรียกนางกำนัลในวังไปถาม และมีคนพูดเยินยอ “…สินสอดทองหมั้นเป็นที่ดินสามหมื่นหมู่ในจิงโจว ต้องกว้างใหญ่แค่ไหนกัน เกรงว่ายืนมองคงจะไม่เห็นทั่วทั้งพื้นที่!”
“ก็ไม่เท่าไรหรอก” มีคนหัวเราะ “เจ้ายังไม่เห็นเครื่องประดับที่ฮองเฮาเตรียมไว้สำหรับองค์หญิงใหญ่ เป็นทองคำทั้งหมด ข้ามองจนแสบตา จนตอนนี้ยังราวกับมีดาวสีทองอยู่ในตาของข้าอยู่เลย!”
ทุกคนพากันหัวเราะ ยกย่องว่าสกุลหวังนั้นโชคดี องค์หญิงใหญ่หน้าแดงแล้ววิ่งหนีไป
นางกำนัลที่อยู่ด้านหลังพากันเดินตามเป็นขบวน
ฮองเฮามองด้านหลังของบุตรสาวด้วยรอยยิ้ม สายตาเผยให้เห็นถึงความทำใจไม่ได้อยู่เล็กน้อย