ร้อยรักปักดวงใจ - ตอนที่ 635 กล่าวขอโทษ (ปลาย)
สีหน้าของสืออีเหนียงเปลี่ยนไปทันที
คุณนายใหญ่สกุลหลินรีบพูดขึ้นว่า “เจ้ารีบไปจัดการธุระของเจ้าเถิดไม่ต้องสนใจข้า!”
สืออีเหนียงเองก็ไม่ได้ปฏิเสธคุณนายใหญ่สกุลหลินแต่อย่างใด รีบดึงฉังอานไปคุยทันที
“…เมื่อวานนี้ท่านอาจารย์ผังท้องเสียทั้งวัน เช้านี้ตอนที่พวกบ่าวไปที่เรือนซิ่วมู่ อาจารย์ผังก็ได้เรียกตัวคุณชายน้อยทั้งสองไปซักถามว่าได้ใส่ยาระบายลงไปในถ้วยน้ำชาของเขาใช่หรือไม่ คุณชายน้อยทั้งสองให้ท่านอาจารย์ผังนำหลักฐานออกมา ท่านอาจารย์ผังบอกว่าคุณชายน้อยทั้งสองทำผิดแล้วยังเถียงข้างๆ คูๆ ก็เลยจะตีมือของคุณชายน้อยทั้งสอง พวกบ่าวจะขอรับโทษแทน แต่ท่านอาจารย์ผังไม่ยอม บ่าวเห็นว่าสถานการณ์ไม่สู้ดี ก็เลยรีบมาหาฮูหยิน” จากนั้นก็ได้พูดต่อไปว่า “บ่าวให้หวงเสี่ยวเหมาไปเรียนกับทางท่านโหวแล้วขอรับ!”
เมื่อได้ยินว่าหวงเสี่ยวเหมาไปหาท่านโหว สืออีเหนียงกลับรู้สึกใจเย็นลง
แม้ว่านางจะไม่เคยเห็นหน้าอาจารย์ผัง แต่ดูจากการบ้านที่อาจารย์ผังให้กับจิ่นเกอสามารถดูออกว่าอาจารย์ผู้นี้เป็นคนจริงจัง ในเมื่อเขามั่นใจแล้วว่าจิ่นเกอและเซินเกอมีส่วนเกี่ยวข้องกับการท้องเสียของเขา ย่อมไม่ทำในสิ่งที่ไร้ซึ่งเป้าหมายอย่างแน่นอน อีกอย่างเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น แต่กลับลงโทษแค่ตีฝ่ามือ…ก็ถือว่าอาจารย์ผังมีเหตุผลมากพอแล้ว
ปล่อยให้จิ่นเกอถูกอบรมสั่งสอนบ้างก็ดี
สืออีเหนียงครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็ถามฉังอานว่า “เกิดอะไรขึ้นกันแน่”
ใบหน้าของฉังอานแดงก่ำ สีหน้าไม่ค่อยดีเท่าไรนัก “บ่าว…บ่าวเองก็ไม่ทราบว่าเกิดอะไรขึ้นขอรับ!”
“ฉังอาน” สืออีเหนียงจ้องมองเขาด้วยสีหน้าที่จริงจัง “คุณชายน้อยหกไม่รู้ความ พวกเจ้าที่คอยติดตามเขาเห็นว่าเขาทำไม่ถูก ก็ควรจะกล่าวตักเตือนเขาถึงจะถูก พวกเจ้าอยากให้คุณชายน้อยหกกลายเป็นผู้รากมากดีที่นิสัยเสียหรืออย่างไรกัน”
“ไม่ใช่ขอรับ ไม่ใช่นะขอรับ!” ฉังอานรีบปฏิเสธทันควัน เวลานี้สีหน้าของเขาแย่ลงมากกว่าเดิม “บ่าวไม่ทราบจริงๆ ขอรับ เวลามีเรื่องอันใดคุณชายน้อยหกมักจะไปปรึกษาหารือกับคุณชายน้อยเจ็ดอยู่เป็นประจำ เวลาจะทำอะไรก็จะสั่งกับหวงเสี่ยวเหมาและหลิวเอ้อร์อู่” ขณะที่พูดอยู่นั้น สีหน้าของเขาก็ค่อยๆ แปรเปลี่ยนเป็นเศร้าหมอง “บ่าวเห็นว่าช่วงนี้หวงเสี่ยวเหมาและหลิวเอ้อร์อู่หากไม่พากันไปจับหนูก็พากันไปจับแมลงสาบ…จึงค่อนข้างรู้สึกแปลกใจขอรับ!”
หนู? แมลงสาบ?
จิ่นเกอจับไปทำอะไรกัน
“เจ้าเล่ามาให้ละเอียด” สีหน้าของสืออีเหนียงเปลี่ยนเป็นเคร่งขรึมขึ้นมาทันที
ฉังอานไม่กล้าปิดบัง เขาเล่าทุกอย่างที่รู้ให้กับสืออีเหนียงจนหมด
ถึงแม้ว่าเรื่องการท้องเสียของอาจารย์ผังจะไม่เกี่ยวข้องกับจิ่นเกอและเซินเกอ แต่เรื่องมีหนูในผ้านวม มีแมงมุมบนเก้าอี้ พวกเขาทั้งคู่ต้องมีส่วนเกี่ยวข้องอย่างแน่นอน
ที่ผ่านมาสืออีเหนียงเอาแต่รู้สึกว่าเด็กๆ อายุยังน้อย แต่นึกไม่ถึงเลยว่าจิ่นเกอนั้นจะใจกล้าขนาดนี้
ในใจของสืออีเหนียงร้อนรุ่มดั่งไฟแผดเผา
“ไป” สีหน้าของนางสุขุม “เราไปดูกัน!”
ฉังอานรีบขานรับ ทั้งสองพึ่งจะก้าวลงจากขั้นบันไดของประตูฉุยฮวา จู่ๆ ก็มีเสียงเรียกของฮูหยินห้าดังขึ้นมาจากด้านหลัง “พี่สะใภ้สี่ รอข้าด้วย!”
สืออีเหนียงหันกลับไปดู ก็เห็นบ่าวรับใช้ชายของเซินเกอกำลังพาฮูหยินห้ามุ่งหน้ามายังทิศทางที่นางยืนอยู่
“ฮูหยิน ตอนบ่าวมาแจ้งเรื่องกับท่าน บ่าวรับใช้ชายของคุณชายน้อยเจ็ดก็ไปแจ้งเรื่องนี้กับฮูหยินห้าด้วยขอรับ!” ฉังอานรีบอธิบาย ฮูหยินห้าก็ยกกระโปรงก้าวขึ้นบันไดของประตูฉุยฮวาพอดี
“พี่สะใภ้สี่กำลังไปที่เรือนซิ่วมู่ใช่หรือไม่!” คิ้วที่เรียวยาวของนางขมวดแน่น แววตาเต็มไปด้วยความฉุนเฉียว “ข้าบอกตั้งแต่แรกแล้วว่าอาจารย์ผังผู้นี้เข้มงวดกับเด็กเกินไป แต่ทุกคนกลับไม่เห็นด้วยกับข้าเลย แล้วเป็นอย่างไรเล่า เป็นเหมือนที่ข้าพูดไว้ไม่มีผิด!” ฮูหยินห้าอดไม่ได้ที่จะบ่นขึ้นด้วยความโมโห “ตอนเทศกาลวันไหว้บ๊ะจ่าง ข้ากลับไปที่จวนสกุลเดิม เดิมทีข้าตั้งใจจะพูดเรื่องนี้กับคุณชายห้าว่ารอให้เซินเกอโตกว่านี้อีกสักหน่อยค่อยหาอาจารย์วิชาหมัดมวยมาสอนศิลปะการต่อสู้ให้กับเซินเกอ แต่เซินเกอของพวกข้าอยากจะเลียนแบบพี่ชาย งอแงจะฝึกวิชาศิลปะการต่อสู้ให้ได้ ท่านพ่อของข้าเห็นว่าถึงแม้เซินเกอจะยังเด็กแต่กลับมีความมุ่งมั่นและความทะเยอทะยาน ไม่เพียงแต่ตำหนิว่าข้านั้นเป็นสตรีที่จิตใจอ่อนปวกเปียก มารดาที่ถนอมบุตรเกินไป จะทำให้บุตรอ่อนแอไม่เอาไหน ให้ข้าอย่าก้าวก่ายเรื่องของเซินเกอ แถมยังพาเซินเกอไปที่สนามฝึก แล้วให้อาจารย์ผู้สอนให้เขาลองฝึกย่อเข่า วิชามวยและวิชายิงธนู พอเห็นว่าวิถียิงธนูของเซินเกอนั้นมีความแม่นยำ ก็ส่งอาจารย์สอนวิชายิงธนูมาสอนเซินเกอโดยเฉพาะ…” ฮูหยินห้าพูดพลางหน้าดำหน้าแดงไปหมด สีหน้าของนางเคร่งเครียดกว่าสืออีเหนียงเป็นไหนๆ “ดูตอนนี้สิ เป็นแค่อาจารย์สอนวิชามวย คุณชายน้อยทำผิด ไม่ไปลงโทษคนที่ร่วมเรียนด้วย กลับกล้าตีคุณชายน้อยแทน เขาไม่รู้จักที่ต่ำที่สูงเลยหรืออย่างไรกัน!”
เด็กๆ อาจจะทำความผิดจริง หากว่าฮูหยินห้าบุกไปที่นั่นทั้งอย่างนี้ วันข้างหน้าอาจารย์ผังจะยังหลงเหลือเกียรติเสียที่ไหนกัน เป็นถึงอาจารย์ผู้ถ่ายทอดวิชา แต่ต่อหน้าเหล่าลูกศิษย์กลับไร้ซึ่งเกียรติและความน่าเกรงขาม แล้วลูกศิษย์จะเชื่อถือและศรัทธาได้อย่างไรกันเล่า ภายภาคหน้ามีแต่จะยิ่งไม่ตั้งใจฝึกฝนกับอาจารย์เข้าไปใหญ่
สืออีเหนียงจึงรั้งฮูหยินห้าไว้ “บ่าวรับใช้ชายของจิ่นเกอไปเรียนเรื่องนี้กับท่านโหวแล้ว น้องสะใภ้ห้าใจเย็นก่อน ถึงอย่างไรเสียเรื่องนี้ก็เกี่ยวเนื่องไปถึงเรื่องการเรียนของเด็กๆ เราบุ่มบ่ามบุกไปทั้งอย่างนี้ ไม่ค่อยเหมาะสมเท่าไรนัก!”
ฮูหยินห้าได้ยินแล้วก็พยายามข่มใจไม่ไปที่เรือนซิ่วมู่ จากนั้นก็หันไปกำชับกับบ่าวรับใช้ชายของเซินเกอว่า “เจ้าไปดูว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ หากกล้าปิดบังข้าแม้แต่นิดเดียว ระวังจะโดนข้าถลกหนังเอา”
บ่าวรับใช้ชายคนนั้นรีบขานรับเป็นพัลวัน จากนั้นก็รีบไปที่เรือนซิ่วมู่ทันที
สืออีเหนียงรู้สึกกังวลใจเป็นอย่างมาก แต่ยังไม่ทันที่นางจะได้พูดอะไร ฉังอานก็ได้พูดขึ้นว่า “ฮูหยิน บ่าวเองก็ตามไปดูด้วยดีกว่ากระมังขอรับ!”
สืออีเหนียงพยักหน้าเบาๆ
ฉังอานรีบวิ่งตามหลังบ่าวรับใช้ชายของเซินเกอไปทันที
สืออีเหนียงชวนฮูหยินห้าที่กำลังอารมณ์ฉุนเฉียวไปนั่งเล่นที่เรือนของตน
พากันมายืนอยู่ตรงนี้ก็กระไรอยู่
ฮูหยินห้าครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นจึงตัดสินใจตามสืออีเหนียงไปที่เรือนหลัก
สืออีเหนียงเชิญนางนั่งบนเตียงเตาริมหน้าต่าง
นางกลับส่ายหน้าพร้อมกับพูดขึ้นว่า “ข้าจะนั่งติดได้อย่างไรกัน!” พูดขึ้นพลางเดินไปเดินมาไม่หยุด
ในใจสืออีเหนียงเองก็กังวลเป็นอย่างมาก ย่อมเข้าใจอารมณ์จิตใจของนางดี
คนหนึ่งนั่งเงียบไม่พูดอะไร ส่วนอีกคนก็เดินวนไปเวียนมาไม่หยุดหย่อน ทั้งคู่ต่างก็ตั้งตารอฟังข่าวจากเรือนซิ่วมู่
ผ่านไปราวครึ่งชั่วยามเห็นจะได้ ฉังอานก็วิ่งเข้ามาในเรือนหลัก
ยังไม่ทันที่เขาจะได้พูดอะไร ฮูหยินห้าก็รีบเดินไปหาเขาพร้อมกับถามขึ้นด้วยความร้อนใจว่า “เป็นอย่างไรบ้าง อาจารย์ผังได้ตีหรือไม่”
“ไม่ได้ตีขอรับ!” ฉังอานไม่ได้สนใจว่าเขากำลังหายใจหอบแค่ไหน รีบพูดต่อไปว่า “ท่านโหวไปถึงแล้ว คุณชายน้อยหกกับคุณชายน้อยเจ็ดก็สารภาพว่าเป็นคนใส่ยาระบายลงไปในถ้วยน้ำชาของท่านอาจารย์ผังขอรับ…”
“เหตุใดพวกเขาถึงได้ใส่ยาระบายเข้าไปในน้ำชาของอาจารย์ผัง” สืออีเหนียงเองก็เดินเข้าไปหาเขาด้วยสีหน้าที่เคร่งขรึม
“ครั้งที่แล้วท่านอาจารย์ผังลงโทษคุณชายน้อยหกและคุณชายน้อยเจ็ดให้ไปฝึกย่อเข่ากลางแดดขอรับ…”
“อะไรนะ!” ฮูหยินห้าอุทานเสียงสูง ตัดบทสนทนาของฉังอานไป “อาจารย์ผังกล้าสั่งให้จิ่นเกอกับเซินเกอไปฝึกย่อเข่าอยู่กลางแดดเชียวหรือ เหตุใดถึงได้ให้เด็กไปฝึกย่อเข่าที่กลางแดดด้วย เรื่องมันตั้งแต่ตอนไหนกัน เหตุใดข้าถึงไม่รู้เรื่องนี้เลย”
ฮูหยินห้าถามคำถามมากมายติดต่อกัน ฉังอานจึงอึ้งไปชั่วขณะ จากนั้นก็ค่อยๆ ตอบกลับด้วยความระมัดระวัง “เพราะคุณชายน้อยหกกับคุณชายน้อยเจ็ดทะเลาะกันเมื่อคราวที่แล้วขอรับ…”
ฮูหยินห้าได้ยินแล้วก็โมโหเป็นฟืนเป็นไฟขึ้นมาทันที “มีเด็กที่ไหนไม่ทะเลาะเบาะแว้งกันบ้าง หากว่าทะเลาะกันแล้วถูกลงโทษให้ไปฝึกย่อเข่าอยู่กลางแดด เช่นนั้นใต้หล้านี้ยังมีผู้ใดกล้าคุยกันอีก” พูดจบนางก็จะออกไปจากเรือนทันที “ไม่ได้การแล้ว ข้าต้องพูดเรื่องนี้กับท่านโหวให้กระจ่างถึงจะถูก!”
สืออีเหนียงโมโหจนพูดไม่ออกอยู่ครู่หนึ่ง
เพราะทะเลาะกันเลยถูกอาจารย์ผังลงโทษ แต่กลับพากันจับหนูจับแมลงสาบไปแกล้งอาจารย์ผัง แอบใส่แม้กระทั่งยาระบายในถ้วยน้ำชา นี่มันตรรกะบ้าบออะไรกัน!
“น้องสะใภ้ห้า!” นางเองก็เป็นแม่คน จึงเข้าใจในความโกรธของฮูหยินห้าเป็นอย่างดี แต่ก็ไม่ควรที่จะสนับสนุน “เรารอท่านโหวกลับมาก่อนแล้วค่อยพูดคุยกันดีกว่ากระมัง!” สืออีเหนียงรั้งฮูหยินห้าไว้ “คงไม่ดีหากเราคอยพูดแทรกตอนที่ท่านโหวกำลังจัดการกับเรื่องนี้!”
“ข้าไม่สน!” ฮูหยินห้ากระทืบเท้าด้วยความโมโห “เรื่องนี้ปล่อยไปทั้งอย่างนี้ไม่ได้เด็ดขาด!” แต่ในใจนางก็ยังเห็นด้วยกับความคิดของสืออีเหนียงอยู่ดี แถมหลานเขยใหญ่ก็เป็นคนแนะนำอาจารย์ผังผู้นี้อีกด้วย แต่เมื่อนึกถึงท่าทีปฏิเสธของสวีลิ่งควนขึ้นมาแล้ว ถึงเวลานั้นเกรงว่าทุกคนคงจะไม่มีใครไล่อาจารย์แซ่ผังผู้นี้ออกไปอย่างแน่นอน นางจึงเปิดม่านพร้อมกับเดินออกไป “ไม่ได้เด็ดขาด เรื่องนี้ข้าจะต้องคุยกับท่านแม่ จะปล่อยให้พวกเขาทำซี้ซั้วตามอำเภอใจเช่นนี้ไม่ได้!”
หากว่าอาจารย์ผังถูกไล่ออกด้วยเหตุผลนี้…ต่อไปอาจารย์ที่มาใหม่ในภายภาคหน้าจะกล้าปฏิบัติต่อจิ่นเกอและเซินเกอในฐานะอาจารย์กับลูกศิษย์หรือ จิ่นเกอและเซินเกอจะยังสามารถฝึกวิชาความรู้ได้หรือไม่
สืออีเหนียงจึงรีบตามไปทันที
“การที่อาจารย์ผังให้เด็กทั้งสองไปฝึกย่อเข่าอยู่กลางแดดนั้นถือว่าเขาทำไม่ถูก!” ไท่ฮูหยินได้ยินแล้วสีหน้าก็ไม่ค่อยดีเท่าไรนัก แต่น้ำเสียงยังคงอ่อนโยนเหมือนเช่นเคย “แต่การที่เด็กทั้งสองแกล้งอาจารย์ผังเช่นนี้ก็ไม่ถูกเช่นกัน ในเมื่อเด็กๆ ก็ไม่ได้โดนตี เรื่องนี้ก็ควรปล่อยผ่านก็แล้วกัน วันข้างหน้าก็หาเวลาไปคุยกับอาจารย์ผังเป็นการส่วนตัว ว่าต่อไปให้เขาอย่าลงโทษด้วยการตีเด็กอีกก็พอ!”
สีหน้าท่าทางของไท่ฮูหยินพลอยทำให้ฮูหยินห้าไม่ค่อยชอบใจเท่าไรนัก แต่ต่อหน้าไท่ฮูหยิน นางทำได้เพียงขานรับแต่โดยดีเท่านั้น ไท่ฮูหยินหันไปพูดกับสืออีเหนียงว่า “ประเดี๋ยวเจ้านำเงินจำนวนหนึ่งไปมอบให้อาจารย์ผังเพื่อเป็นการปลอบโยน บอกไปว่าเรื่องนี้เด็กๆ ทำไม่ถูกต้อง ให้เขาไม่ต้องเก็บมาใส่ใจ วันข้างหน้าหากว่าเด็กๆ ทำสิ่งที่ไม่ถูกไม่ควร ก็ให้เขาสั่งสอนตามเหมาะสมเหมือนเช่นที่ผ่านมา” ถือเป็นการปฏิเสธฮูหยินห้าไปในตัว
“ท่านแม่” ฮูหยินห้าเรียกไท่ฮูหยินด้วยน้ำเสียงที่ไม่เต็มใจเท่าไรนัก
ไท่ฮูหยินหันไปหานางพลางโบกมือเบาๆ “หยกไม่เจียระไน ก็ไร้ซึ่งคุณค่าและราคา บางครั้งเราก็ไม่ควรจะตามใจนิสัยใจคอของเขาจนเกินไป” จากนั้นก็หันไปพูดกับสืออีเหนียงว่า “เจ้ารีบไปเถิด!”
ดูท่าแล้วคงจะให้ฮูหยินห้าอยู่คุยต่อ
สืออีเหนียงจึงขานรับจากนั้นก็ถอยออกจากเรือนไป สืออีเหนียงไปเตรียมของขวัญที่จะมอบให้อาจารย์ผังพลางให้ฉังอานให้สืบถามสถานการณ์ของเรือนซิ่วมู่
“ท่านโหวตำหนิคุณชายน้อยทั้งสองอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็ได้มอบกระบี่กายสิทธิ์ให้กับท่านอาจารย์ผังเล่มหนึ่งขอรับ!”
สืออีเหนียงชะงักไปชั่วขณะ “ไม่ได้ให้คุณชายน้อยทั้งสองกล่าวขอโทษอาจารย์ผังหรือ แล้วได้ให้รับปากหรือไม่ว่าต่อไปจะไม่ทำอีก”
ฉังอานส่ายหน้าเบาๆ
สืออีเหนียงครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็ให้หู่พั่วนำเงินก้อนน้ำหนักห้าตำลึงใส่ลงไปในถุงเงินสี่ก้อน จากนั้นก็ไปที่เรือนซิ่วมู่
แต่กลับเจอเข้ากับสวีลิ่งอี๋พอดี
สีหน้าของเขาเคร่งขรึม ร่างกายของนางจึงสั่นสะท้านอย่างไม่รู้ตัว
จิ่นเกอและเซินเกอกำลังเดินตามหลังสวีลิ่งอี๋ ทั้งคู่ต่างก็คอตกสีหน้าละห้อย ราวกับไก่ชนที่พึ่งแพ้การต่อสู้มาไม่มีผิด
เมื่อเห็นสืออีเหนียง สวีลิ่งอี๋ก็รีบพูดขึ้นทันทีว่า “กักบริเวณจิ่นเกอสามวัน แต่การบ้านอย่าให้ขาด เจ้าไปเฝ้าเขาฝึกย่อเข่า อ่านหนังสือและฝึกคัดตัวอักษร”
จิ่นเกอได้ยินแล้วก็รีบเงยหน้าขึ้นมา หันไปมองสืออีเหนียงน้ำตาคลอเบ้า มุมปากของเขาขยับเล็กน้อย เหมือนจะเรียกสืออีเหนียงแต่ก็ไม่กล้าเรียกออกไป ท่าทางดูน่าสงสารเป็นอย่างมาก
สืออีเหนียงแข็งใจขานรับ “เจ้าค่ะ ข้าจะควบคุมดูแลการเรียนของจิ่นเกออย่างเคร่งครัด”
สวีลิ่งอี๋พยักหน้าเบาๆ จากนั้นก็เดินเข้าเรือนไป
สืออีเหนียงจงใจเหลือบไปมองจิ่นเกออยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็ค่อยเดินตามสวีลิ่งอี๋เข้าไปในเรือน
จิ่นเกอจ้องมองเงาแผ่นหลังบิดาของเขาพลางเม้มริมฝีปากแน่น
เซินเกอจึงพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่เป็นห่วงว่า “ท่านไปที่เรือนของข้าดีหรือไม่ หากว่าท่านแม่ของข้ากล้ากักบริเวณข้า ข้าจะไปฟ้องท่านตาของข้า”
จิ่นเกอส่ายหน้าเบาๆ พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงอ่อนแรงว่า “ข้ากลับไปที่เรือนของข้าดีกว่า!”
เซินเกอนึกถึงสีหน้าท่าทีที่โมโหของท่านลุงสี่ของเขา ก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกหนาวสะท้านไปทั้งตัว “หากว่าท่านลุงสี่ตีท่านขึ้นมาจริงๆ ท่านจะทำอย่างไร”
เห็นได้ชัดว่าท่านแม่กำลังโมโหเป็นอย่างมาก หากว่าท่านพ่อตีเขาจริงๆ ก็คงจะไม่ปกป้องเขาอย่างแน่นอน คนที่จะปกป้องเมื่อได้ยินว่าเขาถูกตี…
เวลานั้นเอง จู่ๆ จิ่นเกอก็นึกถึงไท่ฮูหยินขึ้นมา “เช่นนั้น…เช่นนั้นข้าจะไปหาท่านย่า!”