ร้อยรักปักดวงใจ - ตอนที่ 587 พรหมลิขิต (ปลาย)
เมื่อส่งนายหญิงเกาออกไปแล้ว ฮูหยินสองก็หลับตาบนเก้าอี้ในห้องหนังสือ ในมือถือกำไลหยกขาว ราวกับกำลังสัมผัสความนูนความเว้าของลายก้อนเมฆที่อยู่บนกำไล
เจี๋ยเซียงถือน้ำแกงสาลี่ฤดูใบไม้ร่วงที่อยู่ในชามสีขาวบนถาดสีแดงเดินเข้ามา เห็นท่าทีของฮูหยินสอง สีหน้าของนางก็มีความลังเล
ตอนที่ฮูหยินสองเจอเรื่องอันใดที่ลำบากใจ นางมักจะมานอนถือกำไลหยกขาวที่คุณชายสองทิ้งเอาไว้ให้นางบนเก้าอี้
จะว่าไปแล้ว นางไม่เห็นฮูหยินสองมีท่าทีเช่นนี้มาหลายปีแล้ว!
เจี๋ยเซียงกำลังลังเลว่าจะรบกวนฮูหยินสองดีหรือไม่ ฮูหยินสองก็ลืมตาขึ้นมาพอดี “เจี๋ยเซียงหรือ!”
ในเมื่อฮูหยินสองรู้ว่านางเข้ามาแล้ว เดินออกไปตอนนี้ก็ไม่มีประโยชน์
เจี๋ยเซียงยิ้มแล้วขานรับ “เจ้าค่ะ” จากนั้นก็ถือน้ำแกงสาลี่ฤดูใบไม้ร่วงเดินเข้าไป
ฮูหยินสองทานไปแค่สองสามคำ นางพูดขึ้นเบาๆ “รสชาติของวันนี้พิเศษกว่าทุกวัน ดูเหมือนมีซานจาด้วย!
“ท่านรู้ด้วยหรือเจ้าคะ!” เจี๋ยเซียงยิ้ม “บ่าวใส่ลงไปนิดหน่อย ทำตามฮูหยินสี่เจ้าค่ะ ชวงนี้คุณชายน้อยหกไม่ชอบทานข้าว ฮูหยินสี่จึงคิดวิธีนี้ขึ้นมา แต่กลัวว่าใส่เยอะเกินไปจะทำให้กระเพาะแห้ง สาลี่แต่ละลูกจึงใส่ซานจาแค่สามเม็ด บ่าวเห็นว่าช่วงนี้ท่านไม่ค่อยทานอะไร จึงทำตามฮูหยินสี่เจ้าค่ะ “
ฮูหยินสองหัวเราะ นางวางน้ำแกงสาลี่ฤดูใบไม้ร่วงที่ทานไปแค่ครึ่งชามไว้บนถาด
“ไม่อร่อยหรือเจ้าคะ” เจี๋ยเซียงกำลังคิดว่าใส่แค่น้ำตาลเหมือนเมื่อก่อนก็พอแล้ว
“อร่อย!” ฮูหยินสองพูดด้วยรอยยิ้ม “แต่ว่าตอนนี้ข้ายังไม่อยากทาน เจ้าทานเถิด!”
เจี๋ยเซียขานรับ นางก้มหน้าลงหยิบช้อน เห็นฮูหยินสองหลับตาลงอีกครั้ง นางจึงครุ่นคิดแล้วพูดว่า “ฮูหยิน หรือว่านายหญิงเกามาพูดอะไรหรือเจ้าคะ”
ฮูหยินสองลืมตาขึ้น เห็นใบหน้าของเจี๋ยเซียงเต็มไปด้วยความกังวล นางก็รู้สึกอุ่นใจ
นางนึกถึงคำพูดของนายหญิงเกา
‘ข้ารู้ว่า ตอนนั้นพี่สะใภ้ใหญ่ของเจ้าไม่ทำตามสัญญา นางทำเกินไป แต่ว่าตอนนี้พี่สะใภ้ของเจ้าก็รู้สึกผิดแล้ว ไม่เช่นนั้น ข้าคงจะไม่มาหาเจ้าเช่นนี้ เรื่องของผู้ใหญ่ก็คือเรื่องของผู้ใหญ่ ไม่ควรทำให้เด็กๆ เดือดร้อนไปด้วย อีกสองวันก็จะถึงเทศกาลฉงหยางแล้ว พี่สะใภ้ของเจ้าจะจัดงานเลี้ยงต้อนรับไท่ฮูหยินและฮูหยินสี่ที่จวน ถือโอกาสนี้ขอโทษไท่ฮูหยินและฮูหยินสี่’
ฮูหยินสองชี้ไปที่เก้าอี้ข้างๆ “นั่งลงคุยเถิด”
เจี๋ยเซียงตกใจ
ฮูหยินสองไม่ใช่คนที่ชอบปรึกษาเรื่องอันใดกับคนอื่น
“นายหญิงเกาอยากให้ข้าช่วยพูดเรื่องแต่งงานของโหรวเน่อกับอวี้เกออีกครั้ง…” ฮูหยินสองมองดูผ้าม่านสีฟ้าด้วยสีหน้าที่เซื่องซึม
เรื่องราวในตอนนั้น เจี๋ยเซียงรู้ดี
“เช่นนี้ก็เป็นเรื่องที่ดีน่ะสิเจ้าคะ!” นางได้ยินแล้วก็อดไม่ได้ที่จะตื่นเต้น เรื่องแต่งงานของคุณชายใหญ่สกุลเซี่ยงกับคุณหนูสองล้วนแต่เป็นปมในใจของฮูหยินสอง “เช่นนี้ ก็จะได้ชดเชยความเสียใจของท่านในตอนนั้นเจ้าค่ะ!” นางพูดอย่างมีความหวัง “คุณหนูสองเป็นคนนิสัยอ่อนโยน ฝีมือเย็บปักถักร้อยก็ไม่ธรรมดา แต่งงานเข้ามาแล้วต้องทำให้แม่สามีโปรดปรานอย่างแน่นอน”
ฮูหยินสองไม่พูดอะไร แต่สีหน้าของนางกลับมีความขมขื่น
เจี๋ยเซียงตื่นตระหนก นางครุ่นคิด จากนั้นก็พูดว่า “ท่านกลัวฮูหยินสี่จะไม่ตอบตกลงหรือเจ้าคะ”
ฮูหยินสองส่ายหน้าเบาๆ แล้วถอนหายใจ “ตามความตั้งใจเดิมของข้า ข้าไม่อยากสนใจเรื่องนี้แล้ว แต่เมื่อนึกถึงโหรวเน่อ ข้าก็รู้สึกไม่สบายใจ แต่ตอนนั้นพี่สะใภ้ของข้าเป็นคนผิดสัญญาแล้วข้ายังจะกล้าพูดเรื่องนี้ต่อหน้าฮูหยินสี่ได้อีกหรือ!”
หมายความว่านางยังอยากพูดกับฮูหยินสี่อยู่!
ไม่อย่างนั้นจะมีท่าทีลังเลและตัดสินใจยากเช่นนี้ทำไม
เจี๋ยเซียงออกความคิดเห็นให้ฮูหยินสอง “หรือว่า จะพูดกับไท่ฮูหยินดีเจ้าคะ ตอนนั้นไท่ฮูหยินก็เห็นด้วยกับการแต่งงานนี้ไม่ใช่หรือ แล้วอีกอย่าง ไท่ฮูหยินเองก็ดีกับท่าน…”
นางยังพูดยังไม่ทันจบ ฮูหยินสองก็พูดคัดค้าน “ไท่ฮูหยินเป็นย่า จะตัดสินใจเรื่องแต่งงานของอวี้เกอแทนท่านโหวและฮูหยินสี่ได้เช่นไร และถึงแม้ว่าฮูหยินสี่จะตอบตกลงเพราะความกตัญญู แต่ก็ไม่เหมาะสม ทำให้ไท่ฮูหยินลำบากใจเสียมากกว่า ยิ่งไปกว่านั้น ตั้งแต่สุขภาพของฮูหยินสี่ค่อยๆ ดีขึ้น ไท่ฮูหยินก็ไม่เคยเข้ามายุ่งเรื่องในจวนอีก หนึ่งคือฮูหยินสี่มีความสามารถ สองคือทำให้เรื่องในจวนเป็นไปอย่างเหมาะสม ต้องรู้ว่า ตอนนี้เราล้วนเป็นผู้หลักผู้ใหญ่ หากคานบนไม่ตรง คานล่างก็จะเบี้ยวไปด้วย จะทำเช่นนั้นไม่ได้เด็ดขาด!”
เจี๋ยเซียงเป็นกังวล “ถ้าอย่างนั้น เรื่องแต่งงานของคุณหนูสองก็ต้องจบลงเช่นนี้หรือเจ้าคะ” นางรู้สึกเสียดาย
ฮูหยินสองนิ่งเงียบ
“ข้าขอคิดดูก่อน…” นางพูดด้วยน้ำเสียงที่เอือมระอา
แต่วันต่อมาไปคารวะไท่ฮูหยินเสร็จแล้ว ระหว่างทางกลับเรือนนางกลับเดินไปที่หน้าลานของสืออีเหนียงแทน
สาวใช้เห็นเช่นนี้ก็รีบเข้าไปรายงาน สืออีเหนียงเดินออกมาต้อนรับ “พี่สะใภ้สองเหตุใดถึงได้มีเวลามาหาข้าเล่าเจ้าคะ รีบเข้ามาข้างในก่อนเถิด!
จิ่นเกอก็เดินตามมารดาราวกับเป็นหางของสืออีเหนียงก็ไม่ปาน เขายื่นหน้าออกมามองฮูหยินสองด้วยความสงสัย
ฮูหยินสองเห็นดังนั้นก็ยิ้มขึ้น พลอยทำให้อารมณ์ของนางดีขึ้นไม่น้อย
นางกำลังยื่นมือออกไปลูบหัวจิ่นเกอ แต่จิ่นเกอกลับหลบไปอยู่ข้างหลังสืออีเหนียง
“พี่สะใภ้สองเข้ามานั่งข้างในเถิด!” สืออีเหนียงพูด “เขาซุกซนนัก”
ไม่รู้ว่าทำไม จิ่นเกอถึงดูกลัวฮูหยินสอง เจอนางทีไรเขาก็มักจะไม่ค่อยเป็นตัวของตัวเอง
“เด็กน้อยล้วนแต่เป็นเช่นนี้!” ฮูหยินสองยิ้มอย่างแผ่วเบา จากนั้นก็เดินเข้าไปในห้องกับสืออีเหนียง
พวกนางสองคนดื่มชา ฮูหยินสองพูดถึงเรื่องที่หวังจิ่วเป่าได้รับโทษประหาร นางถอนหายใจ
จู๋เซียงที่รับใช้อยู่ข้างๆ ก็มีสีหน้าแปลกๆ
เป็นสตรี พูดเรื่องอะไรไม่พูด แต่กลับพูดเรื่องพวกนี้
โชคดีที่เมื่อก่อนสืออีเหนียงก็ชอบพูดเรื่องแว่นแคว้นกับผู้คนบ่อยๆ นางจึงไม่ได้รู้สึกแปลกใจ แต่นางกลับแอบคาดเดาการมาของฮูหยินสอง จนกระทั่งฮูหยินสองขอตัวลา นางก็ยังเดาไม่ออก
สืออีเหนียงเล่าให้สวีลิ่งอี๋ฟังยามเย็น “ท่านคิดว่า เหตุใดพี่สะใภ้สองถึงมาพูดเรื่องนี้กับข้าเจ้าคะ ข้าเห็นท่าทีของพี่สะใภ้สอง ดูเหมือนยังไม่รู้เรื่องของเด็กคนนั้น!” พูดจบ นางก็เหลือบมองสวีลิ่งอี๋
สวีลิ่งอี๋บีบจมูกนางเบาๆ “มีแค่เจ้าลำบากกับข้าก็พอแล้ว ข้าจะดึงพี่สะใภ้สองเข้ามาเกี่ยวข้องได้เช่นไร!”
“ที่แท้ข้าก็เป็นบ่าวรับใช้ของท่าน!” สืออีเหนียงพูดแหย่สวีลิ่งอี๋
“ใครบอกให้เจ้าแต่งงานกับข้ากันเล่า!” สวีลิ่งอี๋ยิ้มแล้วดึงสืออีเหนียงเข้ามากอดไว้ในอ้อมแขน “ก็ต้องลำบากไปกับข้า!”
สืออีเหนียงยิ้มกว้างอยู่ในอ้อมแขนของเขา
สวีลิ่งอี๋พูดขึ้น “พี่สะใภ้สองเป็นคนฉลาด แต่น่าเสียดายที่เป็นสตรี พี่สองเองก็เสียชีวิตไปแล้ว นางอยู่ตัวคนเดียว ไม่แปลกที่จะโดดเดี่ยว หากนางมาพูดคุยกับเจ้า ไม่ว่าเจ้าจะชอบหรือไม่ แต่ก็รับฟังนางเถิด”
“ข้ารู้เจ้าค่ะ!” สืออีเหนียงซุกตัวอยู่ในอ้อมแขนของสวีลิ่งอี๋ “แต่ข้าแค่คิดว่ามันแปลกๆ”
สวีลิ่งอี๋จึงพูดถึงเรื่องของสวีซื่ออวี้ “…สำนักศึกษาอำเภอจะเทียบกับสำนักศึกษาจิ่นสีได้อย่างไร หลังจากส่งของขวัญพิธีครบเดือนให้เจินเจี่ยเอ๋อร์แล้วก็ให้อวี้เกอกลับไปเล่ออาน ให้เขาลงสนามสอบเซียงซื่อในปีหน้า เจ้าถือโอกาสกำหนดเรื่องแต่งงานของเขาภายในสองสามวันนี้เถิด เมื่อแต่งงานแล้ว เขาจะได้ตั้งใจเล่าเรียนศึกษาอย่างสบายใจ เราก็จะได้ตั้งใจเตรียมเรื่องแต่งงานของจุนเกอ!”
“คนที่มาพูดเรื่องแต่งงานมีเยอะแยะมากมาย อยากจะเลือกสกุลที่พอใจไม่ใช่เรื่องง่ายเลย…” สืออีเหนียงพูดกับสวีลิ่งอี๋ จึงลืมเรื่องที่ฮูหยินสองมาหาตัวเองไปชั่วคราว
*****
ฮูหยินสองรู้สึกเสียดายที่กลับมาเรือนเสาหวา อยากหาโอกาสไปที่เรือนของสืออีเหนียงอีกครั้ง แต่ใครจะรู้ว่าเทียบเชิญของนายหญิงเซี่ยงกลับมาถึงก่อน
ไท่ฮูหยินมองดูแล้วก็ยื่นเทียบเชิญสีแดงให้สืออีเหนียง “เจ้าตัดสินใจเถิด ข้าแก่แล้ว ให้ข้าเกียจคร้านเสียบ้าง!” จากนั้นก็ยิ้มแล้วมองดูจิ่นเกอที่กำลังใช้แท่งผงอัดแข็งวาดภาพบนอิฐสีเทาที่แวววาวราวกับกระจกในห้องข้างใน และเซินเกอที่เดินตามจิ่นเกออย่างซื่อบื้อ นางพูด “ข้าจะอยู่กับเด็กสองคนนี้ที่จวน พวกเจ้าจะได้ไปเที่ยวอย่างสบายใจ!”
เดิมทีสืออีเหนียงคิดว่าไท่ฮูหยินดีกับฮูหยินสองไม่เหมือนลูกสะใภ้ทั่วไป สกุลเซี่ยงเชิญไปเป็นแขก คิดว่าไท่ฮูหยินน่าจะไป จึงถือเทียบเชิญมาให้ไท่ฮูหยิน แต่เมื่อได้ยินเช่นนี้นางก็ตกใจ พูดขึ้นว่า “วันนั้นท่านโหวจะไปเยี่ยมโต้วเก๋อเหล่าพอดี ให้ข้าช่วยเขาเตรียมของเจ้าค่ะ ข้าคิดว่าข้าก็คงจะไม่ว่าง หรือว่า ให้น้องสะใภ้ห้าไปกับพี่สะใภ้สองดีหรือไม่เจ้าคะ”
ไท่ฮูหยินพยักหน้า
เมื่อฮูหยินห้ามาคารวะไท่ฮูหยิน นางจึงพูดเรื่องนี้กับฮูหยินห้า
ฮูหยินห้าสีหน้าดูกระอักกระอ่วน “ข้าบอกท่านพ่อว่าจะพาลูกๆ ไปเยี่มมเยียนเขาเจ้าค่ะ!”
ไท่ฮูหยินและซุนโหวผู้เฒ่าอายุพอๆ กัน นางเลยเข้าใจซุนโหวผู้เฒ่าดี เข้าใจว่าเมื่อยังมีชีวิตอยู่ เขาคงอยากจะเจอหลานชายและหลานสาวบ่อยๆ ดังนั้นนางจึงตามใจฮูหยินห้าเรื่องนี้
“ไปเถิด!” ไท่ฮูหยินยิ้ม “ผู้บัญชาการเจ้อเจียงคือผู้ติดตามของนายท่านผู้เฒ่า ครั้งนี้คงจะนำปูตัวโตมาอีกแน่นอน อย่าลืมนำกลับมาให้พวกข้าได้ลองชิมเล่า”
ฮูหยินห้าตอบรับด้วยความดีใจ นางถามสืออีเหนียง “พี่สะใภ้สี่อยากได้อะไรหรือไม่ ท่านพ่อของข้ายังมีลูกน้องที่รับตำแหน่งหัวหน้าหน่วยอยู่ที่จินหวา เขาส่งสุราจินหวาชั้นดีมาให้ทุกปี ข้านำกลับมาให้พี่สะใภ้สี่สักสองสามไหดีหรือไม่ ท่านจะเก็บไว้ดื่มเองหรือว่ามอบให้ใครก็ได้!”
“เช่นนั้นข้าก็ไม่เกรงใจเจ้าแล้ว!” สืออีเหนียงพูดด้วยรอยยิ้ม แต่นางกลับกังวลในใจ หรือจะให้ฮูหยินสองไปงานเลี้ยงคนเดียวอย่างนั้นหรือ
นางจึงบอกให้จู๋เซียงเตรียมเสื้อผ้า เมื่อถึงเทศกาลฉงหยาง ก็ตื่นมาจัดการของให้สวีลิ่งอี๋ตั้งแต่เช้า จากนั้นก็อุ้มจิ่นเกอไปที่เรือนของไท่ฮูหยิน “ทานข้าวกลางวันเสร็จข้าจะกลับมาทันทีเจ้าค่ะ!”
“ไม่เป็นไร ไม่เป็นไร!” ไท่ฮูหยินยิ้ม “ไม่ได้ออกไปไหนบ่อยๆ ดื่มสุรา ชมดอกเบญจมาศ ทานข้าวเย็นเสร็จแล้วค่อยกลับมาก็ได้ จิ่นเกออยู่กับท่านย่าก็สนุกเหมือนกัน ใช่หรือไม่จิ่นเกอ”
ช่วงนี้จิ่นเกอหมกมุ่นอยู่กับการวาดภาพบนพื้นในห้องของไท่ฮูหยิน สืออีเหนียงมักจะบ่นเขาเป็นครั้งคราว บอกให้เขาไปวาดที่ห้องของตัวเอง แต่ไท่ฮูหยินกลับไม่เห็นด้วย บอกให้สาวใช้นำผ้าเช็ดรอยขีดเขียนอยู่ข้างๆ เพื่อให้แน่ใจว่าจิ่นเกอมีที่วาดภาพ แล้วยังปรึกษาว่าจะเปลี่ยนพื้นในห้องเป็นอิฐสีเทาให้หมด ให้จิ่นเกอวาดภาพสะดวกขึ้น จิ่นเกอยิ่งพอใจ เมื่อได้ยินท่านย่าถามเช่นนี้ เขาก็รีบพยักหน้าทันที “ข้าเล่นกับท่านย่าขอรับ!” ท่าทีราวกับอยากให้สืออีเหนียงออกไปเร็วๆ
สืออีเหนียงกลืนไม่เข้าคายไม่ออก นางไปยังจวนสกุลเซี่ยงกับฮูหยินสอง
ทันทีที่ลงจากรถม้า ก็เห็นนายหญิงเซี่ยงและนายหญิงเการอต้อนรับด้วยรอยยิ้มอยู่หน้าประตูฉุยฮา
“เชิญเจ้ามาจนได้!” นางเดินเข้ามาจับมือสืออีเหนียงอย่างเป็นมิตร จากนั้นก็ยื่นคอมองไปข้างหลังสืออีเหนียง “ไท่ฮูหยินเล่า” เห็นว่าข้างหลังมีเพียงรถม้าแค่คันเดียว ป้ารับใช้ผู้ติดตามกำลังประคองฮูหยินสองลงจากรถม้า นางก็ตกใจแล้วถามว่า “ไท่ฮูหยินไม่ได้มาด้วยหรือ”
“ท่านแม่แก่แล้ว วันนี้อากาศก็ร้อนเจ้าค่ะ” สืออีเหนียงพูดด้วยรอยยิ้ม “ท่านโหวจึงไม่ให้มาเจ้าค่ะ”
“วันนี้อากาศร้อนเกินไปจริงๆ!” นายหญิงเกายิ้มแล้วเชิญสืออีเหนียงกับฮูหยินสองเข้าไปข้างใน พวกนางสองคนไม่ได้มีท่าทางไม่พอใจที่ไท่ฮูหยินไม่มาร่วมงาน
สืออีเหนียงแอบแปลกใจ