ร้อยรักปักดวงใจ - ตอนที่ 722 โบยบิน (ปลาย)
เมื่อสวีลิ่งอี๋และคนอื่นๆ เดินเข้าไป สวีซื่อจิ่นก็นั่งเคียงข้างไท่ฮูหยิน กำลังกระซิบกระซาบบางอย่างกับไท่ฮูหยิน ไท่ฮูหยินยิ้มแล้วพยักหน้าด้วยท่าทีพอใจ บรรยากาศอบอุ่น ไม่มีความตึงเครียดเหมือนเมื่อครู่เลยแม้แต่น้อย
เห็นพวกเขาเข้ามา ไท่ฮูหยินก็หุบยิ้ม ดึงแขนเสื้อสวีซื่อจิ่นเบาๆ บอกว่าพวกเขาเข้ามาแล้วอย่าได้พูดอะไรอีก
สวีซื่อจิ่นรีบหยุดพูด ยิ้มแล้วโค้งคำนับให้สวีลิ่งอี๋กับเซินเกอ เฉิงเกอ
ทุกคนนั่งลงตามลำดับ
บรรดาสาวใช้ยกชาเข้ามา
ไท่ฮูหยินถามสืออีเหนียง “เสื้อผ้าของจิ่นเกอเก็บเรียบร้อยแล้วหรือยัง” เห็นได้ชัดว่านางสบายใจขึ้นแล้ว
ทุกคนพลันถอนหายใจด้วยความโล่งอก จากนั้นก็มองสวีซื่อจิ่นด้วยสายตาฉงนใจ สายตาขบขันและสายตาเอือมระอา
เก็บข้าวของทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว ทำตามที่สวีลิ่งอี๋บอก ไม่พาสาวใช้ไปด้วยสักคน ไม่นำถ้วยช้อนจานชามไปด้วย แม้แต่เสื้อผ้าที่มักจะเปลี่ยนซักก็ล้วนแต่เป็นผ้าหยาบ ‘…เจ้าอย่าลืมว่าเขาไปเขตการทหารในฐานะราษฎรทั่วไปจะมีช่องโหว่ไม่ได้’ ด้วยเหตุนี้ สืออีเหนียงยังบอกให้ชิวจวี๋ไปซื้อเสื้อต่วนเฮ่อที่ตลาดมาให้นางสองสามตัว
เรื่องนี้จะบอกไท่ฮูหยินไม่ได้
แต่หากจู่ๆ ไท่ฮูหยินอยากจะดูหีบของสวีซื่อจิ่นขึ้นมาจะเกิดความวุ่นวายอีกหรือไม่?
“กำลังเก็บเจ้าค่ะ” สืออีเหนียงพูดขึ้น “สองวันนี้ก็คงจะเก็บเสร็จแล้ว”
“ที่นั่นค่อนข้างห่างไกล ของบางอย่างมีเงินก็ซื้อไม่ได้ สาวใช้…ให้อาจินและอิงเถาติดตามไปด้วยก็พอแล้ว พาป้ารับใช้ที่มีความสามารถไปด้วยสองสามคน…พาอาจารย์ผังไปด้วย เขามีฝีมือ เจอคนเหมือนเฉินจี๋จะได้ไม่เสียเปรียบ…”
สืออีเหนียงรีบยิ้มแล้วขานรับ “เจ้าค่ะ”
ไท่ฮูหยินพูดกับสวีซื่อควน “ข้าจำได้ว่าเจ้าสนิทกับคนในกระทรวงขุนนาง พรุ่งนี้เจ้าไปทักทายเขา บอกให้เขาพูดกับผู้ว่าการมณฑลกุ้ยโจว ถึงตอนนั้นให้จิ่นเกอเราไปทำความรู้จักกับเขา อยู่ไกลบ้าน เจอเรื่องไม่สบายใจจะได้มีคนคอยปรึกษา”
พี่สี่ก็สนิทกับคนของกระทรวงขุนนางและกรมกลาโหม ท่านแม่ไม่ถามพี่สี่ แต่กลับมาถามข้า
สวีลิ่งควนบ่นพึมพำในใจ เหลือบมองสวีลิ่งอี๋ที่สีหน้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออก เขาพูดด้วยรอยยิ้ม “เขาคือศาลพลเรือนกระทรวงขุนนาง ข้าจะไปหาเขาพรุ่งนี้เช้าขอรับ”
ไท่ฮูหยินพยักหน้าด้วยความพอใจ จากนั้นก็มองไปที่อิงเหนียง
“ยังไม่มีวี่แววอีกหรือ” ไท่ฮูหยินเป็นห่วง “หมอตำเเยว่าเช่นไรบ้าง”
“บอกว่าครรภ์แรก เป็นเรื่องปกติเจ้าค่ะ” สืออีเหนียงยิ้ม
ไท่ฮูหยินหันไปพูดคุยกับเซี่ยงซื่อ…ตั้งแต่เริ่มต้นจนจบ นางไม่มองสวีลิ่งอี๋เลยแม้แต่น้อย
ฮูหยินห้ากลับมาถึงเรือนก็หัวเราะเสียงดัง “พี่สี่โตขนาดนี้แล้ว แต่คงไม่เคยอับอายขนาดนี้มาก่อนกระมัง!”
“เจ้าพูดอะไรเหลวไหลต่อหน้าลูก” สวีลิ่งควนเองก็อดหัวเราะไม่ได้ เห็นเซินเกอกับเฉิงเกออยู่ด้วย เขาจึงต้องทำสีหน้าเคร่งขรึมแล้วพูดตำหนิฮูหยินห้า
“ข้าผิดเองเจ้าค่ะ!” ฮูหยินห้าพูดขอโทษ แต่กลับไม่มีความจริงใจเลยแม้แต่น้อย จากนั้นก็ยิ้มแล้วดึงบุตรชายสองคนเข้ามาหาตัวเอง “จิ่นเกอพูดอะไรกับท่านย่า ถึงทำให้ท่านย่าเปลี่ยนใจง่ายดายเช่นนี้”
เฉิงเกอรีบพูด “พี่หกบอกว่า เขาจะไปหาเหมืองทองคำไม่ก็ทำกิจการยาสมุนไพรที่กุ้ยโจวขอรับ แต่ว่าเขาไม่มีเงิน หากเขาตัดสินใจว่าจะทำอะไรแล้ว เขาจะมาขอเงินท่านย่า หากเขาหาเงินได้แล้ว เขาจะสั่งทำเครื่องประดับทองให้ท่านย่า ท่านย่าได้ยินเช่นนี้ก็ดีใจ แล้วยังถามว่าพี่หกอยากได้เงินเท่าไร หากไม่พอก็ยังมีทองคำแท่ง”
สวีลิ่งควนกลั้นหัวเราะไม่อยู่แล้ว
จิ่นเกอเด็กคนนี้ ช่างรู้จักโน้มน้าวไท่ฮูหยินจริงๆ!
ฮูหยินห้ารู้สึกไม่สบายใจ นางเหลือบมองเซินเกอ
เฉิงเกอยังเด็ก เทียบกับจิ่นเกอไม่ได้ แต่เซินเกออายุน้อยกว่าจิ่นเกอแค่หนึ่งปี เมื่อเทียบกับลูกของคนอื่น เขาถือว่าเป็นเด็กฉลาด แต่เมื่อเทียบกับจิ่นเกอ เหตุใดเขาถึงดูฉลาดน้อยกว่า!
แต่เซินเกอกลับเข้าใจผิด เขาคิดว่านางถามว่าเฉิงเกอพูดจริงหรือไม่
“ท่านแม่ขอรับ อย่าฟังน้องแปดพูดจาเหลวไหล” เขายิ้มพร้อมกับพูดว่า “ที่ท่านย่าดีใจเพราะพี่หกบอกว่าที่ท่านลุงสี่ยอมให้เขาไปกุ้ยโจว ก็เพราะว่ากุ้ยโจวเต็มไปด้วยชาวแมนจู สร้างความดีความชอบได้ง่าย ตอนนั้นท่านลุงสี่ก็เคยโจมตีเผ่าเหมียวที่หูก่วง จากนั้นเขาถึงได้พูดว่าจะไปหาเหมืองทองคำ ทำกิจการยาสมุนไพรที่กุ้ยโจว”
หาเหมืองทองคำ ด้วยความสามารถของสวีลิ่งอี๋ อยากให้มันกลายเป็นเหมืองส่วนตัวของตัวเองไม่ใช่เรื่องยาก นั่นคือกิจการที่ไม่ต้องมีต้นทุน ต้องทำเงินได้มากมายแน่นอน! ถึงแม้จะหาเหมืองทองคำไม่เจอ ทำกิจการยาสมุนไพร มีผู้บัญชาการกุ้ยโจวคอยสนับสนุน ไม่ต้องพูดถึงเรื่องอื่น แค่เงินที่ได้จากหน่วยลาดตระเวนตรวจการณ์ ก็ไม่ใช่เงินจำนวนน้อยแล้ว…
คิดเช่นนี้ เมื่อไล่ลูกๆ ไปอาบน้ำ ฮูหยินห้าก็ถามสวีลิ่งควน “คุณชายห้า ท่านคิดว่าให้เซินเกอไปรับตำแหน่งข้างนอกดีหรือไม่”
“เซินเกอยังเด็กเกินไป!” สวีลิ่งควนส่ายหน้า “แล้วอีกอย่าง เขาสืบทอดตำแหน่งของข้าได้ สกุลเราไม่ได้ขาดแคลนอาหารเสื้อผ้า ทำไมต้องส่งเขาไปลำบากด้วยเล่า หากจะไป ก็ให้เฉิงเกอไปเถิด!” พูดจบ เขาก็ยิ้ม “รอให้เฉิงเกอโต จิ่นเกออาจจะมีชื่อเสียง ถึงตอนนั้นค่อยพึ่งพาเขาก็ได้”
ฮูหยินห้าขมวดคิ้ว
เฉิงเกอเป็นคนขี้อาย แล้วยังขี้ขลาดตาขาว ส่งเขาออกไปข้างนอก…ทำเช่นนั้นไม่ได้!
“แทนที่จะรอพึ่งจิ่นเกอ ไม่สู้พึ่งเซินเกอยังจะดีกว่า” นางพึมพำ “เฉิงเกอและเซินเกอเป็นพี่น้องกัน!”
คำนี้สวีลิ่งควนไม่ค่อยชอบฟังสักเท่าไร สีหน้าพลันอึมครึม “พี่สี่เป็นคนดูแลสกุล!”
แต่ต้นไม้แตกกิ่งก้านสาขา คนเราโตขึ้นแล้วก็ต้องแยกย้ายกัน นี่คือธรรมชาติของมนุษย์
ฮูหยินห้ายังอยากจะพูดอะไรอีก แต่ก็มีสาวใช้วิ่งเข้ามารายงาน “ฮูหยินห้า คุณนายน้อยห้าจะคลอดแล้วเจ้าค่ะ!”
“ไอ๊หยา!” ฮูหยินห้าตกใจ “ตอนนี้!?” นางเหลือบมองสวีลิ่งควน “ข้าจะไปดูประเดี๋ยวนี้!”
สวีลิ่งควนกระแอมไอ
ฮูหยินห้าเปลี่ยนเสื้อผ้า จากนั้นก็ไปที่เรือนของอิงเหนียงกับบรรดาสาวใช้
เรือนหนงเซียงสว่างไสว สืออีเหนียงและเจียงซื่อมาถึงตั้งนานแล้ว พวกนางนั่งอยู่ในห้องโถงกับสวีซื่อเจี้ย บรรดาบ่าวรับใช้ คนต้มน้ำก็ต้มน้ำ คนเตรียมเสื้อผ้าเด็กทารกก็เตรียมเสื้อผ้าเด็กทารก เดินไปเดินมา แต่กลับไม่วุ่นวาย
เมื่อเห็นฮูหยินห้าเดินเข้ามา สวีซื่อเจี้ยก็ยืนขึ้นแล้วทักทาย “ท่านอาสะใภ้ห้า”
ฮูหยินห้าพยักหน้า จากนั้นก็ถามสืออีเหนียง “เป็นเช่นไรบ้าง”
“พึ่งจะเริ่ม” สืออีเหนียงเชิญฮูหยินห้านั่งลงบนเก้าอี้ไท่ซือข้างๆ “ยังเช้าอยู่!”
ในขณะที่พวกนางกำลังพูด สวีซื่อเจี้ยก็พยายามยืดคอมองดูภายในห้องเอ่อร์ฝัง
สืออีเหนียงรู้สึกขบขัน “คืนนี้น่าจะยังไม่คลอด เจ้าไปพักผ่อนเถิด พวกข้าเฝ้าอยู่ที่นี่เอง”
แน่นอนว่าสวีซื่อเจี้ยที่ไม่เคยขัดคำสั่งของสืออีเหนียงไม่กล้าอยู่ต่อ แต่ในใจของเขากลับเป็นห่วงอิงเหนียงจึงออกไปยืนรออยู่ใต้ชายคา
เซี่ยงซื่อพึ่งจะนอนไป พอได้ยินข่าวก็รีบตื่นขึ้นมา สาวใช้ประคองนางมาเรือนของอิงเหนียง ก็เห็นสวีซื่อเจี้ยเดินวนไปวนมาอยู่ใต้ชายคา นางจึงเอ่ยเรียก “คุณชายน้อยห้า” ด้วยความแปลกใจ
สวีซื่อเจี้ยรีบอธิบาย “ท่านแม่และท่านอาสะใภ้ห้าอยู่ที่ห้องโถง ข้าจึงมารอที่นี่ขอรับ”
พวกเขาล้วนทำดีกับภรรยาของตัวเองทุกคน
“ข้างนอกนั้นอากาศหนาว” เซี่ยงซื่อยิ้มแล้วเชิญเขาเข้าไปข้างใน “ประเดี๋ยวจะเป็นหวัดเอาได้”
สวีซื่อเจี้ยไม่กล้าเข้าไป “ประเดี๋ยวข้าสวมเสื้อคลุมเอาก็ได้ขอรับ”
พอสืออีเหนียงได้ฟังก็อดหัวเราะไม่ได้
นางละเลยเกินไป
บอกให้หู่พั่วเรียกสวีซื่อเจี้ยเข้ามา “ดูท่าทีของอิงเหนียงแล้ว น่าจะคลอดคืนพรุ่งนี้ ข้ากลัวว่าหากเจ้าเฝ้าอยู่เช่นนี้ เมื่อถึงช่วงเวลาสำคัญจะทนไม่ไหว…แต่ในเมื่อเจ้าอยากเฝ้านาง เช่นนั้นก็เฝ้าอยู่ที่นี่เถิด!”
สวีซื่อเจี้ยยิ้มอย่างกลืนไม่เข้าคายไม่ออก กำลังจะพูดอะไรบางอย่างก็มีเสียงร้องของอิงเหนียงดังออกมาจากในห้อง เขาพลันตื่นตระหนก รีบวิ่งไปเรียกอิงเหนียงผ่านหน้าม่าน “ข้า ข้าอยู่ข้างนอก…” ด้วยท่าทีเป็นห่วง
ทุกคนต่างพากันหัวเราะ
สืออีเหนียงปลอบใจเขา “ไม่เป็นไร ไม่เป็นไร เมื่อครู่หมอตำแยออกมาบอกว่าอิงเหนียงยังสบายดี”
สวีซื่อเจี้ยยิ้มออกมา
มีสาวใช้เข้ามารายงาน “ท่านโหวส่งคนมาถามว่าคุณนายน้อยห้าเป็นอย่างไรบ้างเจ้าค่ะ”
“สบายดี” สืออีเหนียงยิ้มแล้วพูดต่อไปว่า “ท่านโหวไม่ต้องเป็นห่วง คาดว่าพรุ่งนี้คงจะคลอดแล้ว”
สาวใช้ขานรับแล้วเดินออกไปรายงานสวีลิ่งอี๋
สวีลิ่งอี๋คิดว่าคืนนี้สืออีเหนียงคงไม่กลับมาแล้วจึงไปหาสวีซื่อจิ่น
สวีซื่อจิ่นกำลังฝึกคัดตัวอักษรใต้แสงไฟ
หลังจากโค้งคำนับ สวีลิ่งอี๋ก็เดินไปนั่งบนเตียงเตาตรงข้ามเขา แล้วหยิบตัวอักษรที่เขาฝึกเขียนขึ้นมาดู
เป็นระเบียบเรียบร้อย ไม่มีข้อผิดพลาด
สวีลิ่งอี๋พยักหน้าเล็กน้อย จากนั้นก็พูดเสียงเบา “กงตงหนิงอายุเยอะกว่าข้าสิบเอ็ดปี เจ้าเรียกเขาว่าท่านก็ได้ เขาดูเป็นคนอารมณ์ร้อน ทำอะไรไม่มีกฎเกณฑ์ แต่ที่จริงแล้วเขาเป็นคนละเอียดอ่อน เจ้าไปทักทายเขา ไม่ควรตัดสินคนจากรูปลักษณ์ภายนอก ข้าบอกเขาแล้วว่าให้เจ้าไปอยู่ที่กองพันผิงอี๋องครักษ์ผู่อาน ที่นั่นคือเขตของผู้บัญชาการมณฑลซื่อชวน ต่อมาเปลี่ยนมาเป็นเขตผู้บัญชาการกุ้ยโจว มีชาวแมนจูอาศัยอยู่มาก แล้วก็ไม่ค่อยอุดมสมบูรณ์ เจ้าไปอยู่ที่นั่นในฐานะทหารกองทั่วไป หลังจากออกไปแล้ว มองให้มาก คิดให้มาก ทำให้มาก มีเรื่องอันใดก็พยายามแก้ไขมันด้วยตัวเอง” พูดจบก็ยิ้มอย่างแผ่วเบา “และแน่นอนว่าหากเจ้าไม่ไหว ก็เขียนจดหมายกลับมา เดิมพันของเราก็ถือว่าเป็นโมฆะ จะได้วางแผนชีวิตเส้นทางอื่น แต่หากเจ้าชนะเดิมพันก็จะได้เปลี่ยนไปอยู่สถานที่ที่ดีกว่านี้”
“ท่านพ่อไม่ต้องยุแหย่ข้า” สวีซื่อจิ่นกำหมัดแน่น “ข้าต้องชนะเดิมพันอย่างแน่นอน”
เห็นท่าทีมั่นอกมั่นใจของเขา สวีลิ่งอี๋ก็อดไม่ได้ที่จะลูบหัวเขา “เจ้านะเจ้า!”
สวีซื่อจิ่นยิ้มแล้วพูดว่า “เช่นนั้นฉังอาน...ไปกับข้าด้วยหรือไม่ขอรับ”
“ไปก็ได้ ไม่ไปก็ได้” สวีลิ่งอี๋พูดเป็นนัย “พ่อบ้านไป๋อยู่กับข้ามาตั้งแต่เด็ก ต่อมาข้าออกไปนำทัพข้างนอก เรื่องในจวนก็ต้องให้เขาเป็นคนดูแลทั้งหมด ครั้งนี้เจ้าไปกุ้ยโจว เรื่องในเรือนของเจ้าจะจัดการแบบใดก็ตัดสินใจเองเถิด หากตัดสินใจได้แล้วก็บอกข้า คนที่ไปกับเจ้า ข้าจะทำหนังสือรับรองสถานภาพทางทหารให้เขา ต่อไปสร้างความดีความชอบกับเจ้า เขาจะได้มีอนาคตเป็นของตัวเอง”
สายตาของสวีซื่อจิ่นเป็นประกาย
มีหนังสือรับรองสถานภาพทางทหารก็สามารถอยู่ที่เขตการทหารได้ หากมีความดีความชอบอีกก็ยังสามารถสืบทอดตำแหน่งกองพันได้อีกด้วย
ท่านพ่อช่างดีกับเขาเสียจริง
เขาพยักหน้าให้สวีลิ่งอี๋ด้วยท่าทีจริงจัง
วันต่อมาก็เรียกบ่าวรับใช้ของตัวเองเข้ามา
“ท่านพ่อจัดการเรียบร้อยแล้ว ข้ากองพันผิงอี๋องครักษ์ผู่อานที่กุ้ยโจว ในฐานะทหารกองทั่วไปคงให้พวกเจ้าไปด้วยไม่ได้ พวกเจ้าอยู่ที่เยี่ยนจิงเถิด!”
“คุณชายน้อยหก ไม่ได้นะขอรับ!” สุยเฟิงพูดทันที “แค่ฟังชื่อก็ยาวเสียขนาดนี้ต้องเป็นหุบเขาอย่างแน่นอน ท่านไปอยู่ที่นั่นคนเดียวไม่มีใครคอยดูแลรับใช้ เช่นนี้ไม่ได้นะขอรับ หรือให้พวกบ่าวไปพูดกับฮูหยินสี่ดีหรือไม่”