ร้อยรักปักดวงใจ - ตอนที่ 710 สนุกสนาน (ปลาย)
อิงเหนียงตะลึงงัน รีบลากบ่าวรับใช้คนนั้นไปข้างๆ “อย่าร้องไห้ เกิดอะไรขึ้นกันแน่”
บ่าวรับใช้พูดอย่างสะอึกสะอื้น “เราไปโรงน้ำชาเซียนจวียามเช้า เมื่ออาจารย์เล่าหนังสือขึ้นไปบนเวที คุณชายน้อยหกบอกให้พวกบ่าวสองสามคนอยู่ในห้อง พาฉังอานและหวงเสี่ยวเหมาออกไปเดินเล่น กลับมายามบ่าย ฉังอานไปสั่งอาหารของหอชุนซีที่อยู่ข้างๆ กลับมา กำลังทานกันอย่างเอร็ดอร่อย ก็มีชายไว้เคราพาชายร่างกำยำสิบกว่าคนบุกเข้ามา ชี้ไปที่คุณชายน้อยหกแล้วบอกว่า ’คนนี้ไง’ คนเหล่านั้นก็เดินเข้ามาชกต่อยทันที…” เขาพูดตะกุกตะกัก มองอิงเหนียงด้วยสายตาที่รู้สึกผิด “บ่าวกลัวคุณชายน้อยหกเสียเปรียบจึงรีบวิ่งกลับมา…มาหาฮูหยินสี่…”
“พวกเจ้าเผลอทำอะไรผิดไปหรือไม่” อิงเหนียงแค่ฟังก็เข้าใจทันที
“ไม่มี ไม่มีขอรับ” บ่าวรับใช้คนนั้นหลบตานาง “เราแค่ฟังเล่าหนังสือ ดื่มชาอยู่ที่นั่นขอรับ…”
แค่นั่งฟังเล่าหนังสือ ดื่มชา แล้วคนอื่นจะบุกเข้ามาต่อยอย่างนั้นหรือ พวกเขาออกไป พาองครักษ์ไปด้วยตั้งสี่ห้าคน จวนสกุลหย่งผิงโหวเป็นทั้งสกุลขุนนางแล้วยังเป็นสกุลญาติราชวงศ์ ไม่ว่าจะเป็นราชวงศ์หรือขุนนางในราชสำนักก็ต้องมีมารยาทต่อพวกเขา บ่าวรับใช้คนนี้วิ่งกลับมาขอความช่วยเหลือจากแม่สามี แสดงว่าอีกฝ่ายไม่ใช่คนธรรมดา หรือไม่ก็จิ่นเกอเป็นคนผิด ถึงแม้จะเป็นเรื่องใหญ่ก็ไม่กลัว ไม่ก็อีกฝ่ายไม่ใช่คนเยี่ยนจิง พวกเขาไม่รู้ว่าจิ่นเกอคือใคร…
คิดเช่นนี้ หัวใจของนางก็เต้นระส่ำ
“พูดความจริงกับข้า!” อิงเหนียงไม่รู้ว่าโรงน้ำชาเซียนจวีอยู่ห่างจากตรอกเหอฮวาหลี่ไกลแค่ไหน ไม่ว่าสถานการณ์ตอนนี้เป็นเช่นไร หากจิ่นเกอสู้พวกเขาไม่ได้จริงๆ เช่นนั้นก็ต้องรีบไปช่วยเขาให้เร็วที่สุด ถึงแม้จิ่นเกอจะเป็นคนผิดแต่ก็จะให้ใครทำร้ายจิ่นเกอไม่ได้ นางพูดอย่างร้อนใจ “หากคุณชายน้อยหกเป็นอะไรไป เจ้ารู้ความจริงแต่ไม่ยอมพูด ถึงแม้ท่านโหวจะไม่ว่าอะไร แต่หากฮูหยินเอาเรื่องขึ้นมา เจ้าไม่ตายก็เลี้ยงไม่โต รีบเล่าให้ข้าฟังเร็วเข้า!”
ต่อยตีกันแล้วจะไม่ถูกทำร้ายได้อย่างไร
บ่าวรับใช้คนนั้นเดิมทีก็กลัวจิ่นเกอจะถูกคนทำร้ายอยู่แล้ว กลัวว่าตัวเองจะถูกลงโทษ ตอนนี้ได้ยินอิงเหนียงพูดเช่นนี้ เขาก็ยิ่งกลัวจนตัวสั่นไปหมด ไม่กล้าปิดบังอะไรแม้แต่น้อย “ฟังจากน้ำเสียงของคนเหล่านั้นแล้ว พวกเขามาจากไหวอานขอรับ เจ้านายเป็นผู้บัญชาการทหารรักษาการณ์ บ่าวก็ไม่รู้ว่าคุณชายน้อยหกไปทำอะไรให้พวกเขาไม่พอใจ คนเหล่านั้นโมโหจนหน้าแดง บอกว่าถึงแม้ว่าจะเป็นบุตรชายของเฉินเก๋อเหล่าหรือใครก็ตามแต่ พวกเขาก็จะต่อยก่อนแล้วค่อยว่ากัน ถึงแม้จะต่อหน้าพระพักตร์ฮ่องเต้ก็ไม่กลัว ถึงแม้ว่าคุณชายน้อยหกจะมีทักษะการต่อสู้ที่ดี องครักษ์สองสามคนก็มีฝีมือไม่ธรรมดา แต่ว่าพวกเขามีคนเยอะกว่า บ่าวกลัวว่าถึงตอนนั้นเราจะสู้ไม่ไหว…”
ไหวอานคือที่ของผู้ว่าการกรมขนส่งเสบียงอาหาร คนที่รับตำแหน่งอยู่ที่นั่นส่วนใหญ่เป็นผู้บัญชาการทหารรักษาการณ์ พูดจาเช่นนี้ เห็นได้ชัดว่าไม่ใช่คนธรรมดาแน่นอน
อิงเหนียงกังวล “พวกเจ้าบอกหรือไม่ว่าพวกเจ้าเป็นใคร”
“คุณชายน้อยหกได้ยินพวกเขาพูดเช่นนี้ก็ไม่ยอมให้พวกบ่าวบอกขอรับ” บ่าวรับใช้ร้องไห้อีกครั้ง “แล้วยังบอกว่า หากชนะก็แล้วไป แต่หากแพ้จะเอาหน้าไปไว้ที่ไหนขอรับ”
อิงเหนียงกระทืบเท้า “โรงน้ำชาเซียนจวีห่างจากที่นี่ไกลแค่ไหน”
“ไม่ไกลขอรับ” บ่าววรับใช้พูด “ใช้เวลาแค่สองถ้วยชาก็ถึงแล้วขอรับ”
“เจ้ารออยู่ตรงนี้ ข้าจะไปจัดการ” อิงเหนียงพูด จากนั้นก็เดินเข้าไปในลานอย่างรวดเร็ว
สาวใช้น้อยสองคนของไท่ฮูหยินกำลังเล่นขว้างถุงทรายอยู่บนโต๊ะหินใต้ต้นองุ่น หัวเราะกันอย่างมีความสุข เมื่อเห็นอิงเหนียง พวกนางก็ทักทายอิงเหนียง “คุณนายน้อยห้าจะไปไหนเจ้าคะ ไท่ฮูหยินบอกให้คนไปล้างสาลี่ หากกลับมาไม่ทันก็จะไม่ได้ทานนะเจ้าคะ!” พูดเสียงดังฟังชัด อิงเหนียงเห็นเช่นนี้ก็ได้สติกลับมา
จะให้ไท่ฮูหยินและฮูหยินสองรู้เรื่องนี้ไม่ได้ ไท่ฮูหยินอายุมากแล้ว สุขภาพก็ไม่ค่อยดี หากเป็นอะไรไปเพราะตกใจกับเรื่องนี้ ถึงตอนนั้นจิ่นเกอก็จะกลายเป็นคนผิด ฮูหยินสองเป็นคนเข้มงวด ทำอะไรหนักแน่น นางไม่ชอบคนที่ไร้ความสามารถในการแก้ไขปัญหามากที่สุด เรื่องของจิ่นเกอต้องทำให้นางไม่พอใจแน่นอน แล้วยังอาจคิดว่าแม่สามีเลี้ยงลูกได้ไม่ดี
แต่เกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้น คนทั่วไปก็คงจะไม่ยอมอยู่เฉยๆ
นางพลันนึกถึงสวีซื่อจุนทันที
แต่ทันทีที่ความคิดนี้ผุดขึ้นมา นางก็ส่ายหน้าเบาๆ
ถึงแม้สวีซื่อจุนจะเป็นหย่งผิงโหวซื่อจื่อ แต่เขาเป็นคนใจดี อ่อนโยนและยุติธรรม ถึงแม้จิ่นเกอจะมีเหตุผล แต่พอเขาออกไปแล้วเห็นจิ่นเกอทำร้ายคนอื่น เกรงว่าคงจะเกลี้ยกล่อมให้จิ่นเกอปล่อยคนเหล่านั้นไป ไม่ทำให้เรื่องเล็กเป็นเรื่องใหญ่ บางทีหากอีกฝ่ายไม่พอใจ เขาก็อาจควักเงินออกมาปลอบใจอีกฝ่าย แต่หากจิ่นเกอเป็นคนผิด…เช่นนั้นก็ยิ่งวุ่นวาย ให้เงินค่ายาพวกเขายังไม่พอแล้วคงจะไปขอโทษพวกเขาด้วยตัวเอง
หากจิ่นเกอชนะยังพูดง่าย เช่นนั้นคือเขาเป็นคนใจกว้างมีเมตตา แต่หากจิ่นเกอแพ้ เกรงว่าคงจะถูกคนอื่นหัวเราะเยาะ หากเรื่องนี้แพร่กระจายออกไป ต่อไปจิ่นเกอจะมีชีวิตเช่นไร
ไปหาพ่อบ้านไป๋?
เช่นนั้นก็หมายความว่าไปบอกพ่อสามี
อิงเหนียงนึกถึงสีหน้าที่เคร่งขรึมและสายตาที่เย็นชาของสวีลิ่งอี๋…นางพลันหัวใจเต้นแรง
ไม่ได้ จะไปบอกพ่อบ้านไป๋ไม่ได้!
หากพ่อสามีรู้ว่าจิ่นเกอก่อเรื่องข้างนอก เขาต้องโมโหมากแน่นอน ตำหนิจิ่นเกอเป็นเรื่องเล็กแต่หากลงโทษจิ่นเกอตามกฎเกณฑ์ของสกุล…แม่สามีคงจะเสียใจ หากเป็นเช่นนี้ ไปบอกสวีซื่อจุนยังจะดีเสียกว่า
เช่นนั้นควรทำอย่างไรดี
อิงเหนียงคิดไม่ออก
ยิ่งเวลาผ่านไป จิ่นเกอก็ยิ่งลำบาก
เมื่อคิดเช่นนี้ นางก็อยากจะร้องไห้ขึ้นมา
อาจเป็นเพราะนางใจร้อนเกินไป เด็กในท้องเลยเตะนาง
อิงเหนียงตกใจ พลันนึกถึงเซี่ยงซื่อที่กำลังตั้งครรภ์ จากนั้นก็นึกถึงสวีซื่ออวี้ที่พึ่งจะกลับมา!
สายตาของนางเป็นประกาย
เหตุใดเมื่อครู่ตนถึงไม่นึกถึงสวีซื่ออวี้!
หลายปีที่ผ่านมา เขาไปๆ มาๆ เยี่ยนจิงกับเล่ออานจะต้องเจออะไรมาไม่น้อย แล้วเขายังเป็นบัณฑิตจู่เหริน ถือว่าเป็นคนมีเกียรติ แล้วยังพูดจาทำอะไรเหมาะสม ถึงแม้จะทำอะไรไม่ได้ แต่ก็คงทำให้พวกเขาสงบลงได้ชั่วคราว จากนั้นนางค่อยหาวิธีไปรายงานแม่สามี…
แต่ว่าตอนนี้ทุกคนอยู่กับไท่ฮูหยิน แล้วนางก็เป็นแค่น้องสะใภ้ ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะหาโอกาสพูดกับเขาเป็นการส่วนตัว!
ทันใดนั้น อิงเหนียงก็คิดอะไรขึ้นมาได้
นางรีบเรียกสาวใช้ที่อยู่ข้างๆ “เจ้าไปบอกคุณชายน้อยสองว่า มีคนบอกว่าเป็นสหายของเขา ยืนรออยู่หน้าประตูจวนต้องการที่จะพบเขา!”
เพราะอิงเหนียงเป็นคนพูด สาวใช้คนนั้นจึงไม่สงสัยอะไร นางรีบยิ้มแล้ววิ่งเข้าไป
ผ่านไปไม่นาน สวีซื่ออวี้ก็เดินออกมา
“คุณชายน้อยสอง ข้าเรียกท่านเองเจ้าค่ะ!” อิงเหนียงเดินเข้าไป
สวีซื่ออวี้ได้ยินเช่นนี้ก็สายตาเคร่งขรึม “เกิดอะไรขึ้นหรือ”
อิงเหนียงเล่าที่ไปที่มาของเรื่องราวให้เขาฟังอย่างรวบรัด “…ข้าคิดดูแล้ว ต้องมาขอความช่วยเหลือจากคุณชายน้อยสองเท่านั้นเจ้าค่ะ!” นางพูด “บ่าวรับใช้คนนั้นรออยู่ด้านนอกประตู!”
สวีซื่ออวี้พูด “เจ้ากลับไปก่อน อย่าเล่าเรื่องนี้ให้ใครฟัง ประเดี๋ยวข้าจัดการเอง”
ท่าทีที่สุขุมและมีสติของเขาทำให้อิงเหนียงเชื่อใจ นางถอนหายใจด้วยความโล่งอกแล้วถามว่า “ท่านแม่ก็ไม่ต้องบอกหรือเจ้าคะ”
“ไม่ต้องบอก!” สวีซื่ออวี้พูดต่ออีกว่า “เจ้าบอกว่าคนเหล่านั้นมาจากไหวอานไม่ใช่หรือ หากสถานการณ์ไม่ดี ข้าจัดการไม่ได้ ข้าจะไปขอความช่วยเหลือจากท่านลุงหรือไม่ก็ยงอ๋อง เจ้าไม่ต้องห่วง”
อิงเหนียงถอนหายใจด้วยความโล่งอก “พี่สองระวังตัวด้วยเจ้าค่ะ!”
สวีซื่ออวี้พยักหน้าแล้วเดินออกไปจากลานอย่างรวดเร็ว
อิงเหนียงสูดลมหายใจเข้าลึก ทำให้อารมณ์มั่นคงก่อน จากนั้นก็ยิ้มแล้วเดินเข้าไปในห้องโถง
*****
สืออีเหนียงกลับมาตอนเย็น
ทุกคนมาต้อนรับสวีซื่ออวี้ที่เรือนของไท่ฮูหยิน แต่กลับไม่เห็นเจ้าภาพ ไม่เพียงเท่านั้น จิ่นเกอที่กลับจวนตรงเวลาทุกวันก็ยังไม่กลับมา
อิงเหนียงไม่สบายใจ แต่กลับไม่กล้าแสดงสีหน้าอะไร ไม่กล้าพูดถึงสวีซื่ออวี้ แค่พูดถึงจิ่นเกอ “เมื่อวานบอกข้าว่าจะไปทานเนื้อแกะที่ตรอกข้างวัดเซียงกั๋ว หรือว่าเขาไปจริงๆ”
ไท่ฮูหยินได้ยินดังนั้นก็โล่งใจ นางยิ้มแล้วพูดกับสืออีเหนียง “ตรอกหยางฉัง เนื้อแกะที่นั่นอร่อยที่สุด”
ฮูหยินสองเหลือบมองเซี่ยงซื่อแล้วพูดด้วยรอยยิ้ม “เช่นนั้นก็ไม่ต้องรออวี้เกอแล้วกระมัง ในเมื่อสหายของเขามาหา บางทีอาจมาจากเล่ออานก็ได้ เดินทางมาไกล อวี้เกอก็คงต้องเลี้ยงอาหารเขา”
ทันทีที่นางพูดจบก็มีสาวใช้น้อยวิ่งเข้ามา “คุณชายน้อยสองบอกว่า มีสหายมาจากเล่ออาน ไม่คุ้นเคยกับเยี่ยนจิง เขาดูแลสหายเรียบร้อยแล้วจะรีบกลับมาเจ้าค่ะ บอกว่าไท่ฮูหยิน ฮูหยินสอง ฮูหยินสี่ คุณชายน้อยและคุณนายน้อยไม่ต้องรอเจ้าค่ะ”
“เช่นนั้นเราก็ไม่รอแล้ว” ไท่ฮูหยินยิ้มแล้วพูดกับฮูหยินสอง “ให้พวกนางจัดอาหารเถิด!”
ฮูหยินสองยิ้มแล้วขานรับ ทุกคนเดินล้อมรอบไท่ฮูหยินออกไปห้องปีกทิศตะวันออก
อิงเหนียงทานอาหารเย็นอย่างไม่สบายใจ จากนั้นก็ไปส่งสืออีเหนียงกลับเรือน
“เจ้าไม่สบายหรือ” สืออีเหนียงจับมืออิงเหนียง “หากไม่สบายใจก็พักผ่อนที่เรือนเถิด ช่วงนี้ก็ไม่ต้องมาคารวะ ประเดี๋ยวข้าไปพูดกับไท่ฮูหยินเอง”
“ข้าไม่เป็นไรเจ้าค่ะ” รู้จักกันมาระยะหนึ่งแล้ว อิงเหนียงรู้ว่าแม่สามีตัวเองเป็นคนไหวพริบดี ไม่กล้าบอกว่าตัวเองไม่สบาย ซ้ำยังไม่กล้าแสร้งทำเป็นไม่สบาย นางตอบกลับไปอย่างคลุมเครือ “หากพรุ่งนี้ยังไม่สบาย ข้าค่อยบอกท่านก็ได้”
สืออีเหนียงเห็นนางไม่ยอมพูดจึงไม่ถามต่อ แค่บอกว่าหากอิงเหนียงมีเรื่องอันใดก็ให้มาปรึกษานาง
อิงเหนียงขานรับ จากนั้นก็แยกย้ายกับสืออีเหนียงที่ประตูสวนดอกไม้หลังจวน
สวีซื่อเจี้ยจับมือนางแล้วพูดด้วยสีหน้าที่เคร่งขรึม “เกิดอะไรขึ้น ตั้งแต่พี่สองออกไปเจ้าก็เอาแต่ใจลอย แล้วยังไม่ยอมบอกท่านแม่!”
อิงเหนียงคิดว่าสวีซื่อเจี้ยเป็นสามีของนาง ไม่ใช่คนอื่น นางไม่ได้อยากปิดบังเขา จึงเล่าเรื่องราวให้เขาฟังด้วยเสียงเบา
สีหน้าของสวีซื่อเจี้ยเปลี่ยนไป “ทำเช่นนี้ได้อย่างไร หากวันนี้พวกเขาไม่กลับมา เกรงว่าคงปิดบังต่อไปไม่ได้แล้ว” เขาพูดต่ออีกว่า “ตอนนั้นทำไมเจ้าถึงไม่บอกข้า คนเยอะจะได้ไม่กลัว ให้ข้าได้ไปช่วยพี่สองก็ยังดี!” เขากำหมัดแน่น “ใครกันที่หยิ่งยโสขนาดนั้น ถึงแม้ว่าจิ่นเกอจะผิดแต่เขาก็ยังเด็ก จะยอมให้เขาไม่ได้อย่างนั้นหรือ”
“สถานการณ์เช่นนั้น ข้าจะบอกท่านได้อย่างไรเล่า!” อิงเหนียงพูดขึ้น “เรื่องนี้ ท่านห้ามบอกคุณชายน้อยสี่เด็ดขาดเลยนะเจ้าคะ”
“ข้ารู้” สวีซื่อเจี้ยพูดพร้อมฝีเท้าที่ฉับไวขึ้น “ข้าส่งเจ้ากลับเรือนก่อนแล้วจะไปเรือนชิงหยินจวี หากดึกเกินไป เจ้าก็ไม่ต้องรอข้ากลับเรือน!”
อิงเหนียงผลักตัวเขา “มีสาวใช้และป้ารับใช้อยู่กับข้า ท่านจะไปก็รีบไปเถิด มีข่าวอะไรก็อย่าลืมบอกข้านะเจ้าคะ ข้าจะได้ไม่เป็นห่วง”
สวีซื่อเจี้ยครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง “เช่นนั้นเจ้าระวังตัวด้วย หากมีข่าวอะไรข้าจะส่งคนมารายงานเจ้าทันที”
“รีบไปเถิดเจ้าค่ะ!” อิงเหนียงพยักหน้า
จากนั้นสวีซื่อเจี้ยก็วิ่งเหยาะๆ ออกไปจากประตูฉุยฮวา