ร้อยรักปักดวงใจ - ตอนที่ 509 อยู่จวน (ต้น)
ความสนใจของสืออีเหนียงถูกเบี่ยงเบนไป นางเงยหน้าจ้องมองเพดาน จากนั้นก็ถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ “ดังนั้นตระกูลที่มีบุตรสาวก็อย่าส่งเข้าวังดีกว่า!” สีหน้าของนางเต็มไปด้วยความกลัดกลุ้มใจ
การที่สวีลิ่งอี๋พูดเรื่องนี้กับนาง เขาไม่ได้ต้องการทำให้นางรู้สึกเศร้าใจ
ตนกลัวหากสืออีเหนียงยังพัวพันกับเรื่องนี้ต่อไปจนลืมป้องกันตัวเอง ถึงเวลานั้นก็จะพลอยโดนรากแหไปด้วย…
เมื่อความคิดแล่นผ่านเข้ามาในหัว เขาก็วางมือลงบนท้องของนางอย่างเบามือ
“ไท่จื่อพึ่งมีพระราชโองการมอบบรรดาศักดิ์ให้กับเหล่าขุนนาง” เขาเปลี่ยนอากัปกิริยาในการคุยกับนาง จากนั้นก็วางคางลงบนศีรษะของสืออีเหนียง โอบกอดนางด้วยความสนิทสนม พูดขึ้นเสียงเบาว่า “ต่อพระพักตร์ฝ่าบาทและฮองเฮา จะต้องกตัญญูและดูแลเอาใจใส่ กับพี่น้องจะต้องใจกว้างและอ่อนโยน อดทนและรู้จักเสียสละ ต่อหน้าอาจารย์ผู้สอนที่มากความรู้จะต้องเฉลียวฉลาดและมีวิสัยทัศน์ที่ดี ต่อหน้าเหล่าขุนนางและประชาราษฎรจะต้องสุขุม หนักแน่นและรอบคอบ…สิ่งที่จะต้องทำมีมากมายก่ายกอง จะเอาเวลาไหนมานึกถึงเรื่องรับสนมเข้ามาใหม่ อีกสองวันก็จะถึงพิธีสรงสามขององค์หญิงแล้ว ตอนที่เจ้าได้เข้าเฝ้าฮองเฮา ก็อย่าลืมทูลนางด้วย ถึงแม้ว่าจะไม่ค่อยเต็มใจเท่าไรนัก แต่ก็ไม่ควรรับสนมให้กับไท่จื่อโดยขาดซึ่งการไตร่ตรองและความรอบคอบ อย่างน้อยๆ ควรให้เวลากับฟังเจี่ยเอ๋อร์สักระยะหนึ่ง หากสกุลโจวรู้เรื่องนี้เข้าก็จะทราบซึ้งในความเมตตากรุณา หลังจากนั้นหากว่าไม่ได้จริงๆ ค่อยมาปรึกษาหารือเรื่องการรับสนมอีกทีก็ยังไม่สาย วอนฮองเฮาช่วยตรัสเรื่องนี้ต่อพระพักตร์ฝ่าบาทให้มากๆ จึงจะถูก”
ชายหญิงแบ่งแยกชัดเจน ถึงแม้ว่าจะเป็นน้องชายโดยสายเลือด แต่สวีลิ่งอี๋ก็ไม่สะดวกที่จะไปเข้าเฝ้าฮองเฮาบ่อยครั้งได้ตามอำเภอใจอยู่ดี นับประสาอะไรกับคนหนึ่งที่เป็นขุนนางในราชสำนัก ส่วนอีกคนเป็นสตรีของฝ่าบาท ย่อมต้องหลีกเลี่ยงเข้าไปใหญ่ หากมีธุระอะไร สืออีเหนียงก็มักจะไปเข้าเฝ้าในฐานะภรรยาของขุนนาง เพื่อฝากคำพูดให้กับฮองเฮา จึงจะเป็นการเข้าเฝ้าที่ไม่สะดุดตาผู้อื่นจนเกินไป
สืออีเหนียงเข้าใจได้เป็นอย่างดี นางค่อยๆ หนุนแขนของสวีลิ่งอี๋ “ท่านโหววางใจเถิด ข้าจะต้องทูลสิ่งที่ท่านโหวฝากฝังกับฮองเฮาอย่างแน่นอนเจ้าค่ะ”
สวีลิ่งอี๋ตอบกลับเสียงเบา “อืม” จากนั้นเขาก็ได้หาวออกมาหนึ่งครั้ง “รีบนอนเถิด! พรุ่งนี้เจ้าจะต้องไปปรึกษาหารือเรื่องเข้าวังกับท่านแม่อีก” น้ำเสียงของเขาค่อนข้างอู้อี้ เห็นได้ชัดว่าเขากำลังเหนื่อยล้าและง่วงนอนเป็นอย่างมาก
สืออีเหนียงขานรับเสียงเบา จากนั้นก็ค่อยๆ หลับตาลง เตรียมตัวนอนหลับ แต่ดูเหมือนว่าสวีลิ่งอี๋จะนึกอะไรขึ้นมาได้ จึงพูดขึ้นว่า “ถ้าหากว่าในวังมีรับสั่งให้พาจิ่นเกอเข้าเฝ้า เจ้าก็หาเหตุผลปฏิเสธไป เพราะเข้าวังไปแล้ว เจ้าไม่สามารถดูแลจิ่นเกอไว้ข้างกาย หากไปล้มหรือไปชนอะไรเข้าจะแย่เอาได้!”
เพราะเป็นห่วงว่าบุตรชายจะถูกผู้อื่นดูหมิ่นดูแคลนมากกว่ากระมัง!
สืออีเหนียงโอบเอวของเขาไว้ แนบหน้ากับแผ่นอกของเขาพร้อมกับขานรับด้วยน้ำเสียงที่ไพเราะ “เจ้าค่ะ”
สวีลิ่งอี๋จึงค่อยๆ ลูบผมของสืออีเหนียงอย่างเบามือ และหลับไปในที่สุด
สืออีเหนียงเงยหน้าขึ้นมา มองเห็นแค่คางของเขาเท่านั้น
สันกรามที่คมได้รูป กำลังเม้มปากแน่น ดูสุขุมและสง่างามอย่างบอกไม่ถูก
สืออีเหนียงหุบยิ้มลง จากนั้นก็ค่อยๆ ขยับตัวเข้าใกล้พร้อมกับประทับจูบอย่างแผ่วเบา…
*****
เพราะเป็นแม่คนจึงกลายเป็นคนที่แข็งแกร่งและไม่ยอมแพ้ง่ายๆ หรือเพราะสืออีเหนียงไปมาหาสู่กับฮองเฮาน้อยเกินไป จึงไม่รู้นิสัยใจคอของฮองเฮาอย่างถ่องแท้ ตอนพิธีสรงสาม หลังจากที่สืออีเหนียงถวายบังคมฮองเฮาเสร็จเรียบร้อยแล้ว พึ่งพูดถึงจวินจู่เพียงไม่กี่ประโยค “จวินจู่งดงามยิ่งนัก หน้าตาเหมือนองค์หญิงใหญ่ราวกับพิมพ์เดียวกันอย่างไรอย่างนั้น” ฮองเฮาก็ทรงกวักมือเรียกนางเข้าไปหาใกล้ๆ กุมมือของสืออีเหนียงเอาไว้ พลางไถ่ถามถึงจิ่นเกอเสียงเบาว่า “…ฟันงอกแล้วหรือยัง ตอนนี้คงจะกำลังฝึกนั่งใช่หรือไม่ น้ำหนักเท่าไรหรือ ตอนนี้สูงแค่ไหนแล้ว”
สืออีเหนียงค่อยๆ ไล่ตอบทีละคำถาม
จากนั้นก็ได้ยินฮองเฮาทรงตรัสขึ้นด้วยน้ำเสียงที่แผ่วเบาว่า “เจ้าไปบอกกับโจวฮูหยิน ว่าสิ่งไหนที่ควรทำก็ให้ทำไป ไม่ต้องเป็นห่วงเรื่องอื่น ส่วนเรื่องในวัง ยังมีข้าอยู่ทั้งคน!”
สืออีเหนียงพยักหน้ารับรู้เบาๆ แล้วพูดเรื่องของจิ่นเกอต่อไปเรื่อยๆ ทำเหมือนว่าไม่ได้ยินสิ่งที่ฮองเฮาตรัสเมื่อครู่นี้อย่างไรอย่างนั้น
เมื่อฮองเฮาเห็นแล้วก็ทรงเผยรอยยิ้มที่พึงพอใจขึ้นมา
สืออีเหนียงตัดสินใจจะนำคำพูดและทุกการกระทำของฮองเฮาไปเล่าให้กับสวีลิ่งอี๋ฟังทุกอย่าง สวีลิ่งอี๋จะได้ไม่ต้องเอาแต่รู้สึกว่าฮองเฮานั้นเป็นเพียงสตรีที่อ่อนต่อโลกไม่ทันคน
ขณะที่กำลังครุ่นคิดอยู่นั้น ก็เห็นองค์หญิงใหญ่กำลังเดินเข้ามาพร้อมกับเหล่าบรรดานางกำนัลและขันทีเน่ยซื่อที่ตามหลังมาเป็นขบวน
เมื่อเห็นสืออีเหนียงที่กำลังพูดคุยอยู่ด้านหลังของมารดา ก็รีบวิ่งเข้าไปหาทันที นางดึงแขนเสื้อของสืออีเหนียงเบาๆ “หย่งผิงโหวฮูหยิน หย่งผิงโหวฮูหยิน เหตุใดท่านถึงไม่พาจิ่นเกอมาด้วยเล่า”
ข้างๆ องค์หญิงใหญ่มีพระนมที่คอยเตือนเสียงเบาว่า “องค์หญิงใหญ่ รอให้หย่งผิงโหวฮูหยินทำความเคารพท่านเสร็จแล้ว จึงจะสามารถตรัสได้นะเพคะ”
องค์หญิงใหญ่ไม่ได้สนใจพระนมแม้แต่นิดเดียว นางหันไปพูดกับสืออีเหนียงแทน “จิ่นเกอเป็นคนที่ตลกที่สุด! ครั้งที่แล้วตอนที่เสด็จพ่อกำลังอุ้มเขา ข้าใช้นิ้วจิ้มไปที่แก้มของเขา แต่เขากลับเอียงหน้าหลบ แล้วดูดนิ้วของข้าแทน!” องค์หญิงใหญ่พูดขึ้นพลางยื่นนิ้วมือให้สืออีเหนียงดู
นิ้วมือขององค์หญิงใหญ่ขาวเนียนละเอียด เล็บถูกตัดอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย เล็บมือเล็กๆ สะท้อนเงาสีชมพูอ่อนๆ
มิน่าเล่า ตอนที่สวีลิ่งอี๋กลับไปสีหน้าจึงไม่ค่อยดีเท่าไรนัก…ใครจะไปนึกว่าจิ่นเกอจะเจอเรื่องอะไรเข้า
เมื่อนึกถึงตรงนี้ ถึงแม้ว่าตอนนี้สืออีเหนียงจะกำลังยิ้มอยู่ แต่ในใจกลับรู้สึกไม่สบายใจเป็นอย่างมาก รู้สึกว่าที่การสวีลิ่งอี๋ไม่อยากให้สืออีเหนียงพาบุตรชายเข้าวังนั้นเป็นการตัดสินใจที่ถูกต้องที่สุดแล้ว
เวลานี้เอง ฮองเฮาที่ในสายตามีแต่องค์หญิงใหญ่ จึงไม่ได้สังเกตสืออีเหนียงเลยแม้แต่นิดเดียว และก็ไม่ได้ตำหนิติติงองค์หญิงใหญ่ที่เสียมารยาทแต่อย่างใด แต่กลับทรงยิ้มพร้อมกับตรัสขึ้นว่า “ฝูหรง เจ้าชอบ จิ่นเกอมากหรือ”
องค์หญิงใหญ่รีบพยักหน้าทันควัน “เขารูปงามที่สุด! ไม่เหมือนน้องแปด แตะนิดเดียวก็เอาแต่ร้องไห้เสียงดัง!”
หลายวันก่อน ซ่งเหม่ยเหรินพึ่งจะให้กำเนิดองค์ชายแปดไป
คนทั้งพระตำหนักก็พากันหัวเราะออกมาพร้อมๆ กัน แม้แต่นางกำนัลและขันทีเน่ยซื่อก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะเสียงเบา
องค์หญิงใหญ่รู้สึกว่าทุกคนกำลังหัวเราะเยาะนาง ก็เลยรู้สึกโมโหเดือดดาลขึ้นมาทันที ตะโกนเสียงดังว่า “ข้าพูดเรื่องจริงนะ จิ่นเกอรูปงามที่สุดแล้ว! เขาเป็นคนที่รูปงามที่สุดเท่าที่ข้าเคยพบเจอมา!”
ใบหน้าของพระนมที่คอยอบรมสอนสั่งก็แดงก่ำขึ้นมาทันที รู้สึกอายจนอยากจะมุดดินหนีให้รู้แล้วรู้รอด รีบคำนับลงกับพื้น ศีรษะเต็มไปด้วยเม็ดเหงื่อ
ฮองเฮาเห็นว่าองค์หญิงใหญ่เริ่มโมโห จึงยิ้มพร้อมกับอุ้มองค์หญิงใหญ่ขึ้นมา “พอแล้ว พอแล้ว พวกเราไม่มีเจตนาจะล้อเจ้าเล่นเสียหน่อย เพียงแต่ว่าเจ้าอายุยังน้อยแต่รู้ว่าอะไรงามอะไรไม่งาม จึงรู้สึกว่าหาได้ยากยิ่งก็เท่านั้น”
ทุกคนได้ยินแล้วก็พากันพูดไปต่างๆ นานา “องค์หญิงใหญ่ คนที่เคยเห็นหน้าค่าตาของคุณชายน้อยหกต่างก็พูดเป็นเสียงเดียวกันว่ารูปงามเป็นอย่างมาก หม่อมฉันไม่ได้ล้อท่านเล่นเลย แต่เพราะรู้สึกว่าท่านเฉลียวฉลาดมากจริงๆ เพคะ!”
สีหน้าขององค์หญิงใหญ่อึ้งไปเล็กน้อย
“นี่ก็คือบุพเพสันนิวาส!” จู่ๆ ก็มีคนหัวเราะออกมาเบาๆ แล้วจึงพูดขึ้นต่อไปว่า “ในวังมีเด็กที่ดีมากมาย ไม่ว่าจะเป็นองค์ชายสาม องค์ชายสี่ องค์ชายหก และพระสหาย ก็ไม่เห็นว่าองค์หญิงใหญ่จะถูกพระทัยคนไหน หม่อมฉันว่าสู้ให้ฮองเฮาและหย่งผิงโหวเกี่ยวดองกันเพื่อที่จะได้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น ให้คุณชายน้อยหกคู่กับองค์หญิงใหญ่ดีกว่ากระมังเจ้าคะ!”
ทุกคนต่างก็หยุดพูดพร้อมกับหันหน้าไปมองด้วยความประหลาดใจ
คนที่พูดอยู่คือองค์หญิงอานเฉิง แม่ยายของหลี่จี้
สืออีเหนียงรู้สึกฉุนเฉียวเป็นอย่างมาก
องค์หญิงอานเฉิงผู้นี้ เหตุใดถึงพูดจาไม่ดูกาลเทศะเลย ไม่ต้องพูดถึงเรื่องที่ทั้งสองเป็นลูกพี่ลูกน้องกัน มีแค่ตระกูลที่ยากจนเท่านั้นที่จะให้บุตรหมั้นกันตั้งแต่เด็ก ต้องรู้ว่าอัตราการรอดของทารกในสมัยโบราณนั้นต่ำมาก ให้เด็กหมั้นกันเร็วเกินไป หากฝ่ายหญิงเสียชีวิตก่อนวัยอันควร ฝ่ายชายก็จะต้องแบกรับคำครหาที่ว่าฝ่ายชายนั้นมีดวงที่ส่งผลร้ายต่อฝ่ายหญิง หากฝ่ายชายเสียชีวิตก่อนวัยอันควร ฝ่ายหญิงก็อาจจะรักษาความบริสุทธิ์ต่อไปหรือเลือกที่จะแต่งงานใหม่…ส่วนตระกูลที่พอมีฐานะบรรดาศักดิ์ก็จะเริ่มพูดคุยถึงเรื่องคู่ครองของบุตรตอนที่บุตรมีราวอายุสิบเอ็ด สิบสองขวบ เมื่อบุตรมีอายุประมาณนี้ ปกติผู้ใหญ่ก็จะเริ่มพูดคุยเป็นรูปเป็นร่างแล้ว แม่สื่อของทั้งฝ่ายหญิงและฝ่ายชายก็จะได้คุยกันง่ายขึ้น
นางรีบหันไปมองฮองเฮาทันที
พระพักตร์ของฮองเฮายังคงอบอุ่นและอ่อนโยน ไม่ได้เปลี่ยนไปจากเมื่อครู่นี้เลยแม้แต่น้อย
ดูท่าแล้ว คงจะไม่ได้ชอบคำพูดขององค์หญิงอานเฉิงแต่อย่างใด
นางหันไปมองไท่ฮูหยินที่นั่งอยู่ข้างๆ แทน
ไท่ฮูหยินกำลังก้มหน้าจิบน้ำชา ราวกับว่าไม่ได้ยินอย่างไรอย่างนั้น
สืออีเหนียงจึงถอนหายใจออกมาเบาๆ
นางหวังว่าบุตรชายจะสามารถเจอกับคนที่รัก…วันข้างหน้าตอนที่เขาเติบโตขึ้น หากเขาไปชอบองค์หญิงผู้สูงศักดิ์เข้า อยากที่จะไปเป็นราชบุตรเขย นางเองก็จะไม่คัดค้าน บุตรชายของเขาจะต้องเป็นคนตัดสินใจทุกอย่างด้วยตนเอง!
เมื่อความคิดนี้แล่นผ่านในหัว มุมปากของสืออีเหนียงก็ยิ้มขึ้นเล็กน้อย ตั้งใจจะพูดเรื่องล้อเล่นเพื่อจะเบี่ยงเบนประเด็นนี้ไป แต่จู่ๆ ก็มีคนพูดตัดหน้านางขึ้นมา “หลังจากที่องค์หญิงอานเฉิงได้ลูกเขยที่น่าภาคภูมิใจแล้ว เวลาข้าเห็นคู่กุมารทองและกุมารีหยกก็อยากจะช่วยจับคู่” พูดจบก็หัวเราะออกมาเสียงดัง จากนั้นก็ได้ถามขึ้นมาว่า “จะว่าไปเซิ่งผิงก็แต่งงานได้สามสี่เดือนแล้ว มีข่าวดีจะได้บุตรชายเร็วๆ นี้แล้วหรือยัง”
สืออีเหนียงหันไปมอง
คนที่พูดอยู่นั้นคือมารดาของเริ่นคุน องค์หญิงฉังหนิง
องค์หญิงอานเฉิงได้ยินแล้วใบหน้าของนางก็ปรากฏสีหน้าท่าทีที่ทะนงองอาจขึ้นมาด้วยความรู้สึกเป็นเกียรติเล็กน้อย “จี้เอ๋อร์ช่วยแว่นแคว้นแบ่งเบาความทุกข์ยาก พึ่งจะแต่งงานไปเพียงไม่กี่วันก็เดินทางกลับไปยังฝูเจี้ยน…”
“ในส่วนนี้ถือว่าเจ้าทำไม่ถูก!” ไม่รอให้องค์หญิงอานเฉิงได้ทันพูดจนจบ องค์หญิงฉังหนิงก็ได้พูดแทรกขึ้นมา “พวกเขาเป็นคู่สามีภรรยาที่อายุยังน้อย คนหนึ่งอยู่ที่เยี่ยนจิง ส่วนอีกคนอยู่ที่ฝูเจี้ยน…ถึงแม้ว่าจวนสกุลหลี่จะตั้งกฎไว้ว่าจะไม่รับอนุภรรยา แต่เจ้าเป็นแม่ยาย ไม่ควรจะใช้เหตุผลนี้ยื้อให้บุตรสาวมาอยู่ข้างกาย บุตรสาวที่แต่งงานออกเรือนไปแล้วก็เป็นเหมือนน้ำที่สาดออกไป ข้าว่าเจ้ารีบส่งเซิ่งผิงไปที่ฝูเจี้ยนจะเป็นการดีกว่า” ขณะที่กำลังพูดอยู่นั้น นางก็ได้เหลือบตามองมา “นอกเสียจากว่าที่หลี่ฮูหยินต้องการจะให้ลูกสะใภ้ติดตามอยู่ข้างกาย เพราะไม่อยากส่งลูกสะใภ้ไปที่ฝูเจี้ยน”
กฎหมายและพระราชบัญญัติของต้าโจวบัญญัติไว้ว่าครอบครัวของแม่ทัพตั้งแต่ระดับสามขึ้นไปเท่านั้นจึงจะพำนักอยู่ในเมืองเยี่ยนจิง
คนที่นั่งอยู่ในตำหนักนั้นล้วนแล้วแต่เป็นพระญาติและทายาทของตระกูลผู้สูงศักดิ์ในราชสำนักทั้งสิ้น ส่วนเหล่าบรรดาภรรยาของขุนนางนั้นอยู่ทางด้านนอกของตำหนัก
เมื่อมีคนได้ยินแล้วก็หัวเราะออกมาเบาๆ “อานเฉิง หากว่าเจ้าไม่สะดวกจะพูดเอง วันนี้ให้พวกข้าช่วยเจ้าลองเรียกหลี่ฮูหยินมาโน้มน้าวนางต่อหน้าพระพักตร์ของฮองเฮาดู เจ้าเห็นว่าอย่างไรบ้าง!”
ไม่รอให้องค์หญิงอานเฉิงได้ทันพูดอะไร ก็มีคนพูดขึ้นด้วยความเกลียดชังว่า “ใช่แล้ว! ถึงแม้ว่าการที่จะให้ลูกสะใภ้ติดตามอยู่ข้างกายจะเป็นเรื่องที่ถูก แต่หนึ่งคือเซิ่งผิงไม่ใช่ลูกสะใภ้คนโต สองคือเซี่ยนจู่ยังมีรับสั่งจากฝ่าบาท สามคือยังเป็นสะใภ้อายุน้อยที่พึ่งจะแต่งงาน…หลี่ฮูหยินไร้ซึ่งมนุษยธรรมเกินไปแล้ว!”
ทุกคนต่างก็เป็นสตรีที่เคยเป็นลูกสะใภ้จนกลายมาเป็นแม่สามี เวลาที่ได้เริ่มนินทาผู้อื่นก็จะไม่สนใจไยดีอะไรทั้งนั้น โยนหินก้อนเดียวลงไปในน้ำ เกิดเป็นคลื่นนับพันลูก ทุกคนต่างก็พากันพูดคุยและวิพากษ์วิจารณ์ไปต่างๆ นานา
แต่คนที่โยนหินเช่นองค์หญิงฉังหนิงกลับนั่งอยู่บนเก้าอี้จิ่นอู้จ้องมองผู้คนในพระตำหนักด้วยสีหน้าที่เต็มไปด้วยรอยยิ้ม คอยเฝ้ามองเหตุการณ์โดยที่ไม่เข้าไปยุ่ง ถอยออกจากวงซุบซิบนินทาที่อยู่เบื้องหน้า
สืออีเหนียงเห็นแล้วก็รู้สึกใจสั่นขึ้นมาทันที
องค์หญิงฉังหนิงผู้นี้ สามารถได้รับความโปรดปรานจากฝ่าบาทได้ เกรงว่าคงจะไม่ใช่เพราะมารดาผู้ให้กำเนิดของนางเคยได้อบรมเลี้ยงดูฝ่าบาทกระมัง!
สิ่งที่เกิดขึ้นหลังจากนั้นค่อนข้างน่าตกใจไม่น้อย
ฮองเฮาได้เรียกให้หลี่ฮูหยินเข้ามาสอบถาม
หลี่ฮูหยินก็รีบอธิบายทันทีว่าตนนั้นไม่มีเจตนาเช่นนั้น เป็นเพราะมณฑลฝูเจี้ยนสั่นคลอนไม่มั่นคง ก็เลยกลัวว่าเซี่ยนจู่ไปแล้วจะไม่คุ้นชิน จึงตัดสินใจให้อยู่ที่เมืองเยี่ยนจิง
องค์หญิงอานเฉิงก็อธิบายไม่หยุด ว่าไม่ใช่เพราะหลี่ฮูหยินต้องการจะให้ลูกสะใภ้อยู่ข้างกาย แต่เพราะนางเห็นว่าบุตรสาวอายุยังน้อย กลัวว่าจะทำอะไรที่เสียมารยาทและไม่ถูกกาลเทศะ จึงให้บุตรสาวติดตามหลี่ฮูหยิน เพื่อที่จะได้รับการอบรมสั่งสอนสักสองปี
ขณะที่กำลังพูดคุยกันอย่างครึกครื้นอยู่นั้น หวงกูกูก็ได้เข้ามาแจ้งว่าทางฝั่งไท่จื่อเฟยเตรียมตัวเสร็จเรียบร้อยแล้ว
ทุกคนต่างก็พากันเดินตามหลังฮองเฮาไปยังพระตำหนักของฟังเจี่ยเอ๋อร์
ระหว่างทาง องค์หญิงอานเฉิงสีหน้าเคร่งขรึม เห็นได้ชัดว่าอารมณ์ไม่ค่อยดี หลี่ฮูหยินเดินผ่านเหล่าบรรดาสตรีด้วยท่าทางที่สง่าผ่าเผยด้วยยศฮูหยินตราตั้ง โดยที่ไม่ชายตามององค์หญิงอานเฉิงเลยแม้แต่นิดเดียว
สืออีเหนียงรู้สึกค่อนข้างขบขัน
เมื่อกวาดตามองไปรอบๆ ก็สังเกตเห็นโจวฮูหยินที่กำลังประคององค์หญิงฝูเฉิงอยู่
ตอนที่ทั้งสองยืนรอฮองเฮาเรียกเข้าเฝ้าที่หน้าพระตำหนัก ยังพูดคุยหัวเราะกับทุกคนอยู่เลย แต่หลังจากที่เข้าไปในพระตำหนักแล้ว กลับเอาแต่เงียบจนถึงตอนนี้
คงจะรู้สึกไม่สบายใจกระมัง!
นางครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็หาโอกาสดึงชายแขนเสื้อของโจวฮูหยินเบาๆ