ร้อยรักปักดวงใจ - ตอนที่ 48 ติดหู (กลาง)
ฉากสุดท้ายคือ ‘พร้อมหน้าพร้อมตา’
ไช่ปั๋วเจียได้เจอกับจ้าวอู่เหนียง จ้าวอู่เหนียงเล่าเรื่องในบ้านให้ไช่ปั๋วเจียฟัง ไช่ปั๋วเจียเสียใจเป็นอย่างมาก เขาลาออกจากตำแหน่งทันที พาจ้าวอู่เหนียงและหนิวซื่อกลับไปไว้ทุกข์ที่บ้านเกิด ฮ่องเต้และบรรดาขุนนางได้ยินเช่นนี้ก็พากันยกย่องจ้าวอู่เหนียงว่าเป็นคนกตัญญูกตเวที กตัญญูต่อสกุลไช่
ทันทีที่ฮ่องเต้ปรากฏตัวขึ้นมาบนเวที สืออีเหนียงอดไม่ได้ที่จะเบิกตากว้าง นางเห็นว่ามีขุนนางยืนอยู่ข้างฮ่องเต้ เขาสวมเสื้อคลุมพญางู วาดหน้าวาดตา รูปร่างสูงใหญ่ สง่างามยิ่งกว่าฮ่องเต้ที่อยู่เคียงข้างๆ เสียอีก
สืออีเหนียงอดยิ้มไม่ได้
ดูเหมือนว่าขุนนางคนนี้น่าจะเป็นคุณชายห้าสกุลสวี แต่น่าเสียดาย ตอนนี้ไท่ฮูหยินไม่อยู่ที่นี่…
นางอดไม่ได้ที่จะดูการแสดงของคุณชายห้าสกุลสวีอย่างละเอียด
มีแค่บทเดียว แต่ท่าทางเขาจริงจังมาก…
สืออีเหนียงมองไปที่ฮูหยินห้า
นางกำลังยิ้มและมองไปบนเวที สายตาเต็มไปด้วยความสุข
สืออีเหนียงยิ้มมุมปาก
ฮูหยินห้าดูสนใจเรื่องของคุณชายห้าเป็นอย่างมาก…
นางครุ่นคิด จากนั้นก็เห็นหญิงนางหนึ่งสวมเสื้อกั๊กยาวสีชมพูและกระโปรงผ้าไหมลายดอกซีฟานสีเขียวเดินเข้ามา
สืออีเหนียงมองออกไป นางคือเฉียวเหลียนฝังคุณหนูหกสกุลเฉียว
สีหน้าของนางดูไม่ค่อยมีความสุข นางฝืนยิ้มพูดคุยกับเฉียวฮูหยินสองสามประโยค จากนั้นก็นั่งลงข้างๆ เฉียวฮูหยิน เฮียวฮูหยินหันหน้าไปพูดอะไรบางอย่างกับนาง นางดูเหม่อลอย ผ่านไปครู่หนึ่งถึงได้ตอบรับ แต่เฉียวฮูหยินกลับขมวดคิ้ว
ใจของสืออีเหนียงถึงได้สงบลงอย่างสมบูรณ์แบบ
หากคนที่อยู่ในเหตุการณ์ไม่ได้อยู่ในที่เกิดเหตุ ก็แสดงว่าจัดการเรียบร้อยแล้ว เพราะว่าเรื่องเช่นนี้ต้องจับให้ได้สองคน…
นางก็นึกถึงกระโปรงผ้าทอสีขาวลายดอกจู๋เหมยหลานตัวนั้นขึ้นมาอีกครั้ง
ทำไมถึงสวมกระโปรงผ้าไหมมา…หนึ่งคือผู้หญิงมักสวมกระโปรงผ้าไหม สองคือกระโปรงผ้าไหมสวยงามและโดดเด่น…ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ทำไมถึงไม่ให้ไท่ฮูหยินหากระโปรงผ้าทอสีขาวมาให้นางสวม…
สืออีเหนียงครุ่นคิด รู้สึกว่ามีสายตาจ้องมองมาที่ตัวเอง จ้องมองอยู่นานไม่หายไปไหนสักที
นางเหลือบไปมองตามความรู้สึก เห็นว่าเฉียวเหลียนฝังกำลังมองมาที่นางด้วยสีหน้าที่ไร้อารมณ์
สืออีเหนียงยิ้มอย่างขมขื่น
ถูกเห็นภาพที่ตัวเองอนาถที่สุด แม้แต่คนที่ใจกว้างมากแค่ไหนก็ต้องไม่พอใจอยู่แล้ว!
นางทำได้แค่เสแสร้งทำเป็นไม่รู้เรื่อง ทำเป็นว่ากำลังดูงิ้วอย่างจริงจัง
ไม่รู้ว่าผ่านไปนานแค่ไหน สายตาที่จ้องมองมาที่นางก็หายไป
สืออีเหนียงถอนหายใจด้วยความโล่งอก จากนั้นก็เห็นคุณหนูหลินและคุณหนูถังยิ้มแล้วเดินเข้ามาด้วยกัน อู่เหนียงเดินตามมาข้างหลัง สีหน้านางไม่ค่อยดีสักเท่าไร
เห็นเฉียวเหลียนฝัง ทุกคนต่างตกใจ
เฉียวเหลียนฝังก็เห็นพวกนางสามคน นางพยักหน้าให้พวกนางด้วยรอยยิ้มที่ไม่ค่อยเป็นธรรมชาติ
พวกนางสามคนก็พยักหน้าทักทายเฉียวเหลียนฝัง แต่หลังจากทักทายกันแล้ว คุณหนูถังกลับมองไปที่เฉียวเหลียนฝังแล้วกระซิบกระซาบอะไรกับคุณหนูหลินสองสามประโยค คุณหนูหลินฟังแล้วก็มองไปที่เฉียวเหลียนฝังด้วยสายตาที่เหมือนจะยิ้มแต่ก็ไม่ยิ้ม ทำให้คนรู้สึกว่าพวกนางกำลังนินทาอะไรเฉียวเหลียนฝังอยู่
เฉียวเหลียนฝังหน้าแดงขึ้นมาทันที
ไม่รู้ว่าคุณหนูถังพูดอะไรกับคุณหนูหลิน จากนั้นพวกนางก็ยิ้ม คุณหนูหลินเหลือบมองไปที่คุณหนูถัง
สีหน้าของเฉียวเหลียนฝังซีดเซียว นางกระวนกระวายราวกับนั่งอยู่บนหนาม
จากนั้นพวกนางสองคนก็ไม่มองนางอีก แยกย้ายกันกลับไปหาผู้อาวุโสของตัวเอง ผู้อาวุโสของพวกนางก็ถามพวกนางเบาๆ
อู่เหนียงกลับมาที่นายหญิงใหญ่ นายหญิงใหญ่ยิ้มแล้วถามนาง “เจอกับฮูหยินสองหรือ ทำไมถึงกลับเร็วเช่นนี้ ไม่อยู่ที่นั่นอีกสักหน่อย”
อู่เหนียงตอบกลับด้วยความเคารพ “เจอกับฮูหยินสองแล้วเจ้าค่ะ ฮูหยินสองยังบอกให้พวกข้าอยู่ดื่มชาชิงฉวนไป๋สือ แต่ว่าป้าตู้คนของไท่ฮูหยินมาบอกว่างิ้วจะจบแล้ว พวกข้าจึงรีบกลับมาเจ้าค่ะ”
ชาชิงฉวนไป๋สือ? มันคือชาอะไร
สืออีเหนียงแปลกใจแต่หญิงนายหญิงใหญ่กลับยิ้มและพยักหน้า ราวกับพอใจในคำตอบของอู่เหนียงเป็นอย่างมาก จากนั้นนางก็ยิ้มแล้วพูดว่า“นั่งพักเสียเถิด! งิ้วใกล้จะจบแล้วจริงๆ ไม่รู้ว่าเพราะว่าไม่ชินหรืออย่างไร ข้ารู้สึกว่าการที่นั่งนานๆ ไม่ได้ทำอะไรเช่นนี้ช่างน่าเบื่อเสียจริง”
“ท่านแม่เคยชินกับการทำงานที่จวน ไม่แปลกที่จะไม่ชินเจ้าค่ะ” อู่เหนียงยิ้ม “นานไปประเดี๋ยวท่านแม่ก็ชินเองเจ้าค่ะ!”
นายหญิงใหญ่ยิ้ม หันหน้าไปดูงิ้วต่อ อู่เหนียงก็มานั่งข้างสืออีเหนียงอย่างรู้ความ
ทันทีที่นางนั่งลงคุณหนูสองคนของสกุลกานและสือเหนียงก็กลับมา
สือเหนียงจับแขนกานหลานถิงคุณหนูเจ็ดสกุลกาน พวกนางพูดคุยกันอย่างมีความสุข แต่คุณหนูสามสกุลกานกลับทำสีหน้าช่วยไม่ได้เดินตามพวกนางอยู่ข้างหลัง ในมือของสาวใช้สองคนที่เดินตามมาก็ถือช่อดอกไม้และหญ้า
พวกนางเห็นเฉียวเหลียนฝัง แต่กลับมีสีหน้าปกติ ไม่เหมือนคุณหนูหลิน คุณหนูถังและอู่เหนียงที่มีสีหน้าตกใจ แต่พวกนางเดินเข้ามาอย่างเย่อหยิ่ง ดึงดูดความสนใจของทุกคนในห้อง
หวงฮูหยินยิ้มและพูดว่า “นั่งลงเร็วเข้า อย่ายืนบัง”
คุณหนูสามสกุลกานหน้าแดง นางพึมพำ “เจ้าค่ะ” แต่คุณหนูเจ็ดสกุลกานกลับหัวเราะ ทิ้งสือเหนียงไว้ตรงนั้นและวิ่งไปที่ฮูหยินห้า ก้มหน้าพูดอะไรบางอย่างกับฮูหยินห้า สือเหนียงย่อเข่าคำนับหวงฮูหยิน จากนั้นก็เดินมาคำนับนายหญิงใหญ่
นายหญิงใหญ่ยิ้มและพยักหน้าให้นางเบาๆ จากนั้นนางก็ยิ้มและนั่งลงข้างนายหญิงใหญ่
คุณหนูสามสกุลกานก็เดินเข้ามา ย่อเข่าคำนับกานฮูหยิน “ท่านแม่!”
ท่านแม่?
สืออีเหนียงตกใจ
หรือว่าคุณหนูสามสกุลกานเป็นลูกอนุ?
นึกถึงหน้าตาที่ยังเด็กของกานฮูหยินขึ้นมา…หรือว่า กานฮูหยินแต่งเข้ามาเป็นภรรยาตัวแทน?
“ก่อเรื่องมาหรือ” กานฮูหยินยิ้มอย่างเป็นมิตร
“ก่อเรื่องอะไรกันเจ้าคะ” คุณหนูสามสกุลกานยิ้มและบ่น “ถึงแม้ว่าเราจะไม่รู้ความแค่ไหน แต่เราก็ไม่มีทางทำเรื่องอะไรที่ไร้มารยาทให้จวนของตระกูลสวีแน่นอนเจ้าค่ะ” นางไม่ค่อยเคารพกานฮูหยินมากนัก
กานฮูหยินก็ไม่สนใจ นางยิ้ม “รีบนั่งลงดื่มชา ดูเจ้าสิ หน้ามีแต่เหงื่อ!”
คุณหนูสามสกุลกานพยักหน้าอย่างเฉยเมยและนั่งลง มีสาวใช้ยกชาขึ้นมา แล้วยังมีสาวใช้ใช้แขนเสื้อพัดให้นาง
นางยิ้มและทักทายสืออีเหนียง “สนุกไหม”
สืออีเหนียงพยักหน้า “ร้องเพราะมากเจ้าค่ะ”
“ล้วนแต่เป็นเพราะหลานถิง ไม่เช่นนั้น ข้าก็คงจะได้นั่งดูดีๆ” นางบ่นแต่ไม่ได้โมโห “ปกติเจ้าดูงิ้วหรือไม่ ชอบดูอะไรบ้าง”
“ปกติข้าไม่ค่อยดูเจ้าค่ะ” สืออีเหนียงยิ้ม “นี่เป็นครั้งแรก!”
นางเบิกตากว้างแล้วพยักหน้าอย่างเข้าใจ “ก็จริง บ้านของพวกเจ้าไม่มีอะไรสนุกๆ”
ไม่มีความเย่อหยิ่ง ไม่มีความดูถูก นางแค่เล่าเรื่องเรื่องหนึ่ง มันไม่ได้ทำให้คนรู้สึกไม่พอใจ แต่กลับทำให้คนรู้สึกว่านางไร้เดียงสา!
สืออีเหนียงยิ้มมุมปาก
“พี่หญิงสามพูดอะไรนะเจ้าคะ” จู่ๆ คุณหนูเจ็ดสกุลกานก็ปรากฏตัวขึ้นมาข้างหลังคุณหนูสาม “คณะเจี๋ยเซียงตู้หนึ่งในสามคณะใหญ่ของเยี่ยนจิงร้องทำนองอวี๋หัง บ้านเกิดของน้องหญิงหลัวอยู่ที่อวี๋หัง”
คุณหนูสามตกใจ นางมองสืออีเหนียงด้วยสายตาที่ไม่ค่อยพอใจ ราวกับว่านางถูกหลอก
สืออีเหนียงกลืนไม่เข้าคายไม่ออก
ไม่อยากมีปัญหากับแม่นางเหล่านี้
นางจึงต้องอธิบายว่า “เมื่อก่อนข้าเคยอยู่กับท่านพ่อที่ฝูเจี้ยน ต่อมาท่านปู่เสียชีวิตจึงกลับบ้านไว้ทุกข์ที่จวน ข้าไม่เคยดูงิ้วมาก่อนจริงๆ เจ้าค่ะ”
คุณหนูสามสีหน้าเบาลง นางพยักหน้าเบาๆ
แต่คุณหนูเจ็ดกลับปิดปากยิ้ม จากนั้นก็จับมือสืออีเหนียง “น้องหญิงอย่าได้ถือสา คุณหนูสามของเราพูดจาตรงไปตรงมาเช่นนี้ตลอด”
ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร แต่นางยังมาขอโทษ สืออีเหนียงจะปฏิเสธความหวังดีของคนอื่นได้เช่นไร
นางเบิกตาเบิกกว้างและทำสีหน้าล้อเลียน “พี่หญิงสามพูดถูกแล้วนี่เจ้าคะ บ้านของพวกข้าไม่ค่อยมีอะไรสนุกๆ…พี่หญิงเจ็ดอย่าพูดเช่นนี้เจ้าค่ะ!”
คุณหนูเจ็ดหัวเราะและพูดว่า “เจ้าช่างเป็นคนที่น่าสนใจจริงๆ”
สืออีเหนียงก็หัวเราะ
หวงฮูหยินหันหน้ามา “หลานถิง เจ้าสงบไม่ได้สักวินาทีจริงๆ รีบนั่งลงเร็วเข้า บนเวทีร้องอะไรข้าไม่ได้ยิน”
คุณหนูเจ็ดแลบลิ้นใส่สืออีเหนียง นั่งลงข้างๆ นาง แต่ก็ยังอดไม่ได้ที่จะซุบซิบกับสืออีเหนียง “เหลียนฝังไปยืมกระโปรงมาจากฮูหยินสี่หรือ”
สืออีเหนียงตกใจ แต่กลับไม่ได้แสดงสีหน้าอะไรออกมา “เจ้ารู้ได้อย่างไรกัน”
คุณหนูเจ็ดกะพริบตาให้นาง “เดิมทีนางบอกว่าจะไปหาฮูหยินสองกับหมิงหย่วน เดินไปได้ครึ่งทางก็บอกว่าจะไปเล่นว่าวกับพวกข้า เดิมทีลมบนทางเดินค่อนข้างแรง เป็นที่ที่เหมาะกับการเล่นว่าว สุดท้ายนางเจอกับสาวใช้คนหนึ่ง บอกว่าทิวทัศน์ที่ศาลาชุนเหยี่ยนถิงสวยงาม นางจึงอยากไปเล่นว่าวที่ศาลาชุนเหยี่ยนถิง ไปก็ไปสิ แต่กลับเกิดเรื่อง นางยืนอยู่ข้างศาลาและมองออกไปไกลๆ แต่กลับถูกสาวใช้ที่ไม่รู้ความที่มาเก็บดอกไม้ตรงศาลาชุนเหยี่ยนถิงชนเข้าให้ ทำให้กระโปรงของนางฉีก นางจึงกลับไปก่อน… แต่คิดไม่ถึงว่านางจะไปยืมกระโปรงมาจากฮูหยินสี่”
สืออีเหนียงหัวใจเต้นแรง
มองออกไปไกลจากศาลาชุนเหยี่ยนถิง สามารถมองเห็นทะเลสาบเล็กๆ ทรงพระจันทร์ครึ่งเสี้ยว ข้างทะเลสาบมีเรือนหลังหนึ่ง… อู่เหนียงยังเคยกระซิบถามนางว่า ที่นั่นคือเรือนปั้นเย่ว์พั่นของท่านโหวใช่หรือไม่!
นางมองไปที่คุณหนูเจ็ด
สีหน้าของคุณหนูเจ็ดเต็มไปด้วยรอยยิ้ม ในสายตาของนางมีความเจ้าเล่ห์
ราวกับได้รับแรงบันดาลใจ ทันใดนั้นสืออีเหนียงก็เข้าใจขึ้นมาทันที
ที่แท้แล้ว คำพูดของคุณหนูเจ็ดมีความหมายลึกซึ้งทุกคำ
สืออีเหนียงพูดกับคุณหนูเจ็ดอย่างอ้อมค้อม “หา ฮูหยินสามไม่อยู่หรือ ทำไมต้องไปยืมกระโปรงจากพี่หญิงใหญ่”
สายตาของคุณหนูเจ็ดเป็นประกาย นางยิ้มสดใสขึ้นกว่าเดิม “พี่หญิงเดินไปได้ครึ่งทางก็ถูกคนของโรงครัวเรียกไป บอกว่าปลาฟู่ที่ไท่ฮูหยินบอกให้ทำหายไปไหนไม่รู้ ให้พี่หญิงรีบไปดู เช่นนี้พี่หญิงยังไม่ได้ก้าวเข้ามาก็ถูกคนเรียกออกไปเสียก่อน ไม่เช่นนั้น จู่ๆ เหลียนฝังจะเปลี่ยนใจกะทันหันได้เช่นไรกัน” นางมองสืออีเหนียงแล้วพูดเป็นนัย
สืออีเหนียงอดไม่ได้ที่จะยิ้มอย่างขมขื่น
ความบังเอิญเจอกับความบังเอิญกลายเป็นความไม่บังเอิญ
แต่ไม่รู้ว่าใครเป็นจักจั่น ใครเป็นตั๊กแตน ใครเป็นนกหวงเชวี่ย
ท้องฟ้าค่อยๆ มืดลง บรรดาป้าๆ ของจวนสกุลสวีกำลังเดินไปเดินมาอยู่ใต้ชายคาโถงเตี่ยนชวน จุดโคมไฟสีแดงทีละดวง
เสียงฆ้องและกลองข้างเวทียังคงดังกังวาน คนที่อยู่บนเวทีก็ร้องเพลงอย่างตื่นเต้นเร้าใจ จ้าวอู่เหนียงอยู่ข้างซ้ายของไช่ปั๋วเจีย หนิวซื่ออยู่ข้างขวา เลียนแบบฮ่องเต้เอ๋อร์และหนี่ว์อิง…
เสียงคำชมของบรรดาฮูหยินดังขึ้นมา
“จ้าวอู่เหนียงช่างมีวาสนา ได้เป็นฮูหยินของจอหงวน!”
“หนิวซื่อช่างเพียบพร้อมและใจกว้าง!”
สืออีเหนียงตกอยู่ในภวังค์
ที่แท้จ้าวอู่เหนียงที่มีชีวิตยากลำบากมาตลอด สุดท้ายสิ่งที่นางได้มาก็คือจุดจบเช่นนี้!