ร้อยรักปักดวงใจ - ตอนที่ 678 เดิน (ต้น)
“หว่านเมล็ดข้าว ย่อมมีต้นกล้า” สวีลิ่งอี๋วางพู่กันในมือลง มองดูต้นหญ้าที่ราวกับเต้นระบำบนกระดาษด้วยความพึงพอใจ จากนั้นก็ยิ้มแล้วเงยหน้าขึ้นมาถามสืออีเหนียงที่อยู่ข้างๆ “ตั้งชื่อเขาว่า ’ถิง’ เจ้าคิดเห็นอย่างไร”
คำว่า ‘ถิง’ มีความหมายว่าสูงชะลูดเหยียดตรง บวกกับตัวอักษรคำว่า ‘ซั่ว’ ข้างหลัง ที่มีความหมายว่ามาก
“ดีเจ้าค่ะ!” สืออีเหนียงพยักเบาๆ “เป็นชื่อที่ดี!”
วันที่ยี่สิบหกเดือนเก้า เจียงซื่อคลอดบุตรชายคนโตอย่างราบรื่น
สวีลิ่งอี๋กำลังตั้งชื่อให้เขา
สวีลิ่งอี๋ได้ยินดังนั้น ก็หยิบกระดาษอีกแผ่นหนึ่งขึ้นมาเขียนคำว่า ‘ถิง’ จากนั้นก็เรียกเติงฮวาเข้ามา “นำไปให้คุณชายน้อยสี่!”
เพราะเจียงซื่อคลอดหลานชายคนโต ทุกคนในจวนจึงได้รับรางวัล ทุกคนล้วนแต่ปิติยินดี!
เติงฮวายิ้มแล้วขานรับ จากนั้นก็รีบเดินไปที่เรือนของสวีซื่อจุน
สวีลิ่งอี๋ปรึกษากับสืออีเหนียง “รอให้พิธีสรงสามของถิงเกอเสร็จสิ้นแล้ว ข้าจะออกไปข้างนอก”
สืออีเหนียงประหลาดใจ “ไม่รอให้ถึงพิธีครบเดือนของถิงเกอก่อนหรือเจ้าคะ”
“ไม่รอแล้ว!” สวีลิ่งอี๋พูด “หากรอให้ถึงพิธีครบเดือนจะสายเกินไป”
“ท่านโหวจะไปไหนหรือ”
“เดินทางผ่านเซวียนถงไปด่านหุบเขาจยาอวี้”
ด่านหุบเขาจยาอวี้คือพื้นที่ทางทหารที่สำคัญ ช่วงนี้สวีลิ่งอี๋ก็ออกไปเยี่ยมเยือนสถานที่เช่นนั้นอยู่บ่อยครั้ง ด้วยประสบการณ์ของสวีลิ่งอี๋ เขามักจะไปเดินเล่นสถานที่ที่เขาเคยสู้รบยามเป็นหนุ่มที่นำชื่อเสียงมาให้ตัวเองเพื่อระลึกความหลัง สืออีเหนียงเข้าใจเขาดี
“ท่านโหวระวังตัวด้วย” นางพูดต่ออีกว่า “นำองครักษ์และผู้ติดตามไปด้วยเยอะๆ ที่นั่นอยู่ห่างไกล หากเกิดอะไรขึ้นคงลำบาก”
“ไม่เป็นไร” สวีลิ่งอี๋ยิ้ม “ข้าจะเดินทางและพักที่สถานีส่งสารเหมือนครั้งก่อน” พูดจบ เขาก็ลังเลครู่หนึ่งแล้วพูดว่า “ครั้งนี้ข้าอยากให้จิ่นเกอไปกับข้าด้วย” เขาพูดต่อไปว่า “ไม่ค่อยมีโอกาสแบบนี้บ่อยๆ พาเขาไปเปิดหูเปิดตาเสียบ้าง”
การคมนาคมขนของสมัยโบราณไม่ได้พัฒนาเหมือนในสมัยปัจจุบัน ออกไปไหนก็ลำบาก บางคนทั้งชีวิตยังไม่เคยออกไปจากจวนของตัวเองเลยแม้แต่ครั้งเดียว โอกาสเช่นนี้ไม่ได้มีบ่อยจริงๆ
สืออีเหนียงเห็นด้วย
สวีลิ่งอี๋พูดกับนาง “วันที่พวกข้าไม่อยู่ที่จวน เจ้าปรึกษาเรื่องทำความสะอาดเรือนชิงหยินจวีลานนอกกับพ่อบ้านไป๋เถิด ต้องเพิ่มอะไรก็เพิ่ม ต้องซ่อมแซมอะไรก็ซ่อมแซม หลังจากขึ้นปีใหม่แล้ว ก็ย้ายของของจิ่นเกอออกไปเถิด”
เช่นนี้ จิ่นเกอก็จะออกไปจากอ้อมแขนของนางแล้ว
เพียงแค่คิดก็รู้สึกใจหายขึ้นมาทันที
นึกถึงตอนที่สวีซื่อเจี่ยนเป็นผื่น ฮูหยินสามให้เขาอยู่กับตัวเองตั้งหนึ่งปี สืออีเหนียงยังคิดว่าฮูหยินสามเป็นห่วงลูกมากเกินไป ตอนนี้มาถึงตัวเอง นางถึงได้เข้าใจความรู้สึกของฮูหยินสาม
“ข้ารู้แล้วเจ้าค่ะ”
เรือนชิงหยินจวีเป็นลานใหญ่ในลานนอก มีประตูทางเข้าสี่ประตู ประตูทางทิศตะวันตกของเรือนปีกทิศตะวันออกอยู่ห่างแค่ยี่สิบลี้ เข้าออกสะดวกสบาย
ยามบ่าย สืออีเหนียงพาหู่พั่วไปดูลาน
ประตูหน้าต่างของลานล้วนแต่สภาพดี แต่ทำความสะอาดไม่ค่อยดีเท่าไร ยังเต็มไปด้วยฝุ่นผง บวกกับการที่ไม่มีคนอยู่เป็นเวลานาน ทำให้บรรยากาศในลานดูวังเวง
“ปลูกดอกไม้ต้นไม้ก่อนดีหรือไม่เจ้าคะ” หู่พั่วพูดด้วยรอยยิ้ม “ฤดูใบไม้ผลิปีหน้าลานจะได้ดูคึกคัก เรือนจะได้ดูมีชีวิตชีวาเจ้าค่ะ”
“เจ้ากลัวว่าเขาย้ายเข้ามามันจะไม่คึกคักเช่นนั้นหรือ!” สืออีเหนียงหัวเราะ “ไม่ต้องพูดถึงเรื่องอื่น แค่นกเอยสุนัขเอยของเขา เกรงว่าลานนี้คงจะอยู่ไม่ได้กระมัง”
หู่พั่วได้ยินดังนั้นก็หลุดหัวเราะออกมา
แต่ไท่ฮูหยินกลับขมวดคิ้ว “ไม่รอให้ถึงพิธีครบเดือนของถิงเกอก็จะออกเดินทาง…ประเดี๋ยวก็จะปีใหม่แล้ว ไม่สู้ฉลองปีใหม่ก่อนแล้วค่อยไปดีกว่า!”
ตอนนี้ ความสุขของไท่ฮูหยินก็คือการไปหาถิงเกอ เหลนชายของตัวเอง
“ไปด่านหุบเขาจยาอวี้ช่วงฤดูหนาวถึงจะน่าสนใจขอรับ” สวีลิ่งอี๋ยิ้ม “รอให้ถึงฤดูใบไม้ผลิ เช่นนั้นมันก็ไม่สนุกแล้ว”
ไท่ฮูหยินเห็นบุตรชายตัวเองท่าทางแน่วแน่ จึงไม่พูดอะไรอีก
คนทางฝั่งของฮูหยินห้ากลับคึกคักขึ้นมา
“ข้าไปด้วย ข้าไปด้วยขอรับ” เซินเกอเดินอยู่ข้างมารดา “จิ่นเกอได้ออกไปตั้งหลายครั้งแล้ว แต่ข้ายังไม่เคยออกไปแม้แต่ครั้งเดียวเลย”
ช่วงนี้ฮูหยินห้ากำลังดูเรื่องแต่งงานให้ซินเจี่ยเอ๋อร์ แม้แต่เฉิงเกอ นางก็ไม่ได้สอนเขาอ่านหนังสือสองสามวันแล้ว
“ป้าสือ ลากคุณชายน้อยเจ็ดออกไป” นางกำลังปวดหัว
สวีลิ่งควนคิดว่าบุตรสาวของตัวเองยังเด็ก แต่ฮูหยินห้ากลัวว่าจะล่าช้า พวกเขาสองคนความเห็นไม่ตรงกัน คนที่มาสู่ขอก็ไม่มีสกุลที่ถูกใจ บางสกุลก็ร่ำรวยไม่พอ แม่สามีอายุน้อยเกินไป ฝ่ายชายหน้าตาไม่หล่อเหลา… นางกำลังคิดว่าจะให้สืออีเหนียงช่วยดูให้ สหายมากขึ้น หนทางก็ยิ่งมากขึ้น!
เซินเกอกอดขาโต๊ะไม่ยอมปล่อย “ข้าจะไปด้วย จะไปด้วย!…หากท่านไม่ให้ข้าไป ข้าจะไปฟ้องท่านตา”
ฮูหยินห้าปวดหัว “ท่านลุงสี่ของเจ้าไปด่านหุบเขาจยาอวี้ ไม่ได้ไปเจียงหนาน ที่นั่นมีแต่ลมทะเลทราย แล้วยังมีชนเผ่าหูจำนวนมาก ระวังจะถูกลักพาตัวไปขาย”
เซินเกอไม่สนใจ “จิ่นเกอไปได้ ข้าก็ไปได้ขอรับ”
“ท่านลุงของเจ้าพาจิ่นเกอไปด้วยก็มากพอแล้ว จะพาไปด้วยอีกคนไม่ได้”
“ข้าพาองครักษ์ของท่านตาไปด้วยก็ได้”
สองแม่ลูกเถียงกันจนหน้าแดงก่ำ สวีลิ่งควนกลับมาพอดี
“พี่สี่จะไปด่านหุบเขาจยาอวี้อย่างนั้นหรือ!” เขาท่าทางตื่นเต้นกว่าเซินเกอเสียอีก “ตอนนั้นข้าก็อยากไปแต่ท่านแม่ไม่ให้ไป ข้าเลยไม่ได้ไป” พูดจบก็อุ้มเซินเกอขึ้นมา “ไปบอกท่านลุงสี่ของเจ้าว่าเราไปด้วย!”
เซินเกอกระโดดขึ้นมาตะโกนเสียงดัง
ฮูหยินห้าทำอะไรไม่ได้ สามีของตัวเองไปด้วย ไม่มีอะไรต้องเป็นห่วง
ไท่ฮูหยินเลือกวันมงคลด้วยตัวเอง พวกเขาสองคนพาจิ่นเกอและเซินเกอออกเดินทางไปจากเยี่ยนจิง
สวีซื่อจุนดูแลเรื่องลานนอก สืออีเหนียงวุ่นวายอยู่กับการจัดเรือนใหม่ให้จิ่นเกอ ร่วมงานเลี้ยงวันเฉลิมพระชนมพรรษา มอบของขวัญปีใหม่ ซื้อของปีใหม่ ส่วนฮูหยินห้ายุ่งอยู่กับการหาสามีให้ซินเจี่ยเอ๋อร์ ไท่ฮูหยินไปหาถิงเกอทุกวัน บางครั้งก็บอกให้อิ๋งอิ๋งที่ไปคารวะนางอยู่เป็นเพื่อนนาง เวลาผ่านไปถึงเดือนสิบสองอย่างรวดเร็ว
สวีลิ่งควนและเซินเกอกลับมาแล้ว แต่กลับไม่เห็นสวีลิ่งอี๋และจิ่นเกอ
“ฟั่นเหวยกังบอกให้พี่สี่อยู่ที่เซวียนถงต่อขอรับ” สวีลิ่งควนพูด “แต่ข้ายังมีธุระ จึงพาเซินเกอกลับมาก่อน”
“พวกเขาไม่กลับมาฉลองปีใหม่ที่จวนหรือ” สืออีเหนียงตกใจ
“ดูเหมือนจะไม่กลับมาแล้ว” สวีลิ่งควนยิ้มให้สืออีเหนียงอย่างกระอักกระอ่วนใจ
“คุณชายสี่คนนี้ พิธีครบเดือน พิธีครบหนึ่งร้อยวันของถิงเกอไม่อยู่ที่จวนยังไม่พอ แล้วยังจะฉลองปีใหม่ข้างนอกอีก” ไท่ฮูหยินไม่พอใจ “เหตุใดเจ้าถึงไม่เกลี้ยกล่อมพี่สี่ของเจ้า”
“ข้าเกลี้ยกล่อมแล้วขอรับ!” สวีลิ่งควนทวงความยุติธรรม “แต่พี่สี่ไม่ฟังข้าเลย!”
ไท่ฮูหยินไม่พูดอะไรอีก นางเรียกสวีซื่อจุนเข้ามา “เรื่องในจวน คงต้องรบกวนเจ้าแล้ว” นางครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง “หากมีอะไรไม่เข้าใจก็ถามท่านแม่ของเจ้า”
สวีซื่อจุนตอบรับขอรับด้วยความเคารพ รู้สึกว่าตัวเองมีเรื่องที่ต้องรับผิดชอบมากมาย เขาเป็นกังวลอย่างมาก แค่เรื่องเล็กๆ น้อยๆ ก็ต้องมาถามสืออีเหนียง กลัวว่าตัวเองจะทำผิด สืออีเหนียงพลันนึกถึงยงอ๋อง ถือโอกาสตอนที่สวีซื่อจุนมาคารวะตัวเอง เรียกพ่อบ้านไป๋เข้ามา “ใกล้จะปีใหม่แล้ว ตอนที่ท่านโหวออกไปเขาได้พูดเรื่องสำคัญอะไรไว้หรือไม่”
“ไม่มีขอรับ!” พ่อบ้านไป๋เองก็คิดถึงเรื่องนี้เหมือนกัน “คนอื่นนั้นเตรียมการได้ง่าย แต่ไม่รู้ว่าควรส่งของขวัญปีใหม่อะไรให้ยงอ๋องขอรับ!”
สืออีเหนียงมองไปที่สวีซื่อจุน
สวีซื่อจุนรู้เรื่องที่ยงอ๋องยืมเงิน เขาครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วพูดว่า “หรือว่า เราแอบส่งเงินไปให้เขาดี?”
สืออีเหนียงพยักหน้าเบาๆ นางถามพ่อบ้านไป๋ “เจ้าช่วยเตรียมเงินสองพันตำลึงให้ข้าเถิด”
พ่อบ้านไป๋เข้าใจในทันที “บ่าวจะไปเตรียมประเดี๋ยวนี้ขอรับ”
สืออีเหนียงพูดกับสวีซื่อจุน “เมื่อข้านำของขวัญปีใหม่ไปมอบให้จวนยงอ๋อง ข้าจะนำเงินไปให้ยงอ๋องเฟย”
สวีซื่อจุนพยักหน้า เมื่อกลับเรือนตอนเย็น เขาก็พูดกับเจียงซื่อเบาๆ
แม่นมเลี้ยงลูกให้นาง เจียงซื่อที่พึ่งจะคลอด รูปร่างเริ่มกลับมาเป็นปกติเล้ว ได้ยินเช่นนี้นางก็เป็นกังวล “ในเมื่อท่านพ่อไม่ได้บอกอะไร เราทำเช่นนี้ จะดูสนิทสนมกับยงอ๋องมากเกินไปหรือไม่ หากเดือดร้อนเพราะยงอ๋องจะทำเช่นไร”
“คงไม่เป็นอะไรหรอก” สวีซื่อจุนไม่เคยคิดเรื่องนี้มาก่อน เขาคิดว่าในเมื่อทุกคนเป็นญาติกัน ก็ต้องดูแลกัน สกุลตนไม่ได้ขาดแคลนเงินพวกนี้ อีกทั้งท่านแม่ก็เป็นคนตัดสินใจเรื่องนี้ เขาเลยไม่เคยคิดว่ามันไม่เหมาะสม แต่เมื่อนึกถึงวันก่อน หากไม่ใช่เพราะเจียงซื่อเตือนเขา ท่านพ่อก็คงไม่มีทางให้อภัยเขาเร็วเช่นนี้ เขาคิดว่าภรรยาของตัวเองพูดจามีเหตุผลจึงอดไม่ได้ที่จะลังเล
เจียงซื่อก็แค่พูดออกมาเฉยๆ แต่พอเห็นสวีซื่อจุนลังเล นางก็ตั้งใจคิดอย่างรอบคอบ
หากยงอ๋องเป็นท่านอ๋องที่ซื่อสัตย์ ไท่จื่อขึ้นครองราชย์ เขาก็จะกลายเป็นท่านอ๋องที่สูงส่ง สนิทสนมกับเขา มีแต่เรื่องดี ไม่มีอะไรเลวร้าย แต่หากยงอ๋องคิดจะทำอะไร…
แล้วอีกอย่าง เรื่องที่แอบนำเงินไปมอบให้ยงอ๋อง พ่อสามีไม่ได้บอกก่อนล่วงหน้า
เจียงซื่อแค่คิดก็รู้สึกกลัว “ท่านไม่ต้องกังวล ข้าจะเขียนจดหมายไปให้ท่านพ่อ ดูว่าท่านพ่อว่าเช่นไร” นางช่วยสวีซื่อจุนคิด
สวีซื่อจุนพยักหน้า
ไม่กี่วันต่อมา ฮูหยินของเจียงไป่ก็อ้างว่ามาเยี่ยมบุตรสาว ไล่สาวใช้ออกไปแล้วพูดคุยกับเจียงซื่อในห้องสองต่อสอง
“ท่านพ่อและท่านลุงของเจ้าคิดเหมือนกัน บอกให้เจ้าอยู่ห่างจากคนในพระราชวังเอาไว้ ฮ่องเต้กำลังมีอำนาจ วันของเขายังอีกยาวไกล ทำอะไรตอนนี้ ไม่ใช่เวลาที่เหมาะสม”
เจียงซื่อเล่าเรื่องนี้ให้สวีซื่อจุนฟัง บอกให้เขาไปบอกสืออีเหนียง “ท่านแม่อยู่ลานใน ท่านพ่อก็ไม่อยู่ที่จวน เรื่องของราชสำนักเปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลา ระวังตัวเอาไว้ดีกว่าเจ้าค่ะ”
“ท่านโหวและยงอ๋องเป็นน้าชายกับหลานชายกัน เกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้น ไม่มาขอความช่วยเหลือคงไม่เป็นไร แต่ในเมื่อเขามาแล้ว ท่านพ่อคิดหาวิธีหาเงินมาให้เขา ใกล้จะปีใหม่แล้ว เราก็ควรไปหาเขา เราไม่มีเงินมากกว่านี้ แต่เงินหนึ่งสองพันตำลึงยังพอมี ถึงแม้ฮ่องเต้จะรู้ ก็คงจะไม่ว่าอะไร!”
สวีซื่อจุนคิดว่ามันสมเหตุสมผล เขาจึงกลับไปบอกเจียงซื่อ
เจียงซื่อยิ้มอย่างขมขื่น “เช่นนั้น เราก็ต้องไปหาไท่จื่อด้วยใช่หรือไม่เจ้าคะ ข้าได้ยินมาว่า ไท่จื่อเฟยสนิทสนมกับท่านแม่เป็นอย่างมาก ตอนนี้เกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้น ถึงเช่นไรก็ต้องเล่าให้ไท่จื่อเฟยฟังเจ้าค่ะ!”
สวีซื่อจุนไปเตือนสืออีเหนียงอ้อมๆ
สืออีเหนียงยิ้มแล้วพูดว่า “ข้าไปหาไท่จื่อเฟยมาแล้ว”
นางพูดกับหู่พั่วเป็นการส่วนตัว “สกุลเจียงเลี้ยงดูเจียงซื่อมาเป็นอย่างดี”
หู่พั่วไม่กล้าพูดวิพากษ์วิจารณ์ นางเพียงพูดถึงจดหมายที่มาจากอวี๋หัง “คุณหนูใหญ่จะออกเดินทางหลังเทศกาลโคมไฟ ปลายเดือนสองก็คงจะมาถึงแล้วเจ้าค่ะ ท่านคิดว่า จะให้คุณหนูใหญ่พักที่ไหนดีเจ้าคะ”