ร้อยรักปักดวงใจ - ตอนที่ 522 ขาดทุน (กลาง)
สวีลิ่งอี๋พูดออกมาอย่างสบายใจ สืออีเหนียงกลับไม่รู้ว่าควรจะพูดอย่างไรดี
อะไรคือคำว่าเชื่อฟัง และอะไรคือคำว่าไม่เชื่อฟัง โชคชะตาของคนคนหนึ่งอาจจะเปลี่ยนแปลงไปตลอดกาล
ส่วนสวีลิ่งอี๋กลับสังเกตเห็นว่านางไม่พูดอะไรอยู่ครู่ใหญ่ จึงนึกว่านางเลือกไม่ถูกว่าจะเอาคนไหนดี เขาจึงยิ้มพร้อมกับพูดขึ้นว่า “เรื่องนี้ก็ไม่ได้รีบร้อนเท่าไรนัก ค่อยเป็นค่อยไปก็แล้วกัน”
สืออีเหนียงขานรับ แต่ในใจของนางกลับครุ่นคิดมาหลายวัน จึงตัดสินใจไปถามความเห็นเกี่ยวกับเรื่องนี้จากสวีซื่ออวี้ก่อน
สวีซื่ออวี้นึกไม่ถึงว่าสืออีเหนียงจะมาถามเรื่องนี้กับเขา ถึงแม้ว่าเขาจะสุขุมและหนักแน่นแค่ไหน แต่อย่างไรเสียเขาก็เป็นเพียงเด็กหนุ่มที่อายุเพียงสิบห้าปีเท่านั้น ใบหน้าของเขาจึงแดงก่ำ พูดอะไรไม่ออกแม้แต่คำเดียว
สืออีเหนียงเห็นแล้วก็ยิ้มขึ้นบางๆ พูดขึ้นเป็นนัยว่า “วัยเยาว์เป็นช่วงเวลาที่สามีและภรรยารักใคร่กลมเกลียวที่สุด ส่วนใหญ่เป็นเพราะความรู้สึกประทับใจในครั้งแรก บิดาของเจ้าบอกแล้วว่าเรื่องนี้ไม่รีบร้อน ค่อยเป็นค่อยไป เจ้ากลับไปคิดพิจารณาดีๆ ถึงเวลานั้นก็แค่ให้คนมาบอกข้าสักคำก็พอ” จากนั้นก็ยกถ้วยน้ำชาขึ้นมาจิบเพื่อเป็นการส่งแขก
สวีซื่ออวี้เดินออกจากประตูลานสวนด้วยความรู้สึกที่สับสนและวุ่นวายใจ เงยหน้าขึ้นมาอีกทีก็เห็นเจินเจี่ยเอ๋อร์ที่กำลังคุยกับเสี่ยวหลีสาวใช้น้อยด้วยสีหน้าที่ยิ้มแย้มเดินมาทางนี้พอดี เขาจึงรีบดึงสติให้กลับคืนมา จากนั้นก็กล่าวทักทายเจินเจี่ยเอ๋อร์
เจินเจี่ยเอ๋อร์พูดขึ้นด้วยสีหน้าที่ค่อนข้างเขินอายว่า “ได้ยินท่านแม่บอกว่าหลังตรุษจีนพี่สองจึงค่อยกลับไปที่เล่ออานใช่หรือไม่”
สวีซื่ออวี้ก็ยิ้มพร้อมกับพยักหน้าเบาๆ “ทำไมหรือ หรือว่ามีของจะฝากข้าไปที่เล่ออาน”
หลังจากที่คุณหนูเก้าสกุลเจียงมาเป็นแขกที่เรือนแล้ว สืออีเหนียงก็มักจะส่งเสื้อผ้าและของกินไปให้นางเสมอ คุณหนูเก้าสกุลเจียงก็จะส่งรองเท้าถุงเท้าที่นางทำเองกับมือกลับมา เวลาที่สืออีเหนียงส่งของตอบแทนกลับไป ก็มักจะให้เจินเจี่ยเอ๋อร์เป็นคนจัดการตลอด ทั้งสองส่งของไปๆ มาๆ แถมยังอายุไล่เลี่ยกัน ก็เลยมีการเขียนจดหมายส่งหากัน
ใบหน้าของเจินเจี่ยเอ๋อร์พลันแดงก่ำขึ้นมาทันที เสี่ยวหลีที่อยู่ข้างๆ ก็ยิ้มพร้อมกับพูดขึ้นว่า “วันสิบค่ำเดือนสิบที่จะถึงนี้เป็นวันครบหนึ่งขวบของคุณชายน้อยหก วันที่ยี่สิบห้าก็เป็นวันเกิดของคุณชายน้อยสอง พอถึงเดือนสิบเอ็ด คุณหนูของบ่าวก็ถึงเวลาอันควรที่จะต้องจัดงานพิธีขึ้นปิ่นปักผมแล้ว หากคุณชายน้อยสองยังอยู่ที่จวน คุณหนูบอกว่าคงครึกครื้นกว่าเทศกาลไหว้พระจันทร์อีกเจ้าค่ะ”
หลังงานพิธีขึ้นปิ่นปักผม เจินเจี่ยเอ๋อร์ก็จะต้องแต่งงานออกเรือนแล้ว นี่คงเป็นการจัดงานวันเกิดในจวนเป็นครั้งสุดท้ายแล้ว เพราะต้องไว้ทุกข์ สวีซื่ออวี้จึงต้องอยู่ที่เมืองเยี่ยนจิงต่อ บวกกับสวีซื่อฉินและสวีซื่อเจี่ยนที่กลับมาจากซานหยาง สำหรับพี่น้องแล้ว นี่นับเป็นการรวมตัวอย่างพร้อมหน้าพร้อมตาที่แท้จริง
สวีซื่ออวี้ค่อนข้างผิดหวัง แต่เขากลับพยักหน้าด้วยรอยยิ้ม “ถึงเวลานั้นข้าจะต้องมอบของขวัญชิ้นโตให้น้องหญิงอย่างแน่นอน!”
“ใครอยากได้ของขวัญชิ้นโตจากพี่สองกันเล่า” เจินเจี่ยเอ๋อร์จ้องมองสวีซื่ออวี้ด้วยสีหน้าที่เต็มไปด้วยความจริงจัง “ข้าขอเพียงพี่สองอย่าลืมน้องหญิงคนนี้ เวลาที่มีโอกาสก็มาเยี่ยมน้องบ้าง”
สวีซื่ออวี้รีบพยักหน้ารับปากทันที
เวลานี้เองก็มีป้ารับใช้ที่กำลังพูดคุยหัวเราะเดินมาทางนี้พอดี มีบางคนพูดขึ้นด้วยเสียงที่ค่อนข้างดัง ก็เลยได้ยินพวกนางกำลังพูดว่า “พิธีสรงสาม พิธีครบเดือนและพิธีครบร้อยวันของคุณชายน้อยหกเชิญเพียงแค่ญาติที่สนิทเท่านั้น พิธีครบรอบหนึ่งขวบในครั้งนี้ก็คงไม่จัดใหญ่โตหรอกกระมัง!”
“ฮูหยินสี่เป็นคนเรียบง่าย ไม่ได้สนใจลาภยศ กลัวการร้องรำทำเพลงจัดงานใหญ่โตเป็นที่สุด ย่อมไม่อยากจัดงานใหญ่อยู่แล้ว แต่ต้องให้ท่านโหวเห็นด้วยถึงจะถูก!”
“ที่ผ่านมาท่านโหวไม่ยุ่งเกี่ยวกับธุระในจวนเลย ย่อมต้องฟังฮูหยินสี่อย่างแน่นอน!”
จากนั้นก็มีคนพูดขึ้นว่า “ฮูหยินบอกแล้วว่าคุณชายน้อยหกยังเด็กมาก สวมใส่เสื้อผ้าที่สะอาดและเรียบร้อย อบอุ่นและถ่ายเทอากาศได้ดีก็พอแล้ว แต่วันที่คุณชายน้อยใหญ่แต่งงาน ท่านโหวบอกว่าอย่าให้คุณชายน้อยหกแต่งตัวซอมซ่อจนเกินไป ก็เลยสั่งทำชุดคลุมนกกระเรียนผ้าไหมให้คุณชายน้อยหกทีเดียวถึงสี่ชุด แต่ละชุดนั้นสีไม่ซ้ำกันเลย ถึงแม้ว่าฮูหยินสี่จะไม่ได้พูดอะไร แต่การที่บิดาสงสารและเอ็นดูบุตรชาย คนเป็นมารดาจะไม่ดีใจได้อย่างไรกัน เจ้าไม่เห็นเมื่อหลายวันก่อนที่คุณชายน้อยหกเอาแต่ดื่มนมแล้วไม่ยอมทานข้าวต้มผักหรือ แม่นมกู้เองก็ไม่กล้าที่จะบังคับ”
สวีซื่ออวี้และเจินเจี่ยเอ๋อร์อดไม่ได้ที่จะหันมาสบตากัน
เมื่อเหล่าบรรดาป้ารับใช้เห็นทั้งสอง ก็รีบเข้าไปทำความเคารพทันที
สองปีมานี้เจินเจี่ยเอ๋อร์เป็นคนดูแลเหล่าบรรดาป้ารับใช้แทนสืออีเหนียง ป้ารับใช้เหล่านั้นจึงเคารพนางมากขึ้นกว่าเดิม
“คุณหนูใหญ่กำลังจะไปพบฮูหยินสี่ หรือว่าพึ่งออกมาจากเรือนของฮูหยินสี่เจ้าคะ”
“ข้ากำลังจะไปพบท่านแม่” เจินเจี่ยเอ๋อร์พูดขึ้นด้วยสีหน้าที่ยิ้มแย้ม แต่ยังคงแฝงไว้ซึ่งความสุขุมและความสำรวม เป็นสีหน้าท่าทีที่สวีซื่ออวี้ไม่ค่อยคุ้นเคย
แววตาของเขาหมองลงเล็กน้อย พูดคุยกับเจินเจี่ยเอ๋อร์อยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็มองตามหลังเจินเจี่ยเอ๋อร์ที่ถูกรายล้อมไปด้วยป้ารับใช้ที่กำลังประคองนางเข้าไปในเรือนหลักด้วยความประจบประแจง
“คุณชายน้อยสอง” เซียงจู๋สาวใช้ของเขาเห็นว่าเขากำลังยืนลังเลอยู่ จึงยิ้มพร้อมกับพูดขึ้นว่า “เมื่อครู่นี้บ่าวเห็นคุณนายน้อยใหญ่ไปที่เรือนของไท่ฮูหยินกับฮูหยินสามเจ้าค่ะ”
สวีซื่อฉินอาศัยเรือนที่อยู่ด้านหลังของเรือนหลัก ความหมายของนางก็คือหากเขาไม่มีที่ไป ก็สามารถไปนั่งเล่นที่เรือนของสวีซื่อฉินได้
สวีซื่ออวี้นึกถึงสายตาที่ฟังซื่อใช้มองสวีซื่อฉิน สายตาที่เต็มไปด้วยความรักอย่างลึกซึ้ง จู่ๆ ก็รู้สึกว่าที่เรือนของสวีซื่อฉินคงไม่เหมาะที่จะไปเที่ยวเล่นแล้ว แต่เขาเองก็ยังไม่อยากจะกลับเรือน
กักขัง…หากภรรยาของเขาเข้าจวนมา แล้วเขาจะต้องจัดการอย่างไร ทำเหมือนมารดาผู้ให้กำเนิดเขา หรือเหมือนสาวใช้ห้องข้างของท่านอาห้าที่ถูกขับไล่และต้องไปแต่งงานกับชายคนอื่นที่ชนบท
ในใจของเขาสับสนวุ่นวายไปหมด
แต่ก็ไม่สามารถยืนอยู่ที่นี่ทั้งอย่างนี้ได้
เขาครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็พูดขึ้นเสียงเบาว่า “ข้าจะไปเยี่ยมท่านป้าสะใภ้สองสักหน่อย”
เซียงจู๋ขานรับด้วยสีหน้าที่ยิ้มแย้ม จากนั้นก็นำทางเขาไปทันที
เมื่อไปถึงเรือนของฮูหยินสอง กลับถูกเจี๋ยเซียงขวางไว้ที่ด้านนอก “เมื่อคืนนี้ฮูหยินสองไม่ได้นอนทั้งคืน อีกวันสองวันคุณชายน้อยสองค่อยมาใหม่เถิดนะเจ้าคะ!”
“เกิดอะไรขึ้น” สวีซื่ออวี้แปลกใจเป็นอย่างมาก
“หลายวันมานี้ฮูหยินสองกำลังจดจ่ออยู่กับการดูดาว” เจี๋ยเซียงตอบกลับด้วยสีหน้าที่ยิ้มแย้ม “สองวันก่อนคุณนายน้อยใหญ่มาขอพบ ฮูหยินสองก็ไม่ได้ให้เข้าพบเจ้าค่ะ”
สวีซื่ออวี้จึงค่อยรู้สึกโล่งอกขึ้นมา จากนั้นก็ยิ้มพร้อมกับพูดขึ้นว่า “ในเมื่อท่านป้าสะใภ้สองไม่ได้ป่วย ข้าเองก็สบายใจแล้ว” แต่เขายังไม่อยากกลับ ก็เลยให้เจี๋ยเซียงไปชงชามาให้เขาหนึ่งกา นั่งพักผ่อนหย่อนใจในสวนไม้ไผ่
ผ่านไปครู่หนึ่งก็เห็นสตรีนางหนึ่งที่สวมเสื้อกั๊กสีแดงและกระโปรงสีม่วงน้ำเงินเดินผ่านทางเดินข้างๆ สวนไม้ไผ่
เซียงจู๋ที่ยืนอยู่ข้างๆ ก็พูดขึ้นด้วยสีหน้าที่ยิ้มแย้มว่า “คุณชายน้อยสอง คนผู้นั้นคือพี่ซิ่วหยวน สาวใช้คนสนิทของเฉียวอี๋เหนียงเจ้าค่ะ”
“อ้อ” สวีซื่ออวี้ตอบกลับไปตามเนื้อผ้า
เซียงจู๋จึงยิ้มพร้อมกับพูดต่อไปว่า “ได้ยินมาว่าพี่ซิ่วหยวนเหมือนพี่เจี๋ยเซียง อยากเป็นอุบาสิกาในเรือน ก็เลยไปขอกับฮูหยินสี่ ในตอนแรกฮูหยินสี่ไม่ได้อนุญาต พี่ซิ่วหยวนจึงเกล้าผมเพื่อแสดงถึงเจตนารมณ์และความตั้งใจของนาง ฮูหยินสี่ก็เลยให้นางไปขอเป็นลูกศิษย์ของไต้ซือจี้หนิง ตอนนี้นางจึงค่อนข้างสนิทกับพี่เจี๋ยเซียงเจ้าค่ะ”
หญิงสาวคนนั้นหน้าตาจิ้มลิ้มและงดงามเป็นอย่างมาก หากอยู่นอกจวนถือว่าหาได้ยากยิ่ง แต่สำหรับในจวนแล้ว ก็ไม่ได้ถือว่าเลิศเลอเท่าไรนัก
สวีซื่ออวี้จ้องมองต้นไผ่ที่กำลังร่ายรำด้วยอาการเหม่อลอย
*****
ทางฝั่งจู๋เซียงก็กำลังเดินออกไปส่งป้ารับใช้ที่ประตู
เจินเจี่ยเอ๋อร์และสืออีเหนียงก็เดินเข้าไปในห้องชั้นใน
“ท่านแม่…งานพิธีครบรอบหนึ่งขวบของน้องหก…”
“จัดเหมือนตอนวันครบรอบร้อยวัน” สืออีเหนียงตอบกลับเจินเจี่ยเอ๋อร์ด้วยรอยยิ้ม
เจินเจี่ยเอ๋อร์นึกถึงคำพูดของเหล่าบรรดาป้ารับใช้ที่ต่างก็พากันสนับสนุนให้สืออีเหนียงจัดงานใหญ่โต จึงอดไม่ได้ที่จะเม้มปากแน่น
ถึงแม้สืออีเหนียงจะพูดออกมาอย่างนี้ แต่ในใจก็ยังเป็นกังวลว่าสวีลิ่งอี๋จะไม่เห็นด้วย ก็เลยไม่อยากจะพูดถึงเรื่องนี้ต่อ จึงยิ้มพร้อมกับเปลี่ยนไปคุยเรื่องพิธีขึ้นปิ่นปักผมของเจินเจี่ยเอ๋อร์แทน “ข้าขอให้อาจารย์เจี่ยนเป็นคนช่วยเจ้าทำเสื้อผ้าที่ใช้ใส่ในวันงาน ประมาณปลายเดือนสิบถึงจะเสร็จ ถึงเวลานั้นเจ้าก็ลองดูว่ามีตรงไหนจะแก้ไขหรือไม่”
เจินเจี่ยเอ๋อร์รู้ว่าสืออีเหนียงกำลังเตรียมทุกอย่างให้นางอยู่ ได้ยินแม้การทั้งเรื่องที่สืออีเหนียงแอบยื่นป้ายจะเข้าวังเพื่อที่จะขอพระราชทานจากฮองเฮาเมื่อหลายวันก่อนด้วย เมื่อได้ยินแล้วนางก็รู้สึกทำตัวไม่ค่อยถูกขึ้นมา “ท่านแม่ตัดสินใจเองก็พอเจ้าค่ะ”
“ข้าตัดสินใจเอง แต่ก็ต้องให้เจ้าชอบด้วยถึงจะถูก”
ทั้งสองพูดคุยกันอยู่ครู่หนึ่ง ก็มีสาวใช้น้อยเข้ามาเรียนว่า “คุณนายน้อยใหญ่มาหาเจ้าค่ะ!”
หลังจากที่ฟังซื่อแต่งงานแล้ว นางก็อยู่ปรนนิบัติรับใช้ฮูหยินสามเสียส่วนใหญ่ เวลาที่เจอกันโดยบังเอิญก็จะเป็นตอนที่นางไปคารวะไท่ฮูหยิน นี่เป็นครั้งแรกที่นางมาหาคนเดียวอย่างนี้
สืออีเหนียงรีบเชิญนางไปที่ห้องรับแขกทางทิศตะวันตก จากนั้นก็ให้สาวใช้รินน้ำชามาต้อนรับนาง
ฟังซื่อและเจินเจี่ยเอ๋อร์ต่างก็ทำความเคารพซึ่งกันและกัน จากนั้นก็นั่งลงบนเก้าอี้ไท่ซือที่อยู่ตรงข้ามกับเตียงเตา
“ท่านแม่มีเรื่องปรึกษาหารือกับท่าย่า เหลือข้าคนเดียว ก็เลยมาหาท่านอาสะใภ้สี่!” นางเหลือบมองเจินเจี่ยเอ๋อร์ด้วยสีหน้าที่เอียงอาย “ข้าไม่ได้มารบกวนท่านอาสะใภ้และน้องหญิงใหญ่หรอกกระมัง”
“พวกข้าเองก็แค่คุยเล่นเรื่อยเปื่อย” สืออีเหนียงตอบกลับด้วยสีหน้าที่ยิ้มแย้ม “เจ้ามาร่วมคุยด้วย ก็จะคุยกันสนุกมากยิ่งขึ้น รบกวนอะไรกันเล่า” จากนั้นก็ถามนางด้วยความสนิทสนมว่าตอนนี้ปรับตัวได้แล้วหรือยัง เวลาว่างส่วนใหญ่นางทำอะไรบ้าง
ฟังซื่อตอบกลับคำถามแรก “ปรับตัวได้แล้วเจ้าค่ะ” จากนั้นก็เริ่มตอบกลับคำถามที่สองของสืออีเหนียง “ตอนอยู่ในเรือนข้าเย็บปักถักร้อยเสียส่วนใหญ่ อ่านเขียนหนังสือตำรา ปลูกต้นไม้ดอกไม้ เพียงแต่ว่าข้าเป็นคนนิสัยใจร้อนไม่ละเอียดอ่อน เลยทำได้ไม่ดีเท่าไรนัก ข้าได้ยินมาว่าฝีมือการเย็บปักถักร้อยของท่านอาสะใภ้สี่เป็นที่เลื่องชื่อที่สุด การเพาะปลูกดอกไม้ก็ดีเยี่ยม ก็เลยอยากหาโอกาสมาให้ท่านอาสะใภ้สี่ช่วยชี้แนะ ไม่รู้ว่าท่านอาสะใภ้สี่จะรังเกียจว่าข้าโง่เขลาหรือไม่”
แสดงด้วยท่าทีและทัศนคติของความเป็นมิตร
ทุกคนต่างก็เป็นญาติกันทั้งนั้น ก็ควรจะไปมาหาสู่กันอย่างสนิทสนมถึงจะถูก
“สะใภ้ฉินเกอถ่อมตัวเกินไปแล้ว!” สืออีเหนียงพูดขึ้นด้วยสีหน้าที่ยิ้มแย้ม “หากว่าเจ้าชอบ ก็แค่มาก็พอ กลัวก็แต่ว่าหลังจากที่เจ้าเห็นผลงานการเย็บปักถักร้อยของอาสะใภ้สี่คนนี้แล้ว จะรู้สึกธรรมดาทั่วไป การเพาะปลูกดอกไม้ก็ไม่ได้เลิศเลอเท่าไรนัก จะผิดหวังเป็นอย่างมากเอาได้!”
“เป็นท่านอาสะใภ้ที่ถ่อมตัวเกินไปเจ้าค่ะ!” ฟังซื่อพูดขึ้นด้วยสีหน้าที่ยิ้มแย้ม “ที่เรือนของท่านแม่มีว่านสิบแสนอยู่สองกระถางประดับอยู่ด้วย ได้ยินเหล่าบรรดาสาวใช้บอกว่าได้มาจากเรือนหน่วนฝัง จึงได้รู้ว่าท่านอาสะใภ้เป็นคนที่ชื่นชอบต้นไม้ดอกไม้ ข้าเองก็ชอบเลี้ยงดอกกล้วยไม้ ท่านอาสะใภ้พูดมาเช่นนี้ พลอยจะทำให้ข้าไม่กล้าเอ่ยปากขอเสียมากกว่า”
ในสมัยโบราณการเลี้ยงดอกกล้วยไม้นั้นไม่ใช่เพียงเพื่อความสูงส่งและสง่างามเท่านั้น แต่ยังต้องลงทุนลงแรง ทั้งแรงกายและความตั้งใจอีกด้วย แต่เด็กสาวผู้นี้กลับมี…สืออีเหนียงอดไม่ได้ที่จะรู้สึกแปลกใจ จ้องมองฟังซื่ออย่างละเอียดถี่ถ้วน
ฟังซื่อสังเกตมองสืออีเหนียงอย่างเปิดเผย จากนั้นก็ยิ้มพร้อมกับพูดขึ้นว่า “เสียดายที่ครั้งนี้ข้ามาค่อนข้างเร่งรีบ ไม่ทันได้นำดอกไม้มาให้ท่านอาสะใภ้สี่เชยชม จึงทำได้เพียงแค่รอคนมาที่เมืองเยี่ยนจิงเท่านั้น ไว้ข้าจะให้คนนำดอกไม้มาให้ท่านอาสะใภ้สี่ชมนะเจ้าคะ”
เคยเห็นเรือนดอกไม้ของนางแล้วแต่กลับกล้าพูดจาเช่นนี้ แสดงว่ามีของดีอยู่ในย่ามอย่างแน่นอน
สืออีเหนียงยิ้มพร้อมกับกล่าวขอบคุณ จากนั้นก็พูดคุยกับฟังซื่ออยู่ครู่หนึ่ง ก็มีสาวใช้น้อยที่ไม่คุ้นหน้าคุ้นตาเปิดม่านชะเง้อหน้าเข้ามาดู ฟังซื่อจึงยิ้มพร้อมกับลุกขึ้นขอตัวลากลับ
เจินเจี่ยเอ๋อร์ออกไปส่งแขกแทนสืออีเหนียง
สืออีเหนียงก็ถามชิวอวี่ขึ้นมา “สาวใช้น้อยของคุณนายน้อยใหญ่อยู่ด้านนอกนั่นหรือ”
“เจ้าค่ะ!” ชิวอวี่ยิ้มพร้อมกับพูดต่อไปว่า “เห็นว่ากลัวฮูหยินสามกลับมาแล้วคุณนายน้อยใหญ่จะไม่รู้ จะเป็นการละเลยไม่ได้ต้อนรับฮูหยินสามเท่าที่ควร ก็เลยให้นางคอยดูอยู่ข้างนอก หากฮูหยินสามกลับมาก็ให้รีบไปรายงานกับคุณนายน้อยใหญ่ทันทีเจ้าค่ะ”
สืออีเหนียงพยักหน้าเบาๆ จากนั้นก็กำชับว่าวันข้างหน้าหากสาวใช้น้อยของฟังซื่อจะเข้ามาแจ้งข่าว ไม่จำเป็นต้องขวางไว้
ตกกลางคืน หลังจากที่สวีลิ่งอี๋กลับมาถึง เขาก็ได้พูดถึงเรื่องครอบครัวของคุณชายสามกับนาง
“พี่สามเขียนจดหมายมาหาข้า” เขาพิงกายอยู่บนหัวเตียง ลูบผมของสืออีเหนียงอย่างสบายใจ “เขาบอกว่าที่โน่นไม่มีคนดูแลเขา รอจิ่นเกอจัดพิธีครบหนึ่งขวบปีเสร็จแล้ว ก็ให้ข้าหาคนส่งพี่สะใภ้สามกลับไปที่ซานหยาง ส่วนฉินเกอและเจี่ยนเกอ เขาได้เชิญอาจารย์ผู้เฒ่าที่ประจำการอยู่ที่สำนักศึกษาฮั่นหลินย่วนมาเป็นอาจารย์ผู้สอนที่ตรอกซานจิ่ง เมื่อถึงเวลานั้นก็ให้พวกเขาสองพี่น้องย้ายไปที่นั่น ส่วนเรื่องธุระภายในจวนก็ให้ฟังซื่อเป็นคนดูแลจัดการ สองพี่น้องก็จะได้มีคนดูแล”
นี่ไม่เท่ากับเป็นการแยกสกุลหรอกหรือ
เรื่องเกิดขึ้นเร็วจนเกินไป พลอยทำให้สืออีเหนียงรู้สึกว่าเรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องจริงอย่างไรอย่างนั้น
“แล้วพี่สะใภ้สามรู้เรื่องหรือไม่เจ้าคะ”