ร้อยรักปักดวงใจ - ตอนที่ 487 รวมตัวกัน(ปลาย)
หกปีเจ็ดล้านตำลึง แต่เรือนนอกของสวีลิ่งอี๋ก็ยังคงขาดแคลนเงิน ในยามฉุกเฉินฮูหยินสองถึงขั้นต้องขายทรัพย์สินที่เป็นสินสอดทองหมั้นของตัวเอง เพียงแต่ไม่รู้ว่าตอนที่ฮูหยินสองขายทรัพย์สินนั้นเป็นช่วงก่อนหรือหลังทำกิจการ
สืออีเหนียงครุ่นคิด พูดช้าๆ ว่า “ฟังจากที่เจ้าพูด หลังจากที่ฮ่องเต้ขึ้นครองราชย์แล้ว ท่านโหวก็ให้เจ้าล้มเลิกกิจการ เช่นนั้นบิดาของเจ้าไม่ได้พูดอะไรเลยหรือ”
ความสับสนปรากฏขึ้นในแววตาของเหวินอี๋เหนียงอยู่ครู่หนึ่ง นางนึกไปพลาง พูดไปพลาง “ตอนนั้นท่านพ่อของข้ายังคิดอยากจะทำกิจการกับท่านโหวต่ออีกสักสองปี แต่ท่านโหวตัดสินใจอย่างหนักแน่น แล้วยังไปทำสงครามที่เหมียวเจียง ท่านพ่อของข้าจึงไม่ได้ขอร้องเรื่องนี้อีก”
เงินหนึ่งล้านตำลึงต่อปี พอบอกว่าไม่เอาก็ไม่เอาแล้วหรือ…
การคาดเดาอันเลือนลางก่อนหน้านี้ค่อยๆ ปรากฏอย่างชัดเจนขึ้น
“หลังจากนั้นสกุลเหวินก็ได้กิจการทอผ้าที่เจียงหนานใช่หรือไม่” นางมองไปที่เหวินอี๋เหนียง
เหวินอี๋เหนียงไม่ได้ตอบในทันที สีหน้าของนางเปลี่ยนไปเล็กน้อย เงียบอยู่นานก่อนจะพูดเสียงเบาว่า “ใช่เจ้าค่ะ”
สืออีเหนียงช่วยนางวิเคราะห์เรื่องราวอย่างละเอียด “เมื่อก่อนสกุลเหวินเป็นเพียงสกุลที่ทำกิจการธรรมดาทั่วไป ทุกปีท่านโหวจะได้รับเงินหนึ่งล้านตำลึง แต่หลังจากที่ท่านโหวเลิกทำกิจการกับสกุลเหวิน สกุลเหวินกลับได้รับกิจการทอผ้าในเจียงหนาน ข้ากำลังคิดว่าไม่รู้ว่าเป็นเพราะท่านโหวโชคร้าย หรือว่าเป็นเพราะสกุลเหวินโชคดีเกินไปกันแน่ ถ้าหากท่านโหวทำธุรกิจกับสกุลเหวินต่อไป เกรงว่าคงจะได้กำไรมากกว่าหนึ่งล้านตำลึงต่อปีกระมัง”
ในใจเหวินอี๋เหนียงร้อนรน
นางคิดมาเสมอว่าเป็นเพราะว่าท่านพ่อได้รับกิจการทอผ้าที่เจียงหนาน ท่านโหวจึงได้เลิกทำกิจการกับสกุลเหวิน และเพื่อปกป้องผลประโยชน์ส่วนมากของครอบครัวจึงอาศัยโอกาสนี้เลิกทำกิจการกับท่านโหว ถ้าหากไม่ใช่ แล้วทำไม…
เมื่อคิดถึงตรงนี้ แววตาของเหวินอี๋เหนียงก็เผยให้เห็นถึงความหวาดกลัว!
หรือว่าตัวเองคิดผิดไป
นางเงยหน้ามองสืออีเหนียง
แววตาของสืออีเหนียงสงบนิ่ง ราวกับว่าต่อให้ภูเขาไท่ซานถล่มลงมานางก็ไม่สะทกสะท้าน เหวินอี๋เหนียงจับมือสืออีเหนียง “ตอนที่ข้าอยู่สกุลเดิม สิ่งที่ท่านพ่อคิดถึงอยู่เสมอไม่เคยลืมคือกิจการทอผ้าในเจียงหนาน เขาเลิกทำกิจการกับท่านโหวในเดือนสิบเอ็ด ในเดือนสองของปีถัดมาเขาก็ได้รับกิจการทอผ้าในเจียงหนาน คนอื่นไม่รู้แต่ข้ารู้ อย่าว่าแต่หนึ่งปีทำรายได้หนึ่งล้านตำลึง ต่อให้ทำรายได้สองถึงสามล้านตำลึงก็ไม่ใช่เรื่องแปลก ท่านพ่อเป็นคนฉลาด หลังจากที่เลิกทำกิจการกับท่านโหวก็เคยส่งคนมาเกลี้ยกล่อมท่านโหว ตอนนั้นท่านโหวบอกเพียงว่า ‘ข้าไม่เหมาะจะทำกิจการอีกต่อไปแล้ว’ ท่านพ่อจึงได้ยอมแพ้ ซึ่งต่างจากนิสัยของท่านพ่อเป็นอย่างมาก ต่อมาข้าได้รู้ว่าท่านพ่อได้กิจการทอผ้าในเจียงหนาน คิดว่าท่านพ่อทำเพื่อพยายามครอบครองกิจการนี้ ข้ารู้สึกว่าท่านพ่อทำเช่นนี้นั้นอันตรายเกินไป อย่าลืมว่าสกุลอย่างพวกเรา เพียงแค่ตำแหน่งนายอำเภอก็สามารถล้มสกุลเราได้แล้ว ท่านพ่อมีต้นไม้ใหญ่อย่างท่านโหวแต่กลับไม่พึ่งพา ซ้ำยังเลิกทำกิจการกับท่านโหว ข้าเคยเตือนท่านพ่อเกี่ยวกับเรื่องนี้ ตอนนั้นท่านพ่อยิ้มแล้วพูดว่าจะไม่ผิดต่อท่านโหวอย่างแน่นอน พอถึงเดือนหกก็ให้คนนำตั๋วเงินมูลค่าสองแสนตำลึงมาส่งให้…”
เมื่อได้ยินประโยคนี้ สีหน้าของสืออีเหนียงก็เปลี่ยนไป เป็นนางที่จับมือเหวินอี๋เหนียง “ท่านโหวรับเอาไว้หรือไม่”
เหวินอี๋เหนียงมองสืออีเหนียงด้วยความกลัวเล็กน้อย พูดเสียงเบาว่า “ไม่ ไม่ได้รับเอาไว้ เป็นข้า เป็นข้าที่รับเอาไว้” ทำเอาสืออีเหนียงพูดไม่ออก
ผ่านไปครู่ใหญ่จึงได้พูดเสียงเบาว่า “ทำไมเจ้าโง่เง่าเช่นนี้!”
“ที่ข้าทำไปก็เพื่อทวงความยุติธรรมให้ท่านโหว” เหวินอี๋เหนียงแย้งกลับด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา นางพลันรู้สึกผิด เลยพูดพึมพำว่า “แต่ก็ไม่ได้รับมามาก เพียงแค่สองแสนตำลึงต่อปีเท่านั้น เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา ก็เพียงแค่เงินก้อนเล็กๆ เท่านั้น…”
ในเมื่อเรื่องมาถึงขั้นนี้ พูดมากไปก็เปล่าประโยชน์ สิ่งที่สืออีเหนียงเป็นกังวลคือเรื่องอื่น
“เรื่องที่เจ้าเก็บเงินไว้ ท่านโหวรู้หรือไม่”
“ช่วงสองสามปีแรกที่ไม่ได้อยู่เรือนยังไม่รู้” เหวินอี๋เหนียงพูดเสียงเบาว่า “ต่อมาก็รู้แล้ว บอกกับข้าว่าถ้าหากชอบทำกิจการจริงๆ ให้เปิดร้านเองจะดีกว่า รับเงินปันผลมาเปล่าๆ เช่นนี้ หากสกุลเหวินเกิดเรื่องขึ้นแล้วมาขอร้องให้เขาช่วย ก็ใช่ว่าเขาจะสามารถทำให้ได้ทุกอย่าง ข้า ข้าก็เลยเปิดร้านของตัวเอง…” สมองของสืออีเหนียงหมุนแล่นอย่างรวดเร็ว
ก่อนหน้านี้สวีลิ่งอี๋บอกว่าฮ่องเต้ต้องการจะกำจัดสกุลหยาง ต่อมาก็ต้องเข้าวังโดยไม่คาดคิด แล้วยังมีเรื่องที่ฮูหยินสองไปเยี่ยมหย่งชังโหวเป็นการส่วนตัวในนามของไท่ฮูหยิน แล้วสวีลิ่งอี๋ก็ให้เหวินอี๋เหนียงมาพบเป็นการส่วนตัวเพื่อขอให้นางยุติการทำกิจการทั้งหมด…เหวินอี๋เหนียงทำกิจการมาหลายปีแล้ว คงจะรู้อย่างชัดเจนเกี่ยวกับวิธีการฟอกเงินของขุนนางในเยี่ยนจิงกระมัง
นางถามเหวินอี๋เหนียง “หย่งชังโหวสกุลหวงทำกิจการอะไรหรือ”
เหวินอี๋เหนียงไม่รู้ว่าสืออีเหนียงถามเรื่องนี้ในเวลานี้เพราะจุดประสงค์อะไร พูดอย่างไม่เข้าใจว่า “ครอบครัวของพวกเขามีเหมืองและทำกิจการกับกรมโยธาธิการ สามารถสร้างรายได้ห้าแสนกว่าตำลึงต่อปี”
สืออีเหนียงประหลาดใจเล็กน้อย เดิมทีนางคิดว่าสกุลหวงทำกิจการในกองทัพ
“ไม่ใช่ว่ากิจการส่วนใหญ่ของกรมโยธาธิการถูกครอบครองโดยสกุลหยางหรอกหรือ เป็นของสกุลหวงได้อย่างไร”
เมื่อพูดถึงสิ่งที่ตัวเองเชี่ยวชาญ สีหน้าของเหวินอี๋เหนียงเผยให้เห็นความกระตือรือร้นขึ้นมาเล็กน้อย “สกุลหยางก็มีทั้งมือที่สะอาดและมือที่สกปรก เขาอาศัยชื่อเสียงของตัวเองซื้อขายสินค้ากับสกุลอื่นพลางรับกิจการของกรมโยธาธิการด้วย ในความจริงแล้วไม่ต้องใช้เงินลงทุนเลยแม้แต่แดงเดียว นอกจากนี้เงินที่กรมโยธาธิการจัดสรรมาไม่จำเป็นต้องจ่ายเงินให้พ่อค้าเหล่านั้นได้เป็นการชั่วคราว สามารถเก็บไว้ในมือได้ช่วงระยะเวลาหนึ่ง ด้วยเหตุนี้สกุลพวกเขาจึงได้เปิดให้กู้เงิน และเป็นกิจการที่มีชื่อเสียงและใหญ่ที่สุดในเยี่ยนจิง ไม่เพียงดอกเบี้ยต่ำ ซ้ำยังไม่ว่าจะยืมเท่าไรก็ได้ทั้งนั้น ท่านหวงโหวผู้เฒ่าได้มอบกิจการของสกุลให้ซื่อจื่อในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา แต่อย่างไรเสียสกุลหวงก็มีชื่อเสียงที่ไม่ดีในพื้นที่นั้น กิจการของซื่อจื่อเป็นไปอย่างยากลำบากในชั่วสองสามปีแรก ซ้ำยังเคยมายืมเงินท่านโหวไปหมุนกิจการ แต่ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น จู่ๆ ก็ได้ร่วมมือกับสกุลหยางและเริ่มจัดหาวัสดุหินให้สกุลหยาง ช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมาจึงได้เจริญรุ่งเรืองมากขึ้น”
สืออีเหนียงได้ฟังดังนั้นก็ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง วิเคราะห์คำพูดของเหวินอี๋เหนียง “ในวันแรกของวันตรุษจีนหลังจากที่ท่านโหวออกมาจากวัง ไท่ฮูหยินก็ให้ฮูหยินสองนำของกินไปส่งให้สกุลหวงทันที จากนั้นท่านโหวก็เรียกเจ้าไปพูดคุย เหวินอี๋เหนียงเป็นคนฉลาด ช่วยข้าคิดทีว่าเรื่องนี้มีอะไรเกี่ยวโยงกันหรือไม่ ข้าได้ยินมาว่าในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมาสกุลเหวินแก่งแย่งชิงดีชิงเด่นกับสกุลหยางเพื่อกิจการของกรมพระราชวัง เพียงแต่ไม่รู้ว่าเป็นอย่างไรต่อ…แล้วก็เรื่องที่สกุลเหวินให้เงินสองแสนตำลึงในทุกปี หลายปีมานี้ท่านโหวคงจะช่วยสกุลเหวินจัดการเรื่องราวต่างๆ มาไม่น้อยกระมัง ไม่รู้ว่าในช่วงสองปีมานี้สกุลเหวินยังคงเหมือนเดิมหรือไม่ เมื่อมีเรื่องอันใดก็จะมาขอร้องท่านโหว…”
เหวินอี๋เหนียงได้ฟังดังนั้นก็เหงื่อแตกพลั่ก
นางตอบเสียงเบาราวกับยุง “ข้าก็ว่าอยู่…ตั้งแต่ที่ท่านพ่อเสียไป เหตุใดท่านลุงสามถึงติดเงินข้าอยู่ซ้ำๆ บางครั้งก็ให้ข้าไปขอร้องให้ท่านโหวทำเรื่องโน่นเรื่องนี้จึงจะส่งเงินมาให้…สองปีมานี้ก็ไม่ค่อยมาที่จวนแล้ว ท่าทางของป้าสะใภ้สามก็ดูเหิมเกริมมากขึ้นทุกวัน บางครั้งก็ถึงขั้นใช้เงินแก้ปัญหา…” เมื่อพูดถึงตรงนี้นางก็ลุกขึ้นทันที “ไม่ได้ เรื่องนี้ข้าต้องให้ชิวหงไปสืบดูแล้ว ดูว่าสกุลเหวินรับกิจการอะไรจากกรมพระราชวังกันแน่…”
สืออีเหนียงกลับคิดถึงเหตุและผลของเรื่องนี้
ก่อนหน้านี้สวีลิ่งอี๋ก็รู้อยู่แล้วว่าฮ่องเต้จะกำจัดสกุลหยางแล้ว หลังจากที่เข้าเฝ้าฮ่องเต้ในวันแรกของปีก็ให้เหวินอี๋เหนียงล้มเลิกกิจการ ซ้ำยังกำหนดเวลาอีกด้วย เป็นเพราะฮ่องเต้พูดอะไรบางอย่าง หรือว่าฮ่องเต้ตักเตือนสวีลิ่งอี๋ มิเช่นนั้นเหตุใดถึงได้รีบร้อนเช่นนี้ อีกอย่างสวีลิ่งอี๋ก็รังเกียจที่คนสกุลเหวินทำกิจการกับกรมพระราชวัง หากสกุลเหวินสมรู้ร่วมคิดอะไรกันกับสกุลหยางก็เป็นไปไม่ได้ที่คนอย่างสวีลิ่งอี๋จะไม่รู้ ในเมื่อรู้แล้วก็เป็นไปไม่ได้ที่จะไม่ตักเตือน แต่ว่าหลังจากที่เหวินอี๋เหนียงรู้ถึงความรุนแรงของเรื่องนี้ นางกลับไม่สงสัยว่าสกุลเหวินได้รับกิจการของกรมพระราชวังหรือไม่ แต่กลับให้ชิวหงไปสืบดูว่าสกุลเหวินรับกิจการอะไรจากกรมพระราชวัง สรุปก็คือสกุลเหวินกำลังทำกิจการของกรมพระราชวัง ซ้ำยังไม่สนการคัดค้านของสวีลิ่งอี๋ที่มีต่อกิจการของกรมพระราชวังอีกด้วย
นางคว้าแขนของเหวินอี๋เหนียง “หลังจากที่พ่อของเจ้าเสียไป ท่านลุงสามของเจ้าก็เป็นคนรับผิดชอบในเรือนใช่หรือไม่ เขากับท่านโหวไปมาหาสู่กันบ่อยหรือไม่”
เหวินอี๋เหนียงชะงักไปครู่หนึ่ง ขณะที่กำลังครุ่นคิดสีหน้าก็เริ่มซีดลงเล็กน้อย “ไม่ใช่ว่าท่านลุงสามไม่อยากไปมาหาสู่กับท่านโหว แต่เป็นท่านโหวที่ไม่อยากพบคนสกุลเหวิน...ท่านลุงสามมาขอพบท่านโหวอยู่หลายครั้ง ท่านโหวก็ปล่อยให้ท่านลุงสามยืนอยู่ที่หน้าประตูทุกครั้ง…”
สืออีเหนียงได้ฟังดังนั้นก็ยิ้มเจื่อนๆ พูดขึ้นมาว่า “ถ้าหากกิจการของสกุลเหวินไม่ได้ใหญ่โตนัก การที่ท่านลุงของเจ้าถูกท่านโหวปล่อยให้ยืนอยู่หน้าประตู เกรงว่าก็คงจะไม่ได้รู้สึกว่าตัวเองต่ำต้อยกระมัง”
สีหน้าของเหวินอี๋เหนียงยิ่งซีดเซียวลงกว่าเดิม
สืออีเหนียงจ้องมองเหวินอี๋เหนียง จากนั้นก็พูดเสียงเบาว่า “ในเมื่อเรื่องมาถึงขั้นนี้แล้ว แม้แต่ท่านโหวก็ยังควบคุมไม่ได้ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเจ้า เจ้าฟังคำท่านโหว รีบขายร้านไปเสียเถิด! ทางฝั่งสกุลเหวิน เจ้าก็ทำหน้าที่บุตรสาวให้ดีที่สุดโดยการส่งข่าวบอกสกุลเหวิน บางเรื่องเจ้าก็ไม่จำเป็นต้องฝืนแล้ว ส่วนจะจัดการกับผู้ร่วมกิจการอย่างไรนั้น ไม่สู้เชิญท่านโหวมาปรึกษา…”
นางยังไม่ทันได้พูดจบ น้ำตาเม็ดใหญ่เท่าเมล็ดถั่วเหลืองของเหวินอี๋เหนียงก็หยดลงมา “ท่านแม่ข้า…ยังต้องให้บรรดาพี่ชายเป็นคนดูแล…แล้วยังมีแม่นม ข้าให้นางอยู่ที่เยี่ยนจิง แต่นางก็ไม่ยอม อยากจะกลับไปปรนนิบัติท่านแม่ของข้าให้ได้…พี่ชายข้ายังตามกลับไปหยางโจว…” เมื่อพูดถึงตรงนี้นางก็ยิ่งรู้สึกเจ็บปวดใจ ในที่สุดก็ร้องไห้ออกมาอย่างขมขื่น
สืออีเหนียงถอนหายใจอย่างหมดปัญญาจึงให้เวลานางร้องไห้ราวหนึ่งถ้วยชา จากนั้นก็ตบบ่าเหวินอี๋เหนียงเบาๆ “เรื่องนี้จะรอช้าไม่ได้ เจ้าต้องรีบวางแผนรับมือล่วงหน้า!”
เหวินอี๋เหนียงเงยหน้าขึ้น ใบหน้าที่แต่งเติมด้วยเครื่องประทินโฉมเปรอะเปื้อนไปด้วยคราบน้ำตา
นางร้องไห้อย่างหมดหนทาง “เช่นนั้น เช่นนั้นข้าควรทำอย่างไรดีเจ้าคะ” ท่าทางกระวนกระวายใจ
สืออีเหนียงไม่รู้ว่าสถานการณ์ไปถึงไหนแล้ว และไม่รู้ว่าสวีลิ่งอี๋มีแผนอย่างไร ย่อมไม่สามารถตัดสินใจได้ ทำได้เพียงบอกว่า “พวกเราเชิญท่านโหวมาดีหรือไม่ บางเรื่องก็ต้องพูดต่อหน้าให้ชัดเจน พอเจ้ารู้เรื่องราวแล้วรู้ว่าควรจะทำอย่างไร ก็จะมีแผนรับมือ…”
เมื่อเหวินอี๋เหนียงได้ฟังดังนั้นก็พยักหน้าเหมือนไก่จิกข้าว คว้ามือสืออีเหนียงเหมือนคว้าขอนไม้ที่ลอยอยู่ในทะเลก็ไม่ปาน “ฮูหยิน ทุกอย่างให้ท่านเป็นคนตัดสินใจ” ขณะที่พูดน้ำตาก็ไหลออกมาราวกับสายฝน “บุญคุณอันยิ่งใหญ่ของฮูหยิน ชาตินี้ข้าจะไม่มีวันลืม…”
สืออีเหนียงเหงื่อแตกพลั่ก อดหัวเราะเยาะตัวเองไม่ได้
การถูกจดจำไปตลอดชีวิตไม่ใช่เรื่องที่น่ายินดี…
นางหันไปเรียกปินจวี๋ ให้ปินจวี๋บอกฟังซีให้ไปเชิญสวีลิ่งอี๋มา
******
สวีลิ่งอี๋มาเร็วกว่าที่นางคิด เมื่อเห็นเหวินอี๋เหนียงก็รู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย แต่ก็กลับมามีสีหน้าสงบนิ่งอย่างรวดเร็ว