ร้อยรักปักดวงใจ - ตอนที่ 707 ทิศทาง (ปลาย)
“ท่านโหว” สืออีเหนียงมองสวีลิ่งอี๋ด้วยสายตาที่เป็นห่วง “ฮ่องเต้หมายความว่าอย่างไรกัน ไม่เพียงแค่แต่งตั้งตำแหน่งขุนนางให้จิ่นเกอ แต่ยังแต่งตั้งให้เป็นถึงผู้บัญชาการฝ่ายดูแลสุสานของเชื้อพระวงศ์… “
“พวกเราไม่ใช่สกุลญาติของราชวงศ์หรืออย่างไรเล่า” เห็นได้ชัดว่าสวีลิ่งอี๋อารมณ์ดี เขาพูดหยอกล้อสืออีเหนียงก่อน จากนั้นก็พูดเบาๆ “ไม่เป็นไร ตอนนี้ไม่เหมือนก่อน ฮ่องเต้ทรงมองการณ์ไกล ข้าไม่ใช่คนที่ทำให้เขาหวาดกลัวอีกต่อไปแล้ว” พูดจบเขาก็หัวเราะเสียงดัง “ข้าคิดว่าฮ่องเต้คงมีเจตนาอื่น!”
มีเจตนาอื่น? เช่นนั้นก็หมายความว่าเขามีแผนการอื่น! แต่ไม่ว่ามันคือแผนการอะไร ใช้จิ่นเกอเป็นเหยื่อล่อเช่นนี้ พลอยทำให้คนรู้สึกว่ามันไม่ใช่เรื่องดี!
“ท่านโหวมองอะไรออกหรือเจ้าคะ” สืออีเหนียงพูดอย่างครุ่นคิด “ข้ามองอย่างไรก็มองไม่ออก!”
“เจ้ามองไม่ออกนั้นเป็นเรื่องปกติ” สวีลิ่งอี๋เอ่ยหยอกล้อนาง “หากเจ้ายังมองออก ถ้าอย่างนั้นฮ่องเต้จะจัดการเหล่าขุนนางในราชสำนักได้อย่างไรเล่า”
“หา?” สืออีเหนียงเลิกคิ้วอย่างงุนงง พูดหยอกล้อสวีลิ่งอี๋ “ฟังจากน้ำเสียงของท่านโหวแล้ว เหตุใดถึงฟังเหมือนกำลังชื่นชมตัวเองอย่างไรอย่างนั้น แม้แต่ขุนนางในราชสำนักเหล่านั้นยังมองไม่ออก แต่ท่านโหวของพวกเรากลับมองออก ท่านโหวของพวกเรานั้นช่างเก่งกาจเสียจริง!”
สวีลิ่งอี๋อดหัวเราะไม่ได้ เขากอดสืออีเหนียงแล้วพูดว่า “ปกติเห็นเจ้าเป็นคนฉลาด เหตุใดวันนี้ถึงไม่รู้อะไรเช่นนี้ เจ้าลองคิดดูดีๆ ว่าทำไมเรื่องนี้ถึงมีลับลมคมใน”
ลับลมคมใน?
สืออีเหนียงครุ่นคิด สีหน้าของนางเคร่งขรึมลง “หรือว่าฮ่องเต้อยากให้จิ่นเกออภิเษกสมรสกับองค์หญิงใหญ่?”
เจตนาของฮ่องเต้ ท่าทางนิ่งสงบของฮองเฮา…อีกทั้งอายุขององค์หญิง มีแค่เรื่องเดียวเท่านั้นที่สามารถอธิบายได้!
“เจ้าเดาถูกครึ่งหนึ่ง” สวีลิ่งอี๋ยิ้มแล้วพูดต่อไปว่า “เรื่องอภิเษกสมรสขององค์หญิงไม่ใช่เรื่องง่าย ยิ่งไปกว่านั้นองค์หญิงใหญ่เข้าร่วมพิธีขึ้นปิ่นปักผมแล้ว หากไม่รีบพูดเรื่องราชบุตรเขยก็คงจะช้าเกินไป แต่หากพูดว่าจะให้จิ่นเกออภิเษกสมรสกับองค์หญิงใหญ่ก็เกรงว่าอาจจะไม่ใช่!”
เรื่องที่เกี่ยวข้องกับความสุขในอนาคตของบุตรชาย สืออีเหนียงไม่รู้สึกตลกด้วย นางเร่งเร้าสวีลิ่งอี๋ “ท่านโหวรีบพูดให้ชัดเจนเถิดเจ้าค่ะ!”
“หากอยากให้จิ่นเกออภิเษกสมรสกับองค์หญิงใหญ่ เรื่องแรกคือต้องให้สกุลที่สนิทสนมกับเราแอบมาสอบถามเราก่อน ไม่เช่นนั้นถ้าหากจิ่นเกอของเราหมั้นหมายเอาไว้แล้วก็คงจะทำให้คนอื่นหัวเราะเยาะเอาได้ แต่ตอนนี้กลับไม่มีสัญญาณอะไรเลย ถ้าอย่างนั้นก็หมายความว่าเรื่องอภิเษกสมรสขององค์หญิงใหญ่ ฮ่องเต้ทรงมีแผนอื่นอยู่แล้ว” สวีลิ่งอี๋พูดอย่างช้าๆ “อาศัยองค์หญิงใหญ่ จิ่นเกอเลยสามารถเข้าออกพระราชวังตามอำเภอใจได้ เพราะสามารถเป็นเพื่อนเล่นกับองค์หญิงใหญ่ องค์หญิงใหญ่ผู้ฉุนเฉียวง่ายผู้นี้ก็จะให้ความสำคัญต่อบุตรชายของหย่งผิงโหวคนนี้เป็นพิเศษไม่ตำหนิติเตียนเขา ซ้ำยังแต่งตั้งตำแหน่งผู้บัญชาการฝ่ายดูแลสุสานของเชื้อพระวงศ์ให้กับเขา…เจ้าดูสิว่านี่คือความเมตตามากแค่ไหน… “
“ข้าเข้าใจแล้วเจ้าค่ะ!” ไม่รอให้สวีลิ่งอี๋พูดจบ สีหน้าของสืออีเหนียงก็มีความตื่นเต้นเล็กน้อย “พอคนอื่นเห็นว่าองค์หญิงใหญ่ได้รับความโปรดปรานเช่นนี้ หากกำลังหาราชบุตรเขยให้องค์หญิงใหญ่จริงๆ เช่นนั้นก็หมายความว่าชายผู้นั้นจะได้รับอำนาจมากมาย ฮ่องเต้กำลังสร้างความสำคัญให้กับงานอภิเษกสมรสขององค์หญิงใหญ่ ยิ่งไปกว่านั้นจวนของเรายังได้รับผลประโยชน์จากเรื่องพวกนี้ ยิงปืนนัดเดียวได้สองตัวจริงๆ!”
“ไม่เลว ไม่เลว!” สวีลิ่งอี๋แสร้งทำเป็นชื่นชมนาง “ในที่สุดเจ้าก็ฉลาดเสียที!”
“ท่านโหว!” สืออีเหนียงหัวเราะ “ท่านจริงจังหน่อยไม่ได้หรือ!” จากนั้นก็หุบยิ้มลง “เช่นนั้นจิ่นเกอจะทำอย่างไรเล่า ต้องส่งคนนำจดหมายไปเรียกเขากลับมาหรือไม่ แล้วยังจะต้องส่งจิ่นเกอไปเขตการทหารที่ชายแดนอยู่อีกหรือไม่”
“จิ่นเกอต้องกลับมารับพระราชโองการ เขาย่อมต้องกลับมาแน่นอน” สวีลิ่งอี๋พูดอย่างเคร่งขรึม “สำหรับเรื่องที่จะส่งจิ่นเกอไปยังเขตการทหาร” เขาครุ่นคิด “หากเรื่องการอภิเษกสมรสขององค์หญิงใหญ่เริ่มถูกตระเตรียมแล้ว ก็คงไม่เกี่ยวข้องอะไรกับจิ่นเกอแล้ว อีกอย่างฝ่ายดูแลสุสานของเชื้อพระวงศ์ไม่ต้องไปรายงานตัว ไม่วุ่นวาย เราควรทำอย่างไรก็ทำอย่างนั้นเถิด!” พูดถึงตรงนี้ น้ำเสียงของเขาก็เต็มไปด้วยความหนักแน่น “เรื่องนี้ข้าคิดหาวิธีเอง เจ้าไม่ต้องกังวลแล้ว”
สืออีเหนียงพยักหน้า “ข้าแค่กลัวว่าเขาได้รับตำแหน่งนี้แล้วจะว่างซะจนไม่มีอะไรทำ อาจจะทำให้เด็กดีคนหนึ่งติดเล่นสนุกจนเสียคนเอาได้!”
“ข้ารู้!” สวีลิ่งอี๋จับมือสืออีเหนียง “เจ้าวางใจเถิด การมอบปลาให้คนอื่น ย่อมไม่สู้สอนคนตกปลา ข้าคิดวางแผนในใจเอาไว้แล้ว”
สืออีเหนียงพลันรู้สึกโล่งใจ จากนั้นก็ไปที่เรือนของไท่ฮูหยินกับสวีลิ่งอี๋
ไท่ฮูหยินกำลังเล่าเรื่องเหตุการณ์วันนี้ให้ฮูหยินสอง เจียงซื่อและคนอื่นๆ ฟัง “…พวกเจ้าไม่เห็นสายตาของพวกเขา พวกเขาต่างก็หวังว่าตำแหน่งผู้บัญชาการจะตกใส่ตระกูลเขาบ้าง”
ทุกคนพากันหัวเราะ
อิงเหนียงพูดขึ้น “ท่านย่าเจ้าคะ ถ้าอย่างนั้นเราต้องจัดงานเลี้ยงฉลองกันแล้วกระมัง”
“ต้องฉลอง ต้องฉลอง!” ไท่ฮูหยินพยักหน้าซ้ำๆ “จิ่นเกอของเราช่างมีวาสนาเสียจริง ข้าจะได้ไม่ต้องเป็นห่วงเขาแล้ว” พอพูดถึงประโยคสุดท้ายก็ถอนหายใจออกมา
“ท่านแม่ต่างหากที่มีวาสนาเจ้าค่ะ” ฮูหยินสองปลอบใจไท่ฮูหยิน “คุณชายสาม คุณชายห้า ฉินเกอ จุนเกอก็ล้วนแต่ได้รับยศพระราชทาน ตอนนี้มีจิ่นเกอเพิ่มมาอีกคน สกุลเจริญรุ่งเรือง วันดีๆ ยังรอท่านอยู่ข้างหน้า!”
ไท่ฮูหยินพยักหน้าเบาๆ
สวีซื่อจุนที่อยู่ข้างๆ ได้ยินดังนั้นก็พูดขึ้นมา “ท่านย่า ข้าจะเขียนจดหมายไปบอกพี่สองประเดี๋ยวนี้ แล้วยังมีตรอกซานจิ่ง ต้องส่งคนไปรายงานพวกเขา เรื่องนี้เป็นเรื่องที่น่ายินดี!”
“ไม่ต้องใจร้อน!” เสียงสวีลิ่งอี๋ดังขึ้นมาในห้อง คนที่มัวแต่พูดคุยเรื่องจิ่นเกอพึ่งจะสังเกตเห็นเขากับสืออีเหนียง ต่างก็พากันลุกขึ้นย่อเข่าคำนับพวกเขาทั้งสองคน สวีลิ่งอี๋พยักหน้า นั่งลงบนเก้าอี้ไท่ซือข้างไท่ฮูหยินกับสืออีเหนียง “รอพระราชโองการก่อนแล้วค่อยว่ากันดีกว่า รับตำแหน่งต้องผ่านกระทรวงขุนนางภายใน ถึงแม้จะไม่ขัดพระดำรัสของฮ่องเต้แต่ก็มีพิธีรีตองที่ต้องปฏิบัติ”
“ดีเหมือนกัน!” ไท่ฮูหยินพูดเช่นนี้ แต่กลับบอกสืออีเหนียงว่า “เจ้ารีบไปสั่งทำชุดเครื่องแบบผู้บัญชาการขุนนางระดับสี่ให้จิ่นเกอเร็วเข้า หลังจากรับพระราชโองการแล้วก็ต้องเข้าไปกล่าวขอบพระทัยในพระราชวัง”
สืออีเหนียงยิ้มแล้วขานรับ “เจ้าค่ะ”
ไท่ฮูหยินกลับมาพูดถึงเรื่องที่จิ่นเกอถูกแต่งตั้งตำแหน่งอีกครั้ง “พระดำรัสของฮ่องเต้ในวันเฉลิมพระชนมพรรษา เราอยากจะปิดก็คงปิดไม่อยู่ จะว่าไปแล้วปีนี้จิ่นเกออายุแค่สิบสองปี ผู้บัญชาการที่อายุสิบสองปีเช่นนี้ ทั้งต้าโจวเขาน่าจะเป็นคนแรก” นางพูดด้วยสีหน้าอิ่มเอมใจ เห็นได้ชัดว่านางชอบพูดเรื่องนี้เป็นอย่างมาก “ถึงตอนนั้นเราไม่เพียงแต่ต้องจัดงานเลี้ยงใหญ่โต แล้วยังต้องเชิญคณะงิ้วสามคณะใหญ่ในเยี่ยนจิงมาร้องงิ้วด้วย…” พูดถึงตรงนี้นางก็ร้อง “อ้อ” แล้วหันไปพูดกับสืออีเหนียง “เตรียมเงินรางวัลห้าพันตำลึงมอบให้ทุกๆ คน ใช้เงินส่วนตัวของข้า…”
“ไม่จำเป็นต้องให้เยอะขนาดนั้นเจ้าค่ะ!” สืออีเหนียงตกใจเพราะเงินจำนวนนั้นค่อนข้างเยอะเกินไป “ไม่ต้องใช้เงินท่านแม่ เราออกกันเองก็ได้”
“เงินของพวกเจ้าก็คือของพวกเจ้า เงินของข้าก็คือของข้า” ไท่ฮูหยินไม่พอใจ “นี่คือรางวัลของข้า…”
ไท่ฮูหยินพูดอยู่ตรงนั้น แต่ฮูหยินห้ากลับเหม่อลอย
ถึงแม้ผู้บัญชาการที่อายุสิบสองปีจะมีไม่มาก แต่โลกกว้างใหญ่เช่นนี้ มีอะไรที่เราไม่รู้ตั้งมากมาย คนที่ได้รับตำแหน่งขุนนางระดับสี่ตอนอายุเท่าบุตรเขยของนางก็ไม่ได้มีคนเดียวเสียหน่อย
นางไม่ทันได้สังเกตว่าสีหน้าของตัวเองมีร่องรอยของความอิจฉา
*****
สกุลสวีกำลังรอรับพระราชโองการ สืออีเหนียงเอียงหูฟังเสียงการเคลื่อนไหวข้างนอก
ไม่กี่วันต่อมา สกุลจงซานโหว สกุลเจิ้นหนานโหวล้วนแต่ขอร้องให้คนไปถามเรื่องอภิเษกสมรสขององค์หญิงใหญ่จากฮองเฮา แม้แต่จวนติ้งกั๋วกงที่อ่อนน้อมถ่อมตนมาตลอดก็นั่งไม่ติด กั๋วกงฮูหยินมาหาสืออีเหนียงด้วยตัวเอง มาขอร้องให้สืออีเหนียงช่วยเป็นสะพานให้นาง
เรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่ นางปรึกษากับสวีลิ่งอี๋ “ข้าควรเข้าไปในพระราชวังหรือไม่เจ้าคะ”
“ไปสิ เหตุใดถึงไม่ไปเล่า!” สวีลิ่งอี๋ยิ้มพร้อมกับพูดว่า “หากเจ้าไม่ไป สกุลเจิ้งก็คงไม่พอใจเจ้า ยิ่งไปกว่านั้น เรื่องเช่นนี้เราตัดสินใจเองไม่ได้ จะได้หรือไม่ได้ล้วนแต่ขึ้นอยู่กับฮ่องเต้และฮองเฮา เจ้าก็แค่ไปช่วยพูดให้”
สืออีเหนียงยิ้มรับ หลังจากนั้นก็ยื่นป้ายชื่อขอเข้าไปในพระราชวัง
ฮองเฮากำลังพูดคุยกับหวงเสียนอิงอยู่บนเตียงหลัวฮั่นในเรือนหน่วนเก๋อ เมื่อเห็นสืออีเหนียงเดินเข้ามาก็บอกให้นางกำนัลยกเก้าอี้เข้ามาวางข้างเตียง “เจ้ามาได้เวลาพอดี! อีกสองวันก็จะประกาศพระราชโองการแล้ว จิ่นเกอจะกลับมาทันหรือไม่”
สืออีเหนียงนับวันดูแล้ว “น่าจะกลับมาทันเพคะ!”
“ถ้าอย่างนั้นอีกสิบห้าวันค่อยประกาศพระราชโองการดีกว่า!” ฮองเฮาแย้มยิ้ม “มีเวลาหน่อย จิ่นเกอจะได้ไม่ตื่นเต้น” นางพูด “หากเขากลับมาแล้ว เจ้าให้เขาเข้ามาในพระราชวังเถิด จะปีใหม่แล้ว ข้ามีของมอบให้เขา”
สืออีเหนียงกล่าวขอบพระทัยฮองเฮาแทนจิ่นเกอ
ฮองเฮายิ้มแล้วตรัสว่า “มาเร็วไม่สู้มาถูกเวลาพอดี ข้ากำลังเลือกคนที่เหมาะสมให้องค์หญิงใหญ่ เจ้าลองฟังดูว่าสกุลใดเหมาะสม” จากนั้นก็บอกให้หวงเสียนอิงพูดต่อ
สืออีเหนียงไม่มีโอกาสพูดจุดประสงค์ที่เข้ามาในพระราชวังของตัวเอง นางตั้งใจฟังหวงเสียนอิง
มีประมาณยี่สิบกว่าสกุล ล้วนแต่เป็นลูกหลานของสกุลขุนนาง เด็กสองสามคนก็โดดเด่นไม่น้อย
ฮองเฮาดูมีท่าทีพอใจ เมื่อหวงเสียนอิงพูดจบ นางก็ถามสืออีเหนียง “เจ้าคิดว่าข้าซื้อที่ดินหนึ่งหมื่นหมู่ที่หูก่วงให้องค์หญิงใหญ่เป็นสินเดิมดีหรือไม่ หรือว่าที่ซานตงดีกว่ากัน”
หนึ่งหมื่นหมู่…ใจใหญ่เสียจริง
“แต่ละที่ล้วนแต่มีข้อดี” สืออีเหนียงยิ้มแล้วพูดต่อไปว่า “หูก่วงคือดินแดนแห่งความอุดมสมบูรณ์ ส่วนซานตงคือดินแดนแห่งความเจริญรุ่งเรือง หม่อมฉันคิดว่าดีทั้งสองที่เพคะ!”
ฮองเฮาครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วตรัสว่า “เช่นนั้นที่หูก่วงดีกว่า คนเราจะไม่มีเสบียงอาหารไม่ได้”
ฟังจากน้ำเสียงแล้วราวกับคนสมัยใหม่พูดว่า ‘คนเราจะขาดแคลนเงินทองไม่ได้’
ทุกยุคทุกสมัยนั้นเหมือนกันไปหมด
สมัยโบราณไม่มีธนาคาร ไม่มีบริษัทประกัน มีเพียงแค่ที่ดินก็สบายใจแล้ว
หวงเสียนอิงรีบจดบันทึก
ฮองเฮาถามถึงจุดประสงค์ที่เข้ามาในวังของสืออีเหนียง
สืออีเหนียงเล่าให้นางฟังอย่างอ้อมค้อม
ฮองเฮาบอกให้หวงเสียนอิงบันทึกเอาไว้ จากนั้นก็พูดเรื่องสินเดิมขององค์หญิงใหญ่กับสืออีเหนียง เห็นว่าเริ่มสายแล้วเลยชักชวนนางให้ทานอาหารด้วยกัน จากนั้นก็ให้นางออกไปจากพระราชวัง
กลับมาถึงจวน ทันทีที่รถม้าหยุดแล่นหู่พั่วก็ตะโกนเสียงดัง “ฮูหยิน! คุณชายน้อยหกกลับมาแล้วเจ้าค่ะ”
สืออีเหนียงที่กำลังพักสายตาก็ตกใจ รีบเปิดม่านขึ้นมอง
หน้าประตูใหญ่ของจวนหย่งผิงโหวมีรถม้าสองสามคันจอดอยู่ ฉังอาน ผู้ติดตามของจิ่นเกอกำลังสั่งให้บ่าวรับใช้ขนย้ายหีบของ
“ฉังอาน!” หู่พั่วเอ่ยเรียกพลางขึ้นไปนั่งบนรถลาก
ฉังอานวิ่งเหยาะๆ เข้ามาคำนับนาง ไม่รอให้นางพูด เขาก็ชิงพูดขึ้นว่า”ตอนนี้คุณชายน้อยหกอยู่กับท่านโหวที่ห้องหนังสือขอรับ”
สืออีเหนียงลงมาจากรถม้าแล้วรุดหน้าไปยังห้องหนังสือทันที