ร้อยรักปักดวงใจ - ตอนที่ 719 คมดาบ (ปลาย)
บรรยากาศในห้องเงียบสงัด ได้ยินเสียงถ้วยกระเบื้องกระทบกันเมื่อฮ่องเต้ดื่มชาเป็นครั้งคราว แล้วยังมีเสียงพลิกฎีกาของสวีลิ่งอี๋เบาๆ
เฉินปั๋วจือยืนก้มหน้าก้มตาด้วยท่าทีอ่อนน้อมถ่อมตน แต่ในใจกลับกำลังนึกถึงเรื่องที่เกิดขึ้นวันนี้
เขาเข้ามารับตำแหน่งในเมืองหลวงตามพระราชโองการ พูดเรื่องกรมขนส่งเสบียงอาหารเสร็จ ฮ่องเต้ก็พูดคุยกับเขาในห้องทรงพระอักษร เดิมทีมันคือความเมตตาที่ยิ่งใหญ่ของฮ่องเต้อยู่แล้ว แน่นอนว่าเขาต้องอ่อนน้อมถ่อมตน แต่เขาคิดไม่ถึงว่าจะเจอหย่งผิงโหวที่กำลังรออยู่หน้าประตูห้องทรงพระอักษร แล้วยิ่งคิดไม่ถึงว่าฮ่องเต้จะเรียกชื่อทางการของหย่งผิงโหวอย่างสนิทสนมเช่นนี้…ตอนนั้นก็ทำให้ตนเริ่มตื่นตระหนกแล้ว
เคยได้ยินมานานแล้วว่าเมื่อก่อนหยิ่งผิงโหวเป็นคนเย่อหยิ่ง ฮ่องเต้ไม่เพียงแต่ไม่พอพระทัย แม้แต่ไท่จื่อก็ยังไม่ให้ใกล้ชิดกับเขา แต่โชคดีที่หย่งผิงโหวเฉลียวฉลาด รู้จักพลิกแพลงสถานการณ์ สองสามปีที่ผ่านมาเขาไม่กล้าทำเกินหน้าที่ของตัวเอง แม้แต่ราชสำนักก็ไม่มา อ้างว่าไม่สบาย จึงไม่เคยทำอะไรผิดพลาด หลังจากนั้นก็มีแม่ทัพที่มีชื่อเสียงอย่างฟั่นกังเหวย เจี่ยงอวิ๋นเฟย เฉิงปี้เฉิง และหลี่จี้ปรากฏตัวขึ้นมา ชื่อเสียงของหย่งผิงโหวก็ค่อยๆ จางหายไป จึงทำให้ความคับข้องใจของฮ่องเต้ที่มีต่อเขาค่อยๆ ลดลง
พวกเขาสองคน คนหนึ่งเป็นขุนนางราชสำนัก อีกคนหนึ่งเป็นขุนนางนอก คนหนึ่งอยู่ตอนเหนือ คนหนึ่งอยู่ตอนใต้ ไม่ค่อยได้ไปมาหาสู่กันอยู่แล้ว คิดไม่ถึงว่าบุตรชายตัวเองที่พึ่งจะเข้ามาในเมืองหลวงกลับถูกบุตรชายของหย่งผิงโหวต่อย ไม่เพียงเท่านั้น สวีซื่อจิ่นไม่มีความปรานี ผู้ติดตามกว่าสามสิบคน บาดเจ็บสาหัสยี่สิบกว่าคน อย่างน้อยก็ต้องรักษาตัวหนึ่งถึงสองปี เขาได้ยินเช่นนี้ก็ฉุนเฉียวเป็นอย่างมาก บุตรชายตัวเองยิ่งตกใจ กลับมาก็ล้มป่วย จนถึงทุกวันนี้ก็ยังฝันร้ายตกใจตื่นตลอด…
แต่พอนึกถึงไท่จื่อ ตนก็ทำได้เพียงทุบจานรองหมึกระบายความโกรธและตัดสินใจกลืนความโมโหนี้ลงไป เชิญกู่เหยียน สหายที่สำนักศึกษาฮั่นหลินไปช่วยพูด ขอแค่สกุลสวียอมขอโทษ เขาก็จะให้อภัย เรื่องนี้ก็ถือว่าจบ แต่คิดไม่ถึงว่าหย่งผิงโหวแสร้งทำเป็นหูหนวกตาบอด ทำเป็นไม่รู้เรื่อง นอกจากนั้นสวีซื่อจิ่นก็กลายเป็นคนมีชื่อเสียง ลูกศิษย์ในเยี่ยนจิงล้วนแต่อยากเป็นสหายกับเขา ช่วงปีใหม่ก็มีคนไปหามาสู่ตลอดไม่ขาดสาย
ยอดแม่ทัพหยัดยืนบนหมื่นกระดูก
สวีซื่อจิ่นจะให้ใครเสียสละเพื่อเขามันเป็นเรื่องของเขา แต่เขาไม่ควรดึงบุตรชายตัวเองเข้าไปเกี่ยว… ครั้งนี้หากไม่มีเหตุผลที่ฟังขึ้น ต่อไปบุตรชายของเขายังจะมีหน้าเดินไปเดินมาในเยี่ยนจิงได้เช่นไร!
เมื่อกู่เหยียนเขียนจดหมายตำหนิเขา เขาจึงรู้ว่าหากจะเอาเรื่องหย่งผิงโหว ต้องได้รับความสนับสนุนจากฮ่องเต้
คิดเช่นนี้ เขาก็อดไม่ได้ที่จะเหลือบมองฮ่องเต้อย่างรวดเร็ว
ฮ่องเต้สีหน้าเรียบนิ่ง มองอารมณ์ไม่ออก
หัวใจของเขาพลันห่อเหี่ยว
เรียกชื่อทางการของหย่งผิงโหวอย่างสนิทสนม จากนั้นก็ให้หย่งผิงโหวอ่านฎีกา…อย่างแรกไม่ใช่เรื่องสำคัญ เพราะหย่งผิงโหวคือพี่ชายของฮองเฮา พวกเขาสองคนสนิทสนมกันอยู่แล้ว อาจเป็นเพราะความเคยชิน แต่ให้เขาอ่านฎีกา เช่นนั้นก็หมายความว่าให้หย่งผิงโหวดูว่าใครเป็นคนกล่าวโทษเขา…
ความคิดนี้ผุดขึ้นมา เขาก็รู้สึกราวกับว่ามีเหงื่อไหลซึมออกมาบนหน้าผากตัวเอง
หรือว่าฮ่องเต้อยากให้พวกเขาคืนดีกัน?
เฉินปั๋วจือหัวหมุนอย่างรวดเร็ว
หากฮ่องเต้คิดเช่นนั้นจริงๆ แต่คืนดีกันด้วยวิธีเช่นนี้ มันคงเป็นปัญหาใหญ่
เงินค่ายาไม่ใช่เรื่องสำคัญ…แต่หย่งผิงโหวต้องไปเยี่ยมบุตรชายเขาด้วยตัวเอง แล้วยังมีสวีซื่อจิ่น ต้องมาขอโทษบุตรชายเขา…จากนั้นเขาถึงสามารถส่งของขวัญชิ้นใหญ่ไปขอบคุณจวนหย่งผิงโหว…แต่ไม่จำเป็นต้องสนิทสนมกัน แต่ใครจะรู้ว่าเรื่องนี้กลับทำให้ฮ่องเต้ลำบากพระทัย เรื่องบางเรื่องสามารถจัดการได้อย่างช้าๆ…อย่างเช่นดูว่าไท่จื่อคิดกับท่านลุงคนนี้ของตัวเองเช่นไร…
ในขณะที่เฉินปั๋วจือกำลังครุ่นคิด สวีลิ่งอี๋ก็อ่านฎีกาเสร็จแล้ว
ฮ่องเต้ตรัสขึ้นว่า “เจ้ามีอะไรจะพูดหรือไม่”
“กระหม่อมตื่นตระหนกพ่ะย่ะค่ะ” สวีลิ่งอี๋คุกเข่าลงทันที “เรื่องฎีกา กระหม่อมก็เคยได้ยินแล้ว ตอนนั้นกระหม่อมตกใจเป็นอย่างมาก เรียกสวีซื่อจิ่นมาถาม จิ่นเกอบอกว่าตอนนั้นเขานั่งฟังเล่าหนังสือที่โรงน้ำชา เห็นคนกำลังรังแกสองพ่อลูกที่ทำการแสดง จึงเกิดการทะเลาะกัน เขาไม่รู้จักคนเหล่านั้น กระหม่อมได้ยินเช่นนี้ก็รีบบอกให้คนไปสืบ ได้ยินว่าบุตรชายของใต้เท้าเฉินนอนป่วยอยู่ ไม่เหมือนที่ฎีกาเขียนไว้ว่าบาดเจ็บสาหัส เดิมทีกระหม่อมยังอยากจะส่งผู้ดูแลไปเยี่ยมเยียน แต่คิดไม่ถึงว่ามีกฏเกณฑ์ของบรรพบุรุษว่าขุนนางนอกไม่ควรไปมาหาสู่กับขุนนางใน จึงล้มเลิกความคิดนั้นไปแล้วแค่ส่งคนไปสืบดูว่าองครักษ์ที่อยู่เยี่ยนจิงของใต้เท้าเฉินมีใครถูกต่อยจนได้รับบาดเจ็บหรือไม่ เพื่อนบ้านล้วนแต่ไม่รู้เรื่องนี้ ต่อมาใต้เท้าเฉินก็ไม่ได้ส่งคนมาหากระหม่อม” พูดจบ เขาก็พูดเบาลง “สิบกว่าปีมานี้กระหม่อมลาออกจากตำแหน่งมาอยู่ที่จวน มักจะมีข่าวลือเช่นนี้อยู่บ่อยๆ ทุกครั้งฝ่าบาทก็คอยช่วยจัดการให้กระหม่อม ครั้งนี้กระหม่อมจึงไม่ได้คิดอะไรพ่ะย่ะค่ะ…” เขาพูดด้วยน้ำเสียงที่ฟังดูโศกเศร้า
แต่งเรื่องเก่งเสียจริง
เฉินปั๋วจือหัวเราะในใจ จากนั้นก็มองไปที่ฮ่องเต้
ฮ่องเต้ทำสีหน้าทนไม่ได้
เขาแอบบ่นในใจ
“ฝ่าบาทพ่ะย่ะค่ะ” เฉินปั๋วจือพูดด้วยนำเสียงที่โอนอ่อนและอ่อนน้อม “เรื่องนี้เดิมทีเป็นความผิดของกระหม่อม กระหม่อมคิดว่าหย่งผิงโหวโจมตีเเคว้นเหมียวเจียง ทำให้ซีเป่ยสงบสุข มีคุณงามความดี เกิดเรื่องเล็กน้อยเช่นนี้ขึ้นกับบุตรชาย กระหม่อมจึงไม่อยากทำให้หย่งผิงโหวตกใจขอรับ…”
พูดถึงเรื่องที่สวีลิ่งอี๋ทำให้ฮ่องเต้ไม่พอใจ เตือนความผิดของสวีลิ่งอี๋ให้ฮ่องเต้รู้ ตอนนี้เขาดูเหมือนแมว แต่ความจริงเพราะว่ามีฮ่องเต้ค่อยกดดันเขา หากฮ่องเต้ไม่กดดันเขา เขาอาจกลายเป็นเสือก็ได้
ฮ่องเต้ได้ยินเช่นนี้ ถึงแม้อยากช่วยเขาแต่ก็คงต้องคิดให้ดี
เขายังพูดไม่ทันจบ สวีลิ่งอี๋ก็พูดแทรกขึ้นว่า “เช่นนั้นก็หมายความว่าสวีซื่อจิ่นต่อยบุตรชายของเจ้าจริงๆ น่ะหรือ เป็นอะไรมากหรือไม่ ในฎีกาบอกว่าบาดเจ็บสาหัส…” พูดจบ สีหน้าของเขาก็ดูเคร่งเครียด “จริงหรือไม่?”
สีหน้าของเฉินปั๋วจืออึมครึม
ขุนนางคือตัวแทนของราชสำนัก คนของราชสำนัก นอกจากความรู้ความสามารถแล้ว ยังต้องมีรูปลักษณ์หน้าตาที่ดี หากบุตรชายของเขาบาดเจ็บสาหัส เช่นนั้นต่อไปลูกของเขาคงไม่ได้เป็นขุนนางง่ายๆ แม้แต่ตำแหน่งผู้บัญชาการทหารรักษาการณ์ที่พึ่งจะถูกแต่งตั้งก็อาจถูกคนที่คิดร้ายฉวยโอกาสนี้ สุดท้ายถูกยึดตำแหน่งกลับคืนไป แต่หากบอกว่าบุตรชายของตัวเองไม่เป็นอะไร เช่นนั้นก็หมายความว่าฎีกาพวกนั้นไม่เป็นความจริง แล้วยังยอมรับว่าบุตรชายตัวเองรังแกสองพ่อลูกคู่นั้น…
เขาใช้หางตาเหลือบมองฮ่องเต้อย่างรวดเร็ว
ฮ่องเต้ทำท่าทีตั้งใจฟัง
เฉินปั๋วจือไม่กล้ารอช้า เขาพูด “ลูกข้าไม่ได้บาดเจ็บสาหัส…”
“เช่นนั้นก็ดี!” สวีลิ่งอี๋ขัดจังหวะเขาอีกครั้ง “หากบาดเจ็บสาหัสจริงๆ อนาคตของเขาคงจะพังทลาย จิ่นเกอของเราคงต้องรู้สึกผิดไปจนตาย!” เขาพูดด้วยท่าทีดีใจ
ฮ่องเต้เองก็พยักหน้า “เช่นนั้นก็ดี!”
เฉินปั๋วจือสามาถเป็นถึงผู้ว่าการกรมขนส่งเสบียงอาหาร เขาต้องไม่ใช่คนธรรมดาอยู่แล้ว
รู้ว่าไม่ควรพูดถึงเรื่องบุตรชายตัวเองอีกต่อไป ถึงแม้ตอนนี้บุตรชายยังนอนป่วยอยู่บนเตียง แต่หากพูดต่อไป มันคงทำให้คนอื่นคิดว่าบุตรชายของตัวเองไม่ได้เรื่อง พลอยทำให้สวีซื่อจิ่นมีความดีความชอบเสียมากกว่า
“กระหม่อมมีบุตรชายเพียงคนเดียวเลยคาดหวังกับเขาเอาไว้สูง สองสามปีที่ขยายช่องแม่น้ำ กระหม่อมก็ให้เขาอยู่ด้วยเสมอ ผ่านอะไรมามากมาย เขาก็ถือว่าเป็นคนที่มีประสบการณ์ไม่น้อย” เหตุผลที่ฮ่องเต้แต่งตั้งให้บุตรชายตัวเองเป็นผู้บัญชาการทหารรักษาการณ์ ขุนนางระดับสี่ เพราะว่าเฉินปั๋วจือมีความดีความชอบในการขยายช่องแม่น้ำ เขาพูดเรื่องนี้ขึ้นมาอย่างคลุมเครือ เพราะหวังว่าฮ่องเต้จะทรงจดจำความดีความชอบของเขาได้ และไม่พอใจกับพฤติกรรมของสวีซื่อจิ่น “เกรงว่าองครักษ์กว่าสามสิบคน ยี่สิบกว่าคนในนั้น ต่อไปคงดูแลตัวเองไม่ได้แล้วกระมัง…”
ฮ่องเต้ได้ฟังแล้วก็ตกพระทัย ก่อนจะทอดพระเนตรไปที่สวีลิ่งอี๋
สวีลิ่งอี๋เองก็มีท่าทางตกอกตกใจ
“มีเรื่องเช่นนี้ด้วยหรือ!” เขามองไปที่ฮ่องเต้ด้วยสีหน้าที่สับสน “ตอนที่กระหม่อมเรียกบุตรชายมาถาม กระหม่อมให้ผู้ดูแลไปสืบ ผู้ดูแลบอกว่า ตอนนั้นเขาพาบ่าวรับใช้สี่คนติดตามไปด้วย แล้วยังมีองครักษ์อีกหกคน เพราะว่าเป็นช่วงขึ้นปีใหม่ที่จวนกำลังวุ่นวาย ในบรรดาองครักษ์หกคนเลยมีองครักษ์ที่มีฝีมือดีแค่คนเดียวเท่านั้น คนอื่นล้วนแต่เป็นองครักษ์ฝีมือธรรมดา สำหรับบ่าวรับใช้ที่ติดตามไป ล้วนแต่อายุสิบหกสิบเจ็ดปี เพราะกระหม่อมเชิญอาจารย์มาสอนศิลปะการต่อสู้ให้จิ่นเกอ พวกเขาคอยรับใช้จิ่นเกออยู่ตลอด จึงให้พวกเขาฝึกฝนไปด้วย…องครักษ์สามสิบคนนั้น…” ความหมายก็คือเฉินปั๋วจือพูดเกินจริง
พูดไปพูดมา เฉินปั๋วจือก็รู้ถึงความสามารถใช้พื้นที่และเวลาที่มีอยู่ให้เป็นประโยชน์ของสวีลิ่งอี๋ เขาเตรียมแผนการรับมือไว้อยู่แล้ว ได้ยินเช่นนั้นเขาก็พูดอย่างนิ่งเฉย “กระหม่อมเองก็คิดว่ามันแปลกๆ พ่ะย่ะค่ะ องครักษ์สามสิบคนมาส่งบุตรชายกระหม่อมถึงเยี่ยนจิง ไม่เคยมีอะไรผิดพลาด…” หมายความว่าทำไมสกุลสวีถึงมีองครักษ์ยอดฝีมือเช่นนั้น แต่ในปากของสวีลิ่งอี๋กลับเป็นแค่องครักษ์ทั่วไป เห็นได้ชัดว่าสิบกว่าปีที่สกุลสวีอยู่อย่างเงียบๆ แต่ที่จริงแล้วเขามีเจตนาร้าย
“ฝ่าบาทพ่ะย่ะค่ะ” สวีลิ่งอี๋ได้ยินเช่นนี้ก็โค้งคำนับฮ่องเต้ “กระหม่อมคิดว่าควรเรียกคนของศาลว่าการและกองปัญจทิศรักษานครมาสอบถาม ตอนที่กระหม่อมถามจิ่นเกอ จิ่นเกอและบ่าวรับใช้สองสามคนไม่มีบาดแผลอะไรบนตัวเลยแม้แต่น้อย แล้วยังบอกว่าคนที่รังแกสองพ่อลูกคู่นั้นพาองครักษ์ไปด้วยแค่สามสี่คน กระหม่อมเลยคิดว่ามันสมเหตุสมผล ไม่เช่นนั้นกระหม่อมก็คงไม่เชื่อในสิ่งที่เขาพูด ตอนนี้ใต้เท้าเฉินบอกว่าบุตรชายของเขาไม่เป็นอะไร แต่องครักษ์กว่าสามสิบคน ได้รับบาดเจ็บสาหัสไปยี่สิบกว่าคน…อาจเป็นการเข้าใจผิดอะไรหรือไม่ หรือเราไม่ได้พูดเรื่องเดียวกันตั้งแต่แรก!”
เฉินปั๋วจือหัวใจเต้นกระหน่ำ เขาเม้มปากแน่น กลัวว่าหากโมโหแล้วจะเผลอพูดอะไรที่ไม่ควรพูดออกมาต่อหน้าฮ่องเต้ ทำให้สวีลิ่งอี๋ได้เปรียบ ทันใดนั้นบรรยากาศก็เย็นยะเยือก เขาพูดขึ้น “ถึงแม้ว่าข้าจะเข้าใจผิด แต่สำนักตรวจการณ์คงจะไม่เข้าใจผิดใช่หรือไม่ หากสำนักตรวจการณ์เข้าใจผิด เช่นนั้นก็เท่ากับหลอกลวงฮ่องเต้” เขาพูดด้วยน้ำเสียงที่แข็งทื่อ
ฮ่องเต้มองดูเฉินปั๋วจือที่โมโหจนตัวสั่น เขาแอบถอนหายใจในใจ
ทุกคนล้วนแต่บอกว่าสวีลิ่งอี๋เป็นคนซื่อๆ นั่นเป็นเพราะเขาไม่ค่อยพูด แต่สมัยก่อนตอนที่อู๋ฮองเฮายังมีชีวิตอยู่ เขาเคยพูดเยอะซะจนอู๋ฮองเฮาพูดไม่ทัน…คิดเช่นนี้ เขาก็นึกย้อนไปตอนที่ตัวเองยังไม่ได้ขึ้นครองราชย์…มีช่วงหนึ่งที่ตนไม่กล้าออกจากจวน เรื่องข้างนอกล้วนปล่อยให้พ่อตาเป็นคนจัดการ เรื่องการส่งข่าวคราว ก็ให้สวีลิ่งอี๋ที่อายุเพียงแค่เจ็ดแปดขวบเป็นคนจัดการ ดูเหมือนตั้งแต่นั้นมา สวีซื่ออี๋ก็เริ่มพูดน้อยลงเรื่อยๆ…แต่ว่า ตนก็ค่อยๆ คุ้นชินกับความสุขุมของสวีลิ่งอี๋ ไม่เช่นนั้นตนคงไม่กลัวว่าสวีลิ่งอี๋จะถูกขุนนางเหล่านี้โจมตีไม่รู้จักจบจักสิ้นเลยอยากจัดการเรื่องนี้ตั้งแต่ต้นเรื่อง
แต่ตอนนี้ดูเหมือนว่าตนที่อยากโอ้อวดแสดงความชาญฉลาดแต่กลับกลายเป็นการแสดงความโง่เขลาออกมา!
“เฉินปั๋วจือ ในเมื่อเด็กทั้งสองสกุลไม่เป็นอะไร เราคิดว่าเรื่องนี้ก็จบเช่นนี้เถิด!” ฮ่องเต้ขมวดคิ้วด้วยท่าทีลำบากพระทัยเป็นอย่างมาก “อีกไม่กี่วันเราจะออกพระราชโองการซ่อมแซมแม่น้ำไป๋ถ่า ตุลาการจะได้ไม่พูดอะไรไปทั่ว เฉินปั๋วจือควรให้ความสำคัญกับสถานการณ์โดยรวม” พูดจบ เขาก็ขมวดคิ้วพลางตรัสกับสวีลิ่งอี๋ “อิงหวาชดใช้ค่ายาให้เฉินปั๋วจือหนึ่งพันตำลึงเถิด!”