ร้อยรักปักดวงใจ - ตอนที่ 519 เข้าจวน (กลาง)
เพียงไม่นานทั้งเรือนก็เต็มไปด้วยผู้คน
กานฮูหยินก็ได้มากล่าวทักทายกับสืออีเหนียงอย่างกระตือรือร้น สืออีเหนียงและฮูหยินห้าก็ได้พูดคุยกับนางอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็หาเหตุผลเพื่อขอตัวออกจากเรือนหอไป
เวลานี้ก็ยามจื่อแล้ว ทั้งสองจึงค่อนข้างเหนื่อยล้าเป็นอย่างมาก พูดคุยกันอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็แยกย้ายกลับเรือนของตัวเองไป
เพียงแต่ว่าสืออีเหนียงที่พึ่งก้าวเท้าลงบนขั้นบันไดของเรือนหลัก อวี้ป่านสาวใช้ที่เรือนของไท่ฮูหยินก็เข้ามาหาด้วยความรีบร้อน
“ฮูหยินสี่” นางขานเรียกสืออีเหนียงเสียงเบา “ไท่ฮูหยินให้บ่าวมาตาม บอกว่ามีเรื่องจะคุยกับท่านเจ้าค่ะ”
สืออีเหนียงจึงไปหาไท่ฮูหยินพร้อมกับนาง
ในเรือนไท่ฮูหยินสว่างไสวไปด้วยตะเกียงไฟ ภายใต้แสงไฟ สามารถมองเห็นสีหน้าที่เหนื่อยล้าได้อย่างชัดเจน
สืออีเหนียงก็เดินเข้าไปย่อตัวทำความเคารพ ไท่ฮูหยินได้ให้บ่าวรับใช้ที่ปรนนิบัติอยู่ในเรือนถอยออกไปจนหมด
จากนั้นก็ได้ถามสืออีเหนียงเสียงเบาว่า “เจ้าสาวเป็นอย่างไรบ้าง”
ที่แท้แล้วก็เป็นกังวลใจเรื่องนี้นี่เอง!
สืออีเหนียงจ้องมองไปยังริ้วรอยเหี่ยวย่นที่หางตาของไท่ฮูหยิน ในใจแอบรู้สึกว่าไท่ฮูหยินชรากว่าตอนที่นางได้เจอในครั้งแรก
นางอดไม่ได้ที่จะกุมมือของไท่ฮูหยินไว้ พร้อมกับพูดขึ้นเสียงเบาว่า “เบื้องต้นถือว่าดีเจ้าค่ะ” จากนั้นนางก็เล่าทุกอย่างที่ได้เห็นให้ไท่ฮูหยินฟังอย่างละเอียดถี่ถ้วน “…ลักษณะหน้าตาดูดีเป็นอย่างมาก หนังสือตำราที่อ่านมาก็ค่อนข้างเยอะ กิริยามารยาทสุภาพและสุขุม!” จากนั้นก็นึกถึงคนติดตามที่ติดตามฟังซื่อมาด้วย “ไม่ใช่คนที่สายตาคับแคบและไร้ซึ่งประสบการณ์” จากนั้นก็นึกถึงสะใภ้ใหญ่ผู้นั้น “เกรงว่าคงจะเป็นญาติสกุลเดิมที่ไม่ได้มีนิสัยใจคออดทนอดกลั้นเจ้าค่ะ”
ไท่ฮูหยินกลับไม่คิดเช่นนั้น “ไม่ว่าภรรยาของเจ้าสามจะไปดองกับตระกูลไหน นิสัยใจคอจะดีแค่ไหนสุดท้ายก็จะกลายเป็นคนมีอารมณ์ฉุนเฉียวไปโดยปริยาย” ในที่สุดก้อนหินหนักอึ้งในอกก็ถูกยกออก ไท่ฮูหยินจึงถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ด้วยความโล่งอก “เช่นนั้นก็รอดูว่าเช้าวันมะรืนจะมีอะไรเปลี่ยนแปลงหรือไม่”
ฤกษ์งามยามดีถูกกำหนดไว้ค่อนข้างสาย หลังจากที่ส่งแขกกลับเรียบร้อยก็เกือบจะเช้าแล้ว แสงไฟยามค่ำคืนในห้องบ่าวสาวจึงจำเป็นต้องเปลี่ยนเป็นวันพรุ่งนี้แทน เช้าวันพรุ่งนี้หากไม่มีอะไรผิดพลาด ก็จะถือเป็นงานมงคลสมรสที่สมบูรณ์
สืออีเหนียงจึงพยักหน้าเบาๆ จากนั้นก็ปลอบใจไท่ฮูหยินว่า “ท่านวางใจเถิด ไม่มีอะไรเกิดขึ้นอย่างแน่นอน ข้าว่าสีหน้าของท่านเหนื่อยล้าเต็มทีแล้ว ท่านรีบไปพักผ่อนดีหรือไม่ อย่างไรเสียข้าก็ต้องตื่นแต่เช้าเพื่อไปกล่าวทักทายญาติที่ห้องโถงอยู่แล้ว มีเรื่องอันใดก็ให้ป้ารับใช้มาแจ้งข้าก็พอเจ้าค่ะ”
“ไม่ต้องหรอก!” ไท่ฮูหยินพูดขึ้นด้วยสีหน้าที่ยิ้มแย้ม รอยยิ้มกรุ้มกริ่มเจือปนไปด้วยความเจ้าเล่ห์เล็กน้อย “เจ้าข่มนางไม่ไหวหรอก ข้าออกโรงเองจะดีกว่า! เจ้ารีบไปพักผ่อนเถิด หน้าที่ของเจ้าก็คือดูแลจิ่นเกอให้ดีก็พอ!”
ถึงแม้ว่าไท่ฮูหยินจะดีกับจุนเกอเป็นอย่างมาก แต่ก็มีความสงสารและเวทนาแฝงอยู่ในนั้นเสมอ ส่วนจิ่นเกอกลับเป็นความรักใคร่เอ็นดูเสียมากกว่า
ค่าใช้จ่ายงานแต่งของสวีซื่อฉินจะถูกจัดการอย่างไร สืออีเหนียงไม่รู้เรื่องนั้นเลย สวีลิ่งอี๋จะสนใจเรื่องเหล่านี้หรือไม่ ไท่ฮูหยินเองก็ไม่เคยเอ่ยถึงเรื่องนี้ นางเองก็ไม่กล้าที่จะผลีผลามไปถาม
ใครต่อใครจะเข้าใจผิดคิดว่าตนได้คืบจะเอาศอก ตอนนี้ฟังจากน้ำเสียงของไท่ฮูหยินแล้ว ดูเหมือนว่ากำลังเล่นสงครามประสาทกับฮูหยินสามอยู่ เช่นนั้นนางก็ยิ่งไม่สมควรจะหยิบยกเรื่องนี้ขึ้นมาพูดเข้าไปใหญ่
สืออีเหนียงอยากจะช่วยปรนนิบัติไท่ฮูหยินเข้านอนก่อน แต่ไท่ฮูหยินกลับโบกมือพร้อมกับพูดขึ้นว่า “ข้ามีเรื่องจะคุยกับป้าตู้ เจ้ากลับเรือนไปก่อนก็แล้วกัน! อย่าให้เจ้าสี่ดื่มสุรามากเกินไป เขาอายุไม่น้อยแล้ว สุราดื่มมากเกินไปก็จะกลายเป็นโทษต่อร่างกายได้”
“เจ้าค่ะ” สืออีเหนียงขานรับเสียงเบา แล้วจึงถอยออกจากเรือนไป จากนั้นก็สั่งกับจู๋เซียงว่า “…ไปสืบมาว่าค่าใช้จ่ายงานแต่งของคุณชายน้อยใหญ่นั้นคิดอย่างไร”
*****
วันถัดมา สวีซื่ออวี้ สวีซื่อจุน สวีซื่อเจี้ย เจินเจี่ยเอ๋อร์ เหวินอี๋เหนียงและเฉียวอี๋เหนียงก็พากันมาคารวะสืออีเหนียงตั้งแต่เช้าตรู่ ทุกคนต่างก็แต่งตัวด้วยเสื้อผ้าชุดใหม่ หลังจากที่สืออีเหนียงรับการคารวะจากทุกคนแล้ว ก็มีสาวใช้ใหญ่และป้ารับใช้ที่ติดตามมาเป็นโขยง นำทางเด็กๆ ไปยังโถงบุปผาเล็กของห้องโถงหลัก สวีซื่อฉินและฟังซื่อใช้ที่นี่เป็นที่กล่าวทักทายญาติ
นางพึ่งจะไปถึง ฮูหยินห้าก็พาซินเจี่ยเอ๋อร์และเซินเกอมาถึงพอดี
ซินเจี่ยเอ๋อร์รีบสะบัดมือจากแม่นมแล้วเข้าไปจูงมือจิ่นเกอทันที จิ่นเกอเห็นนางหัวเราะอยู่ครู่หนึ่งก็เริ่มหงุดหงิดขึ้นมา จึงพยายามบิดตัวออกจากมือของนางแล้วหันไปมองอักษร ‘สี่’ สีแดงสดที่ติดอยู่กลางห้องโถงแทน
ซินเจี่ยเอ๋อร์เขินอายจนทำตัวไม่ถูก สวีซื่อจุนเดินเข้าไปถามซินเจี่ยเอ๋อร์ว่า “เหตุใดเมื่อวานนี้ถึงไม่เห็นเจ้าในงานเลี้ยงเลย เมื่อวานนี้มีขนมงาไส้ดอกกุ้ยฮวา พวกข้าคิดว่าเจ้าจะต้องชอบอย่างแน่นอน ก็เลยให้ปี้หลัวเอาไปให้ เจ้าได้ทานแล้วหรือยัง”
เมื่อซินเจี่ยเอ๋อร์ได้ยินแล้ว สีหน้าของนางก็ดูผ่อนคลายลงอย่างเห็นได้ชัด เผยให้เห็นรอยยิ้มบางๆ นางพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่ออดอ้อนและสีหน้าที่ดีใจว่า “แม่นมบอกว่ามันทำมาจากข้าวเหนียว ก็เลยให้ทานแค่ครึ่งชิ้น เป็นเหมือนที่พี่สี่พูดไว้ไม่มีผิด อร่อยมากเจ้าค่ะ!”
สวีซื่อจุนได้ยินแล้วก็ดีใจเป็นอย่างมาก สองพี่น้องเริ่มชวนกันคุยอย่างสนุกสนาน
สายตาของสวีซื่ออวี้จับจ้องไปยังจิ่นเกอ
จิ่นเกอสวมเสื้อคลุมนกกระเรียนผ้าไหมสีแดงสดลายก้อนเมฆห้ามงคล กางเกงผ้าแพรต่วนสีขาว ช่วงแผ่นอกมีสร้อยคอจี้กุญแจทองคำสมดังปรารถนาห้อยอยู่ ผิวของเขาขาวเนียนละเอียด ราวกับถูกผลัดผิวด้วยแป้งขาว เงาดุจหยกแกะสลักอย่างไรอย่างนั้น นัยน์ตาที่ทั้งโตและดำขลับของเขาเป็นประกายแวววาว น่ารักน่าชังราวกุมารทองของพระโพธิสัตว์กวนอิมก็ไม่ปาน สายตาของเขาและจิ่นเกอสบประสานกันโดยมิได้ตั้งใจจิ่นเกอก็ส่งรอยยิ้มแป้นให้กับเขาทันที แต่ห้วงเวลานี้หยุดไว้ได้เพียงไม่นาน สายตาของเขาก็ถูกโคมไฟไข่มุกระย้าสีแดงสดที่ซุ่ยเอ๋อร์ถืออยู่เหนือศีรษะของจิ่นเกอดึงดูดไปอย่างรวดเร็ว
สวีซื่ออวี้อดไม่ได้ที่จะฉีกยิ้มขึ้นที่มุมปาก เผยให้เห็นรอยยิ้มบางๆ
เจินเจี่ยเอ๋อร์หันไปจูงมือของสวีซื่อเจี้ยเดินตามหลังสืออีเหนียงออกไปต้อนรับคุณนายใหญ่สกุลหง คุณนายสองสกุลฟู่และคุณนายสามสกุลติ้งที่มาจากเมืองหนานจิง คุณนายใหญ่สกุลหงและคุณนายสองสกุลฟู่ได้พาสะใภ้คนโตมาด้วย ไม่ได้เจอหน้ากันหลายปี ไม่เพียงแต่เป็นการกล่าวทักทายญาติเท่านั้น แต่ยังได้ไถ่ถามสารทุกข์สุกดิบอีกด้วย ขณะที่กำลังครึกครื้นอยู่นั้น ฮูหยินสามก็เดินเข้ามาพร้อมกับจงฉินปั๋วฮูหยิน เหล่าบรรดาป้าสะใภ้ น้าสะใภ้และคุณหนูของสกุลกาน
กานฮูหยินก็ได้ยืนพูดคุยกับสืออีเหนียงและสตรีคนอื่นๆ ด้วยสีหน้าที่ยิ้มแย้ม ลืมญาติผู้หญิงที่อยู่ในตระกูลรวมไปถึงคุณหนูที่ยืนอยู่ข้างๆ ไปเสียสนิท ส่วนเหล่าบรรดาสะใภ้ที่เป็นญาติสนิทของฮูหยินสามเห็นแล้วก็อดไม่ได้ที่จะเบะปาก จากนั้นก็เห็นจงฉินปั๋ว สวีลิ่งควนและเหล่าบรรดาลุง อา น้าชายและบุตรเขยของสกุลกาน รวมไปถึงสวีซื่อเจี่ยนที่เดินตามหลังสวีลิ่งอี๋เข้ามาพอดี
โถงบุปผาก็โกลาหลขึ้นมาทันที
ทุกคนทยอยแบ่งแยกชายหญิง แยกกันนั่งฝั่งซ้ายขวาชัดเจน สะใภ้กานเหล่าเฉวียนก็พาสวีซื่อฉินและฟังซื่อเข้ามา
คู่บ่าวสาวก็ได้เข้าไปทำความเคารพสวีลิ่งอี๋และคนอื่นๆ ก่อนเป็นอันดับแรก นอกจากสวีลิ่งอี๋ที่มอบกำไรหงส์ทองคำหนึ่งคู่เป็นของขวัญเจอหน้าครั้งแรกแทนคุณชายสามแล้ว คนที่เหลือก็พากันกล่าวคำอวยพรจำพวก ‘สามีภรรยาควรเคารพซึ่งกันให้เหมือนกับการเคารพแขก’ จากนั้นก็ไปทำความเคารพเหล่าบรรดาสตรีและเด็กๆ ที่ห้องโถงด้านข้าง
ฮูหยินสามจ้องมองบุตรชายและลูกสะใภ้ที่กำลังคำนับนางอยู่ อดไม่ได้ที่จะน้ำตาคลอขึ้นมา จากนั้นก็รับรองเท้าถุงเท้าที่ฟังซื่อทำให้ กล่าวคำว่า “ดี…ดี…” ซ้ำแล้วซ้ำเล่าไม่ขาดสาย จนใบหน้าของฟังซื่อแดงก่ำเพราะความเขินอาย ชิวหลิงก็รีบนำกล่องไม้สีแดงสดไปมอบให้
ฟังซื่อรับกล่องไม้มาด้วยสองมือ สายตาของทุกคนก็จับจ้องไปยังสืออีเหนียงที่ฐานะบรรดาศักดิ์สูงส่งที่สุดในห้องโถงนี้
สืออีเหนียงกำลังจ้องมองปิ่นปักผมหงส์ทองคำที่ประดับไปด้วยหยกมรกต ทับทิมแดง เพชรตาแมวและไข่มุกขนาดเท่าเม็ดบัวบนศีรษะของฮูหยินสาม จากนั้นก็แอบพยักหน้าเบาๆ หันไปรับกล่องไม้ที่สลักด้วยลายสีทองจากชิวอวี่และกำลังจะยื่นให้กับฟังซื่อ แต่ฮูหยินห้ากลับหัวเราะพร้อมกับพูดขึ้นว่า “ช้าก่อน ช้าก่อน ไหนๆ วันนี้ก็เป็นวันที่กล่าวทักทายเพื่อทำความรู้จักกับญาติพี่น้อง แล้วเราจะหนีไปไหนได้เล่า ค่อยๆ ให้ทีละคนตามลำดับจะดีกว่า”
ทุกคนต่างก็พากันหันไปมองฮูหยินห้า
มือที่กำลังยื่นกล่องไม้ของสืออีเหนียงก็ชะงักไป จากนั้นก็เก็บกล่องไม้กลับมาดังเดิม
“พี่สะใภ้สามสู่ขอลูกสะใภ้ที่ใบหน้างดงามราวกับหยกก็ไม่ปาน ไม่รู้ว่าชอบจริงหรือแกล้งชอบ” ฮูหยินห้ายกแขนเสื้อขึ้นมาบังพร้อมกับหัวเราะออกมาเบาๆ “ที่บอกว่าก่อนหน้านี้ไม่นับ ข้าจะรอดูว่าวันนี้พี่สะใภ้สามจะมอบอะไรเป็นของขวัญ” พูดจบ นางก็หันไปส่งสายตาให้ชิวหลิงเปิดฝากล่องไม้ “สิ่งที่ได้ยินด้วยหูอาจจะเป็นเรื่องเท็จ เห็นด้วยตาต่างหากถึงจะเป็นเรื่องจริง”
ฮูหยินสามได้ยินแล้วก็ยิ้มขึ้นบางๆ รอยยิ้มของนางแฝงไปด้วยความลำพองใจมากกว่าสำรวมเสียด้วยซ้ำ
ชิวหลิงจึงยิ้มพร้อมกับเปิดฝากล่องไม้ออก
ด้านในเป็นชุดเครื่องประดับผมเฟินซินทองคำ ถึงแม้ว่าจะดูค่อนข้างเก่าแก่ แต่อย่างน้อยๆ ก็หนักราวห้าถึงหกตำลึงเห็นจะได้
พี่สะใภ้ใหญ่ของฮูหยินสามรู้สึกว่าของขวัญของฮูหยินสามนั้นถือว่าใช้ได้ มองดูอยู่ครู่หนึ่งก็ได้พูดขึ้นว่า “เป็นอย่างไรบ้าง ฮูหยินห้าพอใจหรือไม่”
“ถือว่าใช้ได้!” ฮูหยินห้าพูดขึ้นด้วยรอยยิ้ม
ฟังซื่อก็รู้สึกทำตัวไม่ค่อยถูกขึ้นมา จึงก้มหน้าลงต่ำ
ใบหน้าของฮูหยินสามก็เต็มไปด้วยความภาคภูมิใจเข้าไปใหญ่
จากนั้นสายตาของทุกคนก็จับจ้องไปยังสืออีเหนียงอีกครั้ง
ใบหน้าของสืออีเหนียงก็เผยให้เห็นสีหน้าที่ลังเลขึ้นมา
หลังจากที่พี่สะใภ้ใหญ่ของฮูหยินสามเห็นแล้วก็ยิ้มพร้อมกับพูดขึ้นว่า “ฮูหยินสี่ ครอบครัวสกุลเดิมของพวกข้ากำลังตั้งหน้าตั้งตารอดูท่านอยู่!”
สืออีเหนียงได้ยินแล้วก็หัวเราะออกมาเบาๆ จากนั้นก็ยื่นกล่องไม้ให้กับฟังซื่อ “น้ำใจเล็กๆ น้อยๆ จากข้า ขอหลานสะใภ้อย่าได้รังเกียจ!”
พี่สะใภ้ใหญ่ของฮูหยินสามเห็นว่านางไม่ยอมเปิดฝากล่องไม้ออก ไม่เปิดเผยต่อสายตาของผู้คน จึงคิดว่าต้องไม่ใช่ของดีอย่างแน่นอน จึงหัวเราะออกมาด้วยน้ำเสียงที่เยือกเย็นแล้วพูดขึ้นว่า “ของขวัญเจอหน้าของหย่งผิงโหวฮูหยิน ไม่ว่าอย่างไรก็ควรจะเปิดให้พวกเราเห็นเป็นบุญตาเสียหน่อยถึงจะถูก!”
ฟังซื่อได้ยินแล้วสีหน้าของนางก็เต็มไปด้วยความกังวลใจ รีบหันไปส่งสายตาขอความช่วยเหลือจากสวีซื่อฉิน
สวีซื่อฉินทำเพียงยืนยิ้มอยู่ข้างๆ เท่านั้น
ท่านอาสะใภ้สี่เป็นคนจริงใจ และถึงแม้ว่าจะเป็นของที่ไม่ได้มีค่ามากมายอะไร แต่โดยปกติแล้วจะชนะด้วยฝีมือที่มีสีสันเป็นอย่างมาก เขาจึงไม่ได้เป็นกังวลใจแต่อย่างใด
ฟังซื่อจนปัญญา นางหลุบตาลงต่ำ จากนั้นก็ค่อยๆ เปิดฝากล่องออก
ปิ่นปักผมทองคำถูกวางอยู่บนแผ่นรองกำมะหยี่สีม่วงบานเย็น หัวปิ่นที่ค่อนข้างใหญ่ม้วนทรงกลม สลักด้วยลายหงส์คู่ทะยานฟ้า ปีกของหงส์เหมือนจริงราวกับปีกจริงก็ไม่ปาน ฝีมือการแกะสลักละเอียดประณีตและลึกล้ำ กำลังสยายปีกโบยบินคลอเคลียอยู่ท่ามกลางเมฆหมอก ก้อนเมฆซ้อนทับเป็นชั้นๆ จนมิอาจนับได้ ถูกล้อมรอบด้วยหงส์คู่ และเป็นเพราะทำจากทองคำใหม่ จึงสว่างและเงางามเป็นอย่างมาก เกิดเป็นแสงจ้ากระทบตาจนแทบจะลืมตาไม่ขึ้นเลยทีเดียว
บางคนเชยชมว่า “งดงามยิ่งนัก” และบางคนก็พูดขึ้นด้วยความสงสัยว่า “น้ำหนักคงจะสิบกว่าตำลึงเลยกระมัง”
“สิ่งนี้ล้ำค่าเกินไปแล้ว” ฟังซื่อเงยหน้าขึ้นมามองสืออีเหนียงด้วยสีหน้าที่ตกใจ ราวกับถูกไฟลวกอย่างไรอย่างนั้น
“หงส์คู่ทะยานฟ้า สลัดปีกโบยบิน” สืออีเหนียงจ้องมองนางด้วยรอยยิ้มที่อ่อนโยน “อาสะใภ้สี่ขออวยพรให้พวกเจ้าแก่เฒ่าไปด้วยกัน รักใคร่ผูกพันเป็นหนึ่งเดียว”
ฟังซื่อได้ยินแล้วก็รู้สึกตื้นตันใจเป็นอย่างมาก
คำพูดประโยคนี้มาจาก ‘คัมภีร์กวีนิพนธ์ต้าหย่าและเจวี่ยนอา’ ปกติแล้วจะใช้ในการอวยพรคู่สามีภรรยาให้รักใคร่กลมเกลียว การแต่งงานที่อุดมสมบูรณ์ เป็นบทกวีที่นางมักจะชอบขับร้องอยู่ในใจก่อนที่จะแต่งงานออกเรือน
“ขอบคุณท่านอาสะใภ้สี่เจ้าค่ะ!” นางย่อตัวทำความเคารพด้วยความซาบซึ้ง
สกุลฟังเป็นตระกูลนักปราชญ์ สวีซื่อฉินได้ยินคำพูดคำจาของสะใภ้ใหญ่สกุลฟัง รวมไปถึงฟังซื่อที่อ่านหนังสือกวีนิพนธ์มามากมาย จึงรู้สึกกังวลว่าด้วยเหตุนี้ ฟังซื่อจะเป็นคนที่เย่อหยิ่งทะนงตนมาโดยตลอด แต่หลังจากที่ได้รับของขวัญเจอหน้าของสืออีเหนียงแล้ว ฟังซื่อกลับกล่าวขอบคุณด้วยความจริงใจ พลอยทำให้ความกังวลใจที่สูงลิ่วของเขาร่วงลงมาสู่พื้น…จากนั้นก็ได้ยินฮูหยินห้าพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่หยอกล้อว่า “พี่สะใภ้สาม แค่นี้พอเสียที่ไหนกัน ท่านเป็นถึงแม่สามี แต่เหตุใดถึงโดนพี่สะใภ้สี่ข่มทับได้ ยังไงก็ควรต้องเพิ่มอีกหน่อยถึงจะถูก เร็วเข้า รีบเพิ่มของขวัญให้หลานสะใภ้อีกสักอย่างสองอย่าง”
สีหน้าของฮูหยินสามพลันแข็งทื่อไปในทันที ในใจรู้สึกดีใจเป็นอย่างมากที่สืออีเหนียงเป็นหน้าเป็นตาให้แก่นาง แต่ก็ยังเป็นกังวลใจกับฮูหยินห้าที่ไม่ค่อยรู้ความ ขณะที่นางกำลังจะพูดอะไรบางอย่าง ฮูหยินห้าก็ได้เปิดฝากล่องไม้ที่นางเอามา “ของข้าอยู่นี่ รอพี่สะใภ้สามมอบของขวัญเจอหน้าเพิ่มให้กับหลานสะใภ้แล้ว ข้าก็จะมอบให้ทันที”
เวลานั้นเอง ในเรือนก็อบอวลไปด้วยกลิ่นอายของอัญมณี
บางคนสูดลมหายใจเข้าลึกด้วยความอึ้ง บางคนก็มองจนตาค้าง และบางคนก็ชื่นชมไม่ขาดเสียง “แต่ละท่านใจใหญ่ไม่มีใครยอมใครกันเลยทีเดียว”
ดอกทัดหูวางอยู่บนแผ่นรองกำมะหยี่สีม่วงบานเย็น ขนาดเท่ากับถ้วยสุราเห็นจะได้ ด้ามจับทำจากทองคำบริสุทธิ์ กลีบดอกทำจากทับทิมสีแดงสดขนาดเท่าเล็บมือ เล็กใหญ่สลับกันไป ส่องประกายระยิบระยับ งดงามสะดุดตาเป็นอย่างยิ่ง