ร้อยรักปักดวงใจ - ตอนที่ 672 ความเคลื่อนไหว (ต้น)
คำพูดของหยวนเป่าจู้นั้นมีเหตุผล นางพึ่งจะเข้าจวนมา ต่อไปยังมีสิ่งที่ต้องใช้จ่ายอีกเยอะ การใช้หนังจิ้งจอกทำหมวกให้ท่านพ่อสามีและน้องหกนั้นเป็นสิ่งที่พิเศษมาก แต่หากเป็นเช่นนี้ เมื่อถึงงานวันเกิดของไท่ฮูหยินหรือวันเกิดของท่านพ่อท่านแม่สามี แล้วตัวเองจะเอาอะไรมามอบให้
เจียงซื่ออดกังวลไม่ได้ แต่สวีซื่อจุนกลับยิ้มพลางบอกไม่ให้นางเป็นห่วงเกี่ยวกับเรื่องนี้อยู่ทุกครั้ง ส่วนเรื่องอื่นก็ไม่ได้พูดอะไรอีก พอให้สาวใช้ไปแอบสืบมา สาวใช้ก็กลับมารายงานว่าหลายวันมานี้สวีซื่อจุนไม่ได้อยู่เรือนนอก เรื่องในเรือนก็มอบหมายให้พ่อบ้านไป๋เป็นคนดูแล พ่อบ้านไป๋ก็ไม่รู้ว่าเขากำลังทำอะไร
เขากำลังทำอะไรอยู่กันแน่
เจียงซื่อเริ่มกังวลขึ้นมา ในเทศกาลบ๊ะจ่างจะต้องนำของขวัญไปมอบให้พอดี นางจึงขออาสาตัวกับสืออีเหนียง “ให้ข้าเป็นคนไปที่ตรอกซานจิ่งเถิดเจ้าค่ะ!”
ฮูหยินสามล้มป่วยอีกแล้ว
สืออีเหนียงไปเยี่ยมครั้งหนึ่ง แล้วก็ไม่ได้ไปหาอีกเลย
นอนป่วยอยู่บนเตียงเป็นเวลานานก็ไม่มีบุตรคอยปรนนิบัติอยู่หน้าเตียง นางสามวันสี่วันไข้เช่นนี้ ทุกคนต่างรู้อยู่แก่ใจดีว่านางไม่ได้ป่วยจริงๆ บางครั้งก็เลยแสร้งทำเป็นไม่รู้เรื่อง แสร้งตามน้ำไป
“เจ้ากำลังตั้งครรภ์อยู่” สืออีเหนียงปฏิเสธโดยไม่ต้องคิด “ให้พี่สะใภ้สองของเจ้าไปเถิด!”
“ไม่เป็นไรเจ้าค่ะ” เจียงซื่อยิ้มแล้วพูดว่า “ร่างกายข้าแข็งแรงดี! พี่สะใภ้สองต้องไปตรอกกงเสียน แล้วยังต้องไปหาท่านป้าสี่ แล้วก็ท่านป้าห้า…”
นางคงอยากจะออกไปสูดอากาศข้างนอกกระมัง!
ตั้งแต่เจียงซื่อตั้งครรภ์ สวีซื่อจุนก็ไม่ให้นางทำโน่นทำนี่ หากไม่ใช่เพราะสะใภ้ว่านบอกว่าหากเป็นเช่นนี้จะทำให้คลอดบุตรยาก เกรงว่าวันๆ สวีซื่อจุนก็คงจะให้เจียงซื่อนอนอยู่บนเตียงอย่างเดียวถึงจะพอใจ
“ถ้าอย่างนั้นเจ้าไปเถิด!” สืออีเหนียงยิ้มแล้วพูดว่า “แต่ต้องระวังให้มาก อย่าให้กระทบกับครรภ์”
เจียงซื่อขานรับด้วยความดีใจ “เจ้าค่ะ” แล้วมุ่งหน้าไปที่ตรอกซานจิ่ง
จินซื่อกำลังเล่นอยู่กับเด็กทั้งสองคนอยู่ที่ลาน บรรดาบ่าวรับใช้ต่างก็ยืนปรนนิบัติอยู่ข้างๆ ด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม แม้ว่าจะไม่ได้มีเสียงหัวเราะดังๆ แต่ก็ไม่ได้มีร่องรอยของความโศกเศร้า เห็นได้ชัดว่าทุกคนไม่คิดว่าฮูหยินสามป่วยจริงๆ
เมื่อเห็นเจียงซื่อ จินซื่อก็ให้เด็กทั้งสองคนเข้ามาคารวะนาง จากนั้นก็เชิญนางไปนั่งในห้อง
“พี่สะใภ้ใหญ่กำลังปรนนิบัติท่านแม่สามีอยู่ในห้อง ดูจากเวลา คาดว่าคงใกล้จะออกมาแล้ว” จินซื่อพูดพลางยกชาร้อนให้นางด้วยตัวเอง
ทุกครั้งเมื่อมีเรื่องอันใดเกิดขึ้น หากฮูหยินสามเสียเปรียบฟังซื่อ ก็จะแกล้งป่วยให้ฟังซื่อคอยปรนนิบัติ นี่เป็นความลับที่ถูกเผยแพร่ในจวน ไม่ว่าใครก็ไม่สามารถพูดอะไรได้
“เช่นนั้นข้าก็ไปคารวะท่านป้าสะใภ้สามด้วยดีกว่า!” เจียงซื่อลุกขึ้นมา
“ท่านกำลังตั้งครรภ์ รอให้แม่สามีข้าหายป่วยก่อนแล้วค่อยไปเถิด!” จินซื่อรั้งนางไว้
แม้ว่าจะเป็นการป่วยปลอมๆ แต่สิ่งที่ควรทำก็ต้องทำ นางกำลังตั้งครรภ์ ไม่เหมาะที่จะไปเยี่ยมผู้ป่วย
เจียงซื่อไม่ได้ยืนกรานอีกต่อไป พูดคุยเรื่องทั่วไปกับจินซื่อ “ข้าได้ยินท่านพี่บอกว่าน้องสามถูกย้ายไปอยู่ที่กองปัญจทิศรักษานครแล้วหรือ ได้ไปเข้ารับตำแหน่งแล้วหรือยัง”
“จะไปเข้ารับตำแหน่งหลังจากฉลองเทศกาลวันไหว้บ๊ะจ่างแล้ว” เมื่อได้ยินเจียงซื่อถามเช่นนั้น จินซื่อพูดพลางยิ้มจนดวงตาเป็นรูปจันทร์เสี้ยว “เป็นผู้บัญชาการของกองกองปัญจทิศรักษานครฝ่ายใต้ แม้ว่าจะเป็นเพียงขุนนางระดับหก แต่ก็นับว่าเป็นตำแหน่งที่ดี ไม่เหมือนกับอยู่ในวัง ฟังดูยิ่งใหญ่ แต่กลับต้องคอยฟังคำสั่งจากคนอื่น” ท่าทางรู้สึกเป็นเกียรติ เมื่อนึกได้ว่าเจียงซื่อเป็นลูกสะใภ้เอกของจวน ก็ยิ้มแล้วพูดว่า “จะว่าไปแล้วท่านพี่ของข้าก็ได้รับความโชคดีมาจากท่านอาสี่ หากไม่ใช่เพราะมีความสัมพันธ์นี้ มีคนมากมายที่ต้องการตำแหน่งนี้ ลำพังแค่ตำแหน่งขุนนางชั้นสูงของเขาคนเดียวจะสามารถเบิกทางท่านพี่ให้เข้ารับตำแหน่งนี้ได้อย่างไร เพียงแต่ว่าสองวันนี้ท่านพี่กำลังทำเรื่องซื้อขายอยู่ ทั้งยังต้องเลี้ยงขอบคุณสหายร่วมงาน ยุ่งวุ่นวายเป็นอย่างมาก เห็นว่าท่านอาสี่เป็นครอบครัวเดียวกัน ดังนั้นจึงวางแผนเอาไว้ว่าจะไปคารวะไท่ฮูหยินกับท่านอาสะใภ้สี่ในอีกสองวัน”
เจียงซื่อรู้ว่าจินซื่อพูดด้วยความเกรงใจ
แม้ว่าการได้รับตำแหน่งของสวีซื่อเจี่ยนเป็นเพราะความมีหน้ามีตาของสวีลิ่งอี๋ แต่ถ้าหากสวีซื่อเจี่ยนไม่รู้จักปฏิบัติตน คนในเรือนก็คงไม่เห็นแก่หน้าเช่นนี้ ตอนที่เรื่องนี้แพร่มาถึงจวนหย่งผิงโหว สวีลิ่งอี๋เองยังรู้สึกประหลาดใจ ยิ้มพลางพูดว่า ‘เจ้าเด็กคนนี้ ไม่เลวเลยทีเดียว’
“นั้นเป็นเพราะว่าน้องสามมีความสามารถ” ขณะที่เจียงซื่อกำลังพูด ก็มีคนเปิดผ้าม่านแล้วเดินเข้ามา ยิ้มแล้วพูดว่า “กำลังพูดว่าใครมีความสามารถหรือ”
เมื่อเจียงซื่อเงยหน้าขึ้นก็เห็นหญิงสาวคนหนึ่งรูปงามราวกับหยก สวมเสื้อแขนยาวสีเหลือง สวมเสื้อกั๊กยาวสีเขียวเข้มเดินเข้ามา
“พี่สะใภ้ใหญ่!” นางยิ้มพลางเข้าไปคำนับ สะใภ้ทั้งสามคนนั่งลงพูดคุยกัน เมื่อรู้ว่าเจียงซื่อนำของขวัญมามอบให้ ฟังซื่อก็พานางไปตรวจรายการของขวัญที่หลังจวน
ท่านแม่สามีไม่ได้บอกว่าเรื่องนี้ปล่อยให้บ่าวรับใช้ที่ตามรถม้ามาด้วยเป็นคนจัดการก็พอแล้วหรอกหรือ
หรือว่าท่านป้าสะใภ้สามคิดอยากจะทรมานพี่สะใภ้ใหญ่จึงได้คิดวิธีนี้ขึ้นมา
เจียงซื่อรู้สึกเป็นห่วงอยู่ในใจ ไปที่หลังจวนกับฟังซื่อ
ฟังซื่อกลับลากนางไปที่ห้องเอ่อร์ฝังที่อยู่ด้านข้าง
“พูดมาเถิด เจ้ามาหาข้าที่นี่มีเรื่องอันใด” นางยิ้มพลางนั่งลงบนเตียงหลัวฮั่นข้างเจียงซื่อ
เจียงซื่อมองฟังซื่อด้วยความประหลาดใจ
ฟังซื่อยิ้ม “เจ้ากำลังตั้งครรภ์อยู่แต่ก็ยังนำของขวัญมาส่งให้พวกเรา หากไม่ใช่มีเรื่องต้องการมาหาข้าแล้วจะเป็นอะไรได้อีก รีบพูดมาเถิด เกิดอะไรขึ้นกันแน่”
เจียงซื่อยิ้มอย่างลำบากใจ
ตั้งแต่วันนั้นที่ฟังซื่อช่วยแก้ไขสถานการณ์ให้สวีซื่อจุน นางก็รู้สึกประทับใจต่อฟังซื่อ หลังจากได้ไปมาหาสู่กันอยู่หลายครั้ง ก็ยิ่งรู้สึกว่าฟังซื่อเป็นคนใจกว้างและตรงไปตรงมา เข้ากับนางเป็นอย่างมาก ทั้งสองคนค่อยๆ สนิทสนมกันมากขึ้น
เดิมทีนางแค่อยากจะออกมาเดินเล่น จะได้พักผ่อนหย่อนใจด้วย การที่ฟังซื่อพูดออกมาอย่างสบายๆ เช่นนี้ หากนางไม่เล่าให้ฟังก็จะทำให้ดูอึดอัดเล็กน้อย
เจียงซื่อเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นในช่วงนี้ให้ฟังซื่อฟังอย่างอ้อมค้อม
ฟังซื่อปิดปากหัวเราะ “นี่ยังไม่ชัดเจนอีกหรือ ในเมื่อแม้แต่ท่านอาสะใภ้สี่ ท่านอาสี่ก็ยังไม่อยากให้รู้ เกรงว่าท่านอาสองจะไปได้ข่าวนี้มาจากที่อื่น ซ้ำยังเพียงแค่บอกว่าอาจจะกลับมาตอนฤดูหนาว เจ้าไม่ต้องเป็นกังวล รออีกสักหน่อยแล้วค่อยว่ากันเถิด”
“จริงด้วย!” เจียงซื่อตาเป็นประกาย “เหตุใดข้าถึงได้เลอะเลือนแบบนี้” นางสีหน้าผ่อนคลาย “ต่อให้ท่านพ่อสามีกลับมาตอนฤดูหนาว เมื่อพวกเขากลับมาแล้วข้าค่อยส่งพวกสมุนไพรไปให้ท่านพ่อสามีกับน้องหกบำรุงร่างกายก็ยังไม่สาย!”
นางจับมือฟังซื่อ “ขอบคุณพี่สะใภ้ใหญ่ที่ช่วยชี้แนะให้ข้า”
จะพูดหรือทำสิ่งใดก็ต้องอยู่ในขอบเขต หากใกล้เกินไปจะทำให้คนรังเกียจ หากไกลเกินไปจะทำให้คนขุ่นเคือง
“ข้าเห็นเจ้าเป็นสะใภ้ที่พึ่งเข้าจวนมาใหม่ ยิ่งอยากจะทำผลงานให้ดีเท่าไรก็ยิ่งกังวลเรื่องกำไรและขาดทุน” ฟังซื่อยิ้มพลางเปลี่ยนหัวข้อสนทนา “คิดออกหรือยังว่าปีนี้จะฉลองเทศกาลไหว้บ๊ะจ่างอย่างไร”
“ได้ยินมาว่าอยากจะจัดงานเลี้ยงที่ห้องโถงบุปผา” บางเรื่องก็ไม่สามารถพูดลึกลงไปได้ เจียงซื่อยิ้มพลางพูดคุยเรื่องทั่วไปกับฟังซื่อ
มีสาวใช้น้อยเข้ามารายงานว่า “คุณนายน้อยใหญ่ คุณชายน้อยใหญ่บอกว่าจะกลับมาในอีกสองวัน ให้บ่าวรับใช้นำของบางอย่างกลับมาให้ท่านเจ้าค่ะ”
เจียงซื่อได้ฟังดังนั้นก็ชะงักไปครู่หนึ่ง “พี่ใหญ่ไม่ได้อยู่ที่เรือนหรอกหรือ”
ฟังซื่อยิ้มแล้วพูดว่า “พี่ใหญ่ของเจ้าอยู่ที่เรือนก็ไม่มีอะไรทำ ฤดูใบไม้ผลิปีที่แล้วข้าได้มอบที่ดินที่เป็นสินเดิมของข้าให้พี่ใหญ่ของเจ้าดูแล พี่ใหญ่ของเจ้ารับรายได้สี่ครั้งต่อปี บางครั้งก็ขายโน่นซื้อนี่หรือไม่ก็ขายนี่ซื้อโน่น ทำกิจการค้าขายเล็กๆ น้อยๆ เพื่อนำมาใช้จ่ายในจวน” ฟังดูถ่อมตน แต่ดูการใช้เงินอย่างใจกว้างของฟังซื่อ เกรงว่าการค้าขายเช่นนี้ก็คงจะทำกำไรได้ไม่น้อยเลย
เจียงซื่อใบหน้าเปื้อนยิ้ม บ่าวรับใช้ยกกล่องสีแดงลายทองเข้ามา
“คุณชายน้อยใหญ่บอกว่านี่เป็นสิ่งที่มอบให้ท่าน ส่วนของนายท่าน นายหญิง คุณชายน้อยสาม คุณนายน้อยสามและคนอื่นๆ จะมาพร้อมรถม้าทีหลังของรับ”
ฟังซื่อถามบ่าวรับใช้ผู้นั้นว่า “เหตุใดคุณชายน้อยใหญ่ถึงไม่ได้กลับมากับเจ้า”
บ่าวรับใช้ยิ้มแล้วพูดว่า “คุณชายน้อยใหญ่ยังมีอีกสองบัญชีที่ยังไม่ได้รวบรวม แต่ก็กลัวว่าคุณนายน้อยใหญ่จะเป็นห่วงก็เลยให้ข้าน้อยกลับมารายงานคุณนายน้อยใหญ่ก่อนขอรับ”
ฟังซื่อวางใจ ให้เงินเป็นรางวัลแก่บ่าวรับใช้ผู้นั้น เมื่อเงยหน้าขึ้นมาก็เห็นว่าเจียงซื่อกำลังยิ้มให้นาง นางหน้าแดงพลางอธิบายว่า “พี่ใหญ่ของเจ้าก็เป็นเช่นนี้มาตั้งแต่ไหนแต่ไร”
เจียงซื่อมองไปที่กล่องใบนั้นแล้วยิ้ม ฟังซื่อทำหน้าไม่ถูก
“ไอ๊หยา! เทียบไม่ได้เลยกับที่น้องสี่ทำโคมไฟให้น้องสะใภ้สี่ทุกวัน”
เจียงซื่อเองก็หน้าแดงเช่นกัน
ทั้งสองคนพูดหยอกล้อกัน เมื่อเห็นว่าล่วงเลยเวลามามากแล้ว เจียงซื่อจึงเดินทางกลับเหอฮวาหลี่
สวีซื่อจุนกำลังพูดคุยอยู่กับหวังซู่ เมื่อเห็นนางเข้ามาก็พูดเพียงแค่ว่า “ซื้อกลับมาหนึ่งร้อยผืน” จากนั้นก็ยิ้มพลางเข้าไปต้อนรับ “นั่งรถม้าเป็นเวลานาน เจ้าเมื่อยหรือไม่” สำรวจดูนางตั้งแต่หัวจรดเท้า
“ข้าสบายดีเจ้าค่ะ” ขณะที่เจียงซื่อกำลังพูด สายตาของนางก็จับจ้องไปที่หวังซู่ที่กำลังถือผ้าไหมแก้วสีเหลืองหนึ่งม้วน “เหตุใดวันนี้ท่านพี่ถึงกลับมาเร็วเช่นนี้ เรือนนอกไม่มีเรื่องอันใดหรือ”
ช่วงนี้สวีซื่อจุนกลับมาค่อนข้างเร็ว
“อ้อ เรือนนอกมีพ่อบ้านไป๋คอยดูแลอยู่!” สวีซื่อจุนตอบอย่างไม่ใส่ใจ พยุงนางไปนั่งที่เตียงเตาริมหน้าต่าง “ข้าให้หวังซู่ไปซื้อผ้าไหมแก้วมาหลายๆ ผืน”
“ซื้อผ้าไหมแก้วมาทำอะไร” เจียงซื่อยิ้มแล้วพูดว่า “ในห้องเก็บของนั้นข้ายังพอมีอยู่ หากท่านพี่จะใช้ ข้าจะให้ป้าหยวนไปเอามาให้ท่าน เหตุใดต้องไปซื้อด้วยเล่า”
เจียงซื่อแสร้งทำเป็นไม่รู้
“ไม่ต้องหรอก!” สวีซื่อจุนเกาศีรษะ พูดอย่างลำบากใจว่า “ผ้าไหมแก้วที่ข้าต้องการจะต้องผืนบางและแข็งแรง มีเพียงร้านหันจี้ที่ถนนตงต้าเท่านั้นที่สามารถทำได้ ผ้าไหมแก้วทั่วไปนั้นหนาเกินไป”
“ท่านพี่ต้องการผ้าไหมแก้วเช่นนี้ไปทำอะไรหรือเจ้าคะ” เจียงซื่อยิ้มพลางถามเขา
“ทำของเล็กๆ น้อยๆ” สวีซื่อจุนตอบอย่างคลุมเครือ “จริงสิ ทางด้านพี่ใหญ่ได้ส่งคนมาบอกว่าพรุ่งนี้จะนำพัดเหลียงซ่านมาส่งให้พวกเรา เจ้าเตรียมเงินรางวัลไว้ด้วย!”
เทศกาลแรกหลังจากที่เจียงซื่อแต่งออกมาก็เป็นเทศกาลไหว้บ๊ะจ่าง ตามธรรมเนียมแล้ว คนสกุลเดิมจะต้องนำพัดกับเสื่อไม้ไผ่มามอบให้
เจียงซื่อยิ้มพลางรับคำ สวีซื่อจุนพูดขึ้นมาว่า “ข้ายังมีงานข้างนอกอีก ขอตัวก่อน!”
ไม่ได้บอกว่าเรื่องของเรือนนอกมอบหมายให้พ่อบ้านไป๋จัดการแล้วหรอกหรือ
เจียงซื่อครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเรียกหวังซู่เข้ามา“คุณชายน้อยสี่ต้องการสั่งซื้อผ้าไหมแก้วไปทำอะไร”
หวังซู่ยิ้มแล้วบอกเพียงว่า “…เมื่อถึงเวลาคุณนายน้อยก็จะรู้เองขอรับ”
เจียงซื่อเลิกคิ้วเล็กน้อย “ทำโคมไฟใช่หรือไม่!”
หวังซู่ยิ้มอย่างอึดอัด
“วันที่ห้าเดือนห้าเป็นเทศกาลไหว้บ๊ะจ่าง แล้วก็ยังเป็นวันเกิดของท่านแม่สามี ท่านพี่ต้องการจะทำโคมไฟที่เป็นเอกลักษณ์มอบให้ท่านแม่สามีใช่หรือไม่” เจียงซื่อถามซักไซ้
ในเมื่อถูกจับได้แล้ว หวังซู่ก็ไม่อาจปิดบังได้อีก พูดพึมพำว่า “คุณชายน้อยสี่กำชับว่าไม่ให้บอกใครทั้งนั้น…เตรียมจะทำให้ทุกคนดีใจ…ไม่เพียงทำแค่ดวงเดียว แต่ทำถึงเก้าร้อยเก้าสิบเก้าดวง เมื่อถึงเวลาจะเอาไปแขวนไว้ที่สวนดอกไม้หลังจวน แล้วเชิญไท่ฮูหยินกับฮูหยินสี่ไปชมโคมไฟที่เรือนหลิงฉยงขอรับ…” ขณะที่พูดก็รู้สึกตื่นเต้นขึ้นมา “โคมไฟเหล่านั้น ราคาสามตำลึงต่อหนึ่งดวง จากนั้นก็ได้ส่งคนไปที่อำเภอว่านมณฑลเสฉวนเพื่อสั่งทำเทียนขาว คุณชายน้อยสี่บอกว่าสว่างไสวยิ่งกว่าดวงดาวบนท้องฟ้าเสียอีก…เมื่อถึงเวลานั้นที่ลานจะเต็มไปด้วยโคมไฟสว่างไสว ราวกับทางช้างเผือก…เมื่อไท่ฮูหยินกับฮูหยินได้เห็นแล้วจะต้องชื่นชอบอย่างมากแน่นอนขอรับ…”
เจียงซื่อไม่ได้พูดอะไร เงียบไปนานก่อนจะพูดขึ้นมาว่า “เจ้าออกไปเถิด!” น้ำเสียงแผ่วเบา แฝงไว้ด้วยความเหน็ดเหนื่อยเล็กน้อย
ลงทุนมากมายเช่นนี้ ไท่ฮูหยินกับฮูหยินต้องชอบมากแน่ๆ แต่ทำไมดูเหมือนว่าคุณนายน้อยสี่จะไม่ค่อยมีความสุขเท่าไรนัก
หวังซู่บ่นพึมพำในใจ ขานรับเสียงเบา “ขอรับ” แล้วถอยออกไป
เมื่อเจียงซื่อนึกถึงความมุ่งมั่นของสวีซื่อฉิน ความทะเยอทะยานของสวีซื่ออวี้ ความขยันขันแข็งของสวีซื่อเจี่ยน และความยากลำบากของสวีซื่อเจี้ย...แล้วนึกถึงสวีซื่อจุน…หากท่านพ่อสามีกลับมาถามแล้วพ่อบ้านไป๋จะตอบอย่างไร
ดังนั้นนางจึงได้รู้สึกไม่สบายใจกระมัง!
เจียงซื่อพลันรู้สึกไร้เรี่ยวแรงนั่งเหม่อลอยอยู่บนเก้าอี้ไท่ซือ จนกระทั่งถึงเวลาจุดโคมไฟในยามพลบค่ำ