ร้อยรักปักดวงใจ - ตอนที่ 453 ระลอกคลื่น (ต้น)
เจินเจี่ยเอ๋อร์หันไปมองเงาแผ่นหลังของสวีซื่อฉินที่กำลังส่ายหน้าเบาๆ จากนั้นก็ไปยังเรือนของสืออีเหนียง
สวีซื่อจุนและสวีซื่อเจี้ยกำลังนั่งอยู่บนเตียงเตาใหญ่ริมหน้าต่าง ทั้งคู่กำลังดื่มน้ำแกงสมุนไพรไป่เหอพลางพูดคุยกับสืออีเหนียง
“ท่านแม่ ท่านว่าชื่อลี่ว์เสวี่ยกับเอ๋อร์หรุ่ยดีหรือไม่ ชื่อเข้ากับปี้หลัวและอวี่ฮวาพอดีเลย” หลังจากที่เขาป่วยนี่เป็นครั้งแรกที่สวีซื่อจุนออกจากเรือน เขาพึ่งได้สาวใช้ใหม่มาสองคน และกำลังจะตั้งชื่อให้กับสาวใช้ทั้งสอง ขณะที่เขากำลังพูดอยู่นั้น จู่ๆ เขาก็ชะงักไป แล้วจึงค่อยพูดต่อไปว่า “เหมาะกับฉาเซียงด้วย”
สืออีเหนียงรู้สึกว่าชื่อที่พ่อแม่ตั้งให้นั้นถือเป็นชื่อที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว ไม่เหมือนกับใครในสังคมนี้ เดิมทีสาวใช้มีชื่อว่าอะไร พอมาปรนนิบัติรับใช้ข้างกายนางก็ยังใช้ชื่อเดิมของพวกนาง แต่ไท่ฮูหยินและฮูหยินสองกลับคิดไม่เหมือนกัน สาวใช้ที่ปรนนิบัติรับใช้ข้างกายจะถูกตั้งชื่อใหม่ตามความชอบของตนเองทุกคน สวีซื่อจุนเองก็ได้รับอิทธิพลมาจากไท่ฮูหยิน แต่ทว่า เรื่องเหล่านี้ล้วนเป็นเรื่องธรรมดาทั่วไปของตระกูลที่ร่ำรวยและมีฐานะบรรดาศักดิ์สูงส่ง สืออีเหนียงจึงยิ้มพร้อมกับตอบกลับไปว่า “ชื่อชาเขียวเต็มทั้งเรือน”
สวีซื่อจุนได้ยินแล้วก็เม้มปากยิ้มตาม
สวีซื่อเจี้ยจ้องมองสืออีเหนียงที่กำลังยิ้มบาง จากนั้นก็หันไปมองสวีซื่อจุนที่กำลังอารมณ์ดี เขาจึงพูดขึ้นเสียงดังว่า “ท่านแม่ ข้าก็จะตั้งชื่อให้สาวใช้ด้วย!”
แต่ครั้งนี้ไม่ได้เปลี่ยนสาวใช้ที่เรือนของสวีซื่อเจี้ยด้วย
สืออีเหนียงจึงยิ้มพร้อมกับพูดขึ้นว่า “รอให้เรือนของเจ้ามีสาวใช้ใหม่ เจ้าค่อยตั้งชื่อให้กับพวกนางก็ยังไม่สาย!”
สวีซื่อเจี้ยรู้สึกผิดหวังเป็นอย่างมาก สายตาของเขาเหลือบไปมองซื่อสี่ที่กำลังยืนอยู่ข้างๆ ดวงตาของเขาก็เป็นประกายขึ้นมา รีบพูดขึ้นว่า “ท่านแม่ ข้าตั้งชื่อใหม่ให้กับซื่อสี่ดีกว่า!”
ซื่อสี่ที่ถูกพูดถึงก็อึ้งจนตาค้างไปหมด
สืออีเหนียงยิ้มเจื่อนๆ พร้อมกับพูดขึ้นว่า “ซื่อสี่ก็มีชื่ออยู่แล้ว อีกอย่างทุกคนก็เรียกจนชินปากแล้วด้วย”
ซื่อสี่ได้ยินแล้วก็รู้สึกใจกล้าขึ้นมาทันที นางพูดเสียงเบาว่า “บ่าวเป็นบุตรสาวคนที่สี่ของที่บ้าน อีกทั้งยังเป็นบุตรสาวเพียงคนเดียว ท่านพ่อของข้าดีใจเป็นอย่างมาก ก็เลยตั้งชื่อบ่าวด้วยอักษร ‘สี่’ ที่แปลว่าสิริมงคลเจ้าค่ะ…”
สวีซื่อเจี้ยก็รู้สึกผิดหวังเป็นอย่างมาก “แล้ว…แล้วจะทำอย่างไรดีเล่า”
สวีซื่อจุนครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง “เช่นนั้นเจ้าเลือกจากลี่ว์เสวี่ยกับเอ๋อร์หรุ่ยไปสักคนดีหรือไม่”
“แต่พวกนางมีกันชื่อกันหมดแล้วนี่นา” สวีซื่อเจี้ยยังคงติดกับปัญหาเดิม
สืออีเหนียงหัวเราะออกมาเสียงดังด้วยความเอ็นดู ขณะที่กำลังลูบศีรษะของเขาเบาๆ ก็มีสาวใช้เปิดม่านพาเจินเจี่ยเอ๋อร์เข้ามาด้านใน
สวีซื่อจุนและสวีซื่อเจี้ยตะโกนเรียกเสียงดังว่า “พี่หญิงใหญ่”
เจินเจี่ยเอ๋อร์อุ้มสวีซื่อเจี้ยขึ้นมากอดไว้ แล้วหันไปถามสวีซื่อจุนว่า “เจ้าดีขึ้นบ้างแล้วหรือยัง”
สวีซื่อจุนยิ้มพร้อมกับตอบกลับไปว่า “พรุ่งนี้ข้าจะไปเรียนหนังสือที่เรือนซวงฝูแล้ว”
“เช่นนั้นเจ้าจะต้องตั้งใจเรียนให้มากๆ!” เจินเจี่ยเอ๋อร์ยิ้มพร้อมกับพูดต่อไปว่า “รีบชดเชยบทเรียนที่เจ้าไม่ได้เรียนกลับมาให้หมด!”
สวีซื่อจุนรีบพยักหน้าตอบทันที
เจินเจี่ยเอ๋อร์พูดถึงสวีซื่ออวี้ขึ้นมา “…เห็นบอกว่าจะเดินทางพรุ่งนี้แล้ว ตอนที่ข้าไปถึง พี่ใหญ่และน้องสามก็กำลังอำลาพี่สองอยู่เจ้าค่ะ”
สืออีเหนียงครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง แล้วออกความคิดเห็นว่า “พรุ่งนี้พวกเราไปส่งเขาด้วยดีกว่า!”
นี่คือสิ่งที่เจินเจี่ยเอ๋อร์ต้องการ ส่วนสวีซื่อจุนและสวีซื่อเจี้ย เพราะว่าเป็นความคิดของสืออีเหนียง ทั้งสองก็ย่อมเห็นด้วยกับสืออีเหนียง
ทุกคนก็พากันปรึกษาหารือกันว่าวันพรุ่งนี้จะมอบอะไรให้สวีซื่ออวี้ดี
จากนั้นเจินเจี่ยเอ๋อร์ก็ได้พูดถึงสวีซื่อฉินให้สืออีเหนียงฟัง
สืออีเหนียงอดไม่ได้ที่จะถอนหายใจออกมาเบาๆ
จะว่าไปแล้ว ย่วนเจี่ยเอ๋อร์เป็นบุตรสาวอนุของจงฉินปั๋ว สวีซื่อฉินสู่ขอนางมาเป็นภรรยา ก็ถือว่าไม่น้อยหน้าใครแล้ว โทษก็แต่นิสัยใจคอของฮูหยินสามและกานฮูหยินที่หัวรั้นจนเกินไป จากนั้นก็ได้นึกถึงโจวฮูหยินและหวงฮูหยิน ที่ต่างก็เป็นห่วงเรื่องงานแต่งของสวีซื่อฉินกัน แต่ดูจากท่าทีของไท่ฮูหยินราวกับว่าไม่อยากยื่นมือเข้ามายุ่งกับเรื่องนี้อย่างไรอย่างนั้น ไม่ใช่แค่โจวฮูหยินและคุณนายสามสกุลหวงเท่านั้นที่ไม่สามารถตัดสินใจเรื่องนี้ได้ ถึงแม้ว่าจะเป็นตระกูลอื่น ก็ไม่สามารถพูดอะไรได้มากกว่านี้ ก็คงจะต้องพักเรื่องนี้ไว้ก่อน
แต่ทว่า หลังจากที่ลองคำนวณเวลาดูแล้ว วันก็ตรงกับที่คุณชายสามต้องกลับมาปฏิบัติตามกฎข้อบังคับและรับการตรวจสอบพอดี ไท่ฮูหยินก็คงจะตั้งอกตั้งใจรอคอยคุณชายสามและฮูหยินสามกลับมาก่อนเสียมากกว่า
“หากย่วนเจี่ยเอ๋อร์กำหนดวันแต่งเรียบร้อยแล้ว ข้าจะบอกเจ้าเอง”
หลังจากที่แบกรับความผิดในคราวนั้น หากรู้ว่าย่วนเจี่ยเอ๋อร์สามารถแต่งงานออกเรือนได้อย่างราบรื่น ก็คงจะรู้สึกสบายใจขึ้นกระมัง!
เจินเจี่ยเอ๋อร์พยักหน้าเบาๆ อย่างอ่อนช้อย
สวีซื่อจุนเดินเข้ามาพูดต่อจากเจินเจี่ยเอ๋อร์ว่า “พี่หญิงใหญ่ พี่หญิงใหญ่ ข้ากับน้องห้าช่วยกันทำโคมไฟมอบให้เขาดีหรือไม่”
“วันค่ำสิบห้าเดือนอ้ายผ่านไปแล้ว วันค่ำสิบห้าเดือนแปดก็ยังไม่ถึง” สืออีเหนียงยิ้มพร้อมกับพูดต่อไปว่า “จะทำโคมไฟอะไรดี!”
ตั้งแต่สองคนนี้ถูกคนทั้งจวนชมไม่ขาดสายตอนไปลอยประธีปดอกบัวที่แม่น้ำในเทศกาลวันสารทจีน หลังจากนั้นสิ่งที่ทั้งสองชอบทำมากที่สุดก็คือโคมไฟหลากสีสัน
สวีซื่อจุนเก้อเขินและไม่กล้าที่จะหัวเราะออกมา
เจินเจี่ยเอ๋อร์ยิ้มพร้อมกับพูดขึ้นว่า “พี่สองชอบอ่านหนังสือตำราที่สุด พวกเรามอบสี่สิ่งล้ำค่าแห่งห้องตำราให้กับพี่สองก็แล้วกัน!”
ทุกคนพูดคุยโต้ตอบกันอย่างชื่นมื่น คุยกันราวครึ่งค่อนวันเห็นจะได้ เมื่อถึงเวลาพลบค่ำ ก็ไปทานอาหารที่เรือนของไท่ฮูหยินด้วยกัน ครึกครื้นเป็นอย่างมาก พลอยทำให้สีหน้าของไท่ฮูหยินดูสดชื่นขึ้นมาก
เช้าตรู่วันรุ่งขึ้น สืออีเหนียง เจินเจี่ยเอ๋อร์ สวีซื่อจุนและสวีซื่อเจี้ยก็ไปส่งสวีซื่ออวี้ที่หน้าประตูใหญ่ สืออีเหนียงมอบพู่กันขนหมาป่าสองด้ามให้กับเขา ส่วนเจินเจี่ยเอ๋อร์มอบกระดาษเฉิงซินสี่ปึก สวีซื่อจุนมอบที่ล้างพู่กันทรงใบบัว สวีซื่อเจี้ยมอบที่วางพู่กันไม้ไผ่ สวีซื่อฉินและสวีซื่อเจี่ยนจะออกไปส่งเขาที่ประตูเมือง
เจินเจี่ยเอ๋อร์หันไปมองรถม้าที่คลุมด้วยผ้าไหมสีดำทั้งสองคันที่จอดอยู่หน้าประตูก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกบีบหัวใจ นางจึงหันไปกำชับกับเหวินจู๋ว่า “…เจ้าจะต้องดูแลคุณชายน้อยสองให้ดี หากมีเรื่องอะไรจะต้องรีบกลับมาแจ้งข่าวทันที”
สวีซื่ออวี้เห็นว่านางเศร้าใจเป็นอย่างมาก จึงปลอบโยนนางว่า “เขาลั่วเย่ว์ห่างจากเมืองเยี่ยนจิงเพียงครึ่งวันเท่านั้น ยิ่งไปกว่านั้น นี่ก็ใกล้จะถึงเทศกาลวันไหว้พระจันทร์แล้ว อีกไม่กี่วันข้าก็จะกลับมาอีก”
เทศกาลวันไหว้พระจันทร์เป็นวันที่ครอบครัวมารวมตัวกันอย่างพร้อมหน้าพร้อมตา สวีซื่ออวี้ย่อมต้องกลับมาร่วมงานเทศกาลไหว้พระจันทร์ที่จวนอย่างแน่นอน
เจินเจี่ยเอ๋อร์จึงไม่ได้พูดอะไรต่อ หลังจากที่สวีซื่ออวี้ออกเดินทางไปแล้ว สวีซื่อจุนและสวีซื่อเจี้ยก็ได้ไปยังเรือนซวงฝู เจินเจี่ยเอ๋อร์ก็ประคองสืออีเหนียงค่อยๆ เดินกลับเรือน
เวลานี้เองพ่อบ้านไป๋ก็ได้ให้บ่าวรับใช้ชายมาแจ้งว่าเรือนที่ตรอกจินอวี๋ของสืออีเหนียงสร้างเสร็จแล้ว
สืออีเหนียงรู้สึกดีใจเป็นอย่างมาก
ที่นั่นเป็นทรัพย์สมบัติภายใต้ชื่อของนางเอง เวลาที่ต้องถอยออกมายังมีที่นั่นให้พักพิง จึงทำให้มีความรู้สึกปลอดภัยอย่างบอกไม่ถูก
สืออีเหนียงอยากจะไปดูเสียหน่อย
แต่สวีลิ่งอี๋ไม่อนุญาตให้ไป “…อากาศร้อนขนาดนี้ นั่งรถม้าก็เหน็ดเหนื่อย รอคลอดก่อนแล้วค่อยไป” จากนั้นก็เลยพูดต่อไปว่า “ข้าให้พวกเขาปล่อยเรือนให้ว่างไว้ก่อน รอเจ้าสะดวกเมื่อไร ก็ค่อยไปต่อเติมก็พอ”
สืออีเหนียงจึงใช้วิธีจินตนาการเอา นางให้คนไปนำแบบของเรือนที่ตรอกจินอวี๋มาให้ เวลาว่างก็จะปรึกษาหารือกับเจินเจี่ยเอ๋อร์และหู่พั่ว ว่าควรจะจัดวางข้าวของเครื่องใช้ไว้ตรงไหนอย่างไรบ้าง
หยางอี๋เหนียงก็ถือโอกาสตอนที่มาคารวะมอบผ้าอ้อมเด็กที่ปักด้วยลายเด็กน้อยกำลังละเล่นของเล่นโบราณ
เด็กน้อยแลดูร่าเริงแจ่มใส สีสันสดใสสวยงาม ดูออกว่าตั้งใจทำเป็นอย่างมาก
สืออีเหนียงกล่าวขอบคุณ สั่งให้หู่พั่วนำไปเก็บ “รอเด็กคลอดออกมาแล้วค่อยว่ากันอีกทีก็แล้วกัน!”
หยางอี๋เหนียงขานรับด้วยความอ่อนโยนแล้วหย่อนกายนั่งลงบนเก้าอี้ พูดคุยถามไถ่เกี่ยวกับเด็กในครรภ์
“สบายดี” สืออีเหนียงตอบกลับอย่างเรียบง่าย
สืออีเหนียงพูดคุยกับนางอยู่ครู่หนึ่ง หลังจากนั้นก็ยิ้มพร้อมกับยกน้ำชาขึ้นมาจิบ
หยางอี๋เหนียงจึงถอยออกไปด้วยรอยยิ้ม เมื่อกลับไปถึงเรือน สีหน้าของนางก็เปลี่ยนไปทันที
“สืออีเหนียงคนนี้ เย่อหยิ่งเสียจริง”
ป้าหยางรู้สึกเป็นห่วงแทนนางขึ้นมา “แล้ว…แล้วเราจะทำอย่างไรดีเจ้าคะ!” เมื่อนึกถึงเรื่องที่ไทเฮาสวรรคตแล้ว หยางอี๋เหนียงเองก็ยังบริสุทธิ์ จึงพูดขึ้นเสียงเบาว่า “ในตอนแรกครรภ์ของฮูหยินไม่ค่อยแข็งแรงเท่าไรนัก อีกทั้งยังเกิดเรื่องของฉินอี๋เหนียงขึ้นมาด้วย ท่านโหวไม่มีกะจิตกะใจก็ย่อมเป็นเรื่องธรรมดาอยู่แล้ว อีกอย่างครึ่งปีที่ผ่านมานี้ท่านโหวดื่มสุราที่เรือนของฮูหยินเสียส่วนใหญ่…หากจะรอให้ท่านโหวว่างจริงๆ ก็ยังมีเหวินอี๋เหนียงและเฉียวอี๋เหนียงอีก ถึงเวลานั้นเกรงว่าคงจะไม่ง่ายเจ้าค่ะ”
จันทร์เพ็ญจันทร์เสี้ยว ท่านโหวก็อดทนมาครึ่งค่อนปีแล้ว นี่ก็ถึงเดือนจันทร์เสี้ยวพอดี หากว่าตนไม่สามารถที่จะคว้าโอกาสนี้ไว้ได้…ไม่รู้ว่ามีอะไรบ้างที่ตนจะต้องไปเผชิญหน้า
หยางอี๋เหนียงนั่งอยู่บนเตียงเตาพร้อมกับกำมือแน่น
จากนั้นขยันไปหาสืออีเหนียงมากขึ้นกว่าเดิม
สืออีเหนียงก็ยังคงเฉยชาเหมือนเช่นเดิม
หยางอี๋เหนียงจึงรู้สึกร้อนใจขึ้นมา แต่เวลานั้นนางก็ไม่มีวิธีอื่นที่ดีกว่านี้เลย
วันคืนค่อยๆ ผ่านไปจนถึงเทศกาลวันไหว้พระจันทร์ ทั้งหน้าเรือนและหลังเรือนดังระงมไปด้วยเสียงร้องของจักจั่น
เริ่มจากจวนจงฉินปั๋วที่ได้ทำพิธีสิ้นสุดการไว้ทุกข์ให้แก่นายท่านปั๋วคนก่อน จากนั้นก็เป็นกานเหล่าเฉวียนที่แอบช่วยคุณชายสามสร้างเรือนสามประตูทางเข้าสามห้องอาคารลับหลังจวนสกุลสวีที่ตรอกสือจีถัดจากตรอกจินอวี๋ไม่ไกลเท่าไรนัก ต่อมาก็เป็นหลานถิงที่ต้องการจะแขวะเรื่องสินเดิมของเฉาเอ๋อร์จึงได้ไปหาสืออีเหนียงที่จวน
สืออีเหนียงได้ยินแล้วก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกใจหาย พอตกกลางคืนก็ได้พูดกับสวีลิ่งอี๋ว่า “…เพื่อเป็นหน้าเป็นตาให้กับเสียนเจี่ยเอ๋อร์ ถึงขั้นนำเครื่องประดับผมจำนวนหนึ่งที่มารดาของเฉาเอ๋อร์เก็บไว้ให้เฉาเอ๋อร์ไปให้กับเสียนเจี่ยเอ๋อร์ เฉาเอ๋อร์โมโหจนเอาแต่นอนซมอยู่บนเตียง ยังดีที่หลานถิงเป็นคนนิสัยใจร้อนพอตัว จึงสามารถนำของกลับมาได้ เฉาเอ๋อร์เป็นน้องสาวร่วมมารดาของท่านปั๋ว กานฮูหยินทำเช่นนี้ก็ถือว่าเกินไปหน่อย”
สวีลิ่งอี๋จ้องมองไปยังสืออีเหนียงที่เพราะตั้งครรภ์ใบหน้าของนางจึงดูอุดมสมบูรณ์และขาวเนียนผุดผ่องกว่าเดิมมาก จึงได้กุมมือของนางด้วยอาการใจลอยไม่อยู่กับเนื้อกับตัว เขายิ้มพร้อมกับพูดขึ้นว่า “ที่แท้แล้วคุณหนูสามสกุลกานมีนามว่าเฉาเอ๋อร์หรอกหรือ!”
สืออีเหนียงค่อนข้างรู้สึกกระอักกระอ่วนใจ
ในสมัยโบราณผู้คนจะไม่ค่อยเปิดเผยนามจริงของบุตรสาวออกมา ตนเป็นเช่นนี้ ดูเหมือนว่าจิตใจไม่ค่อยอยู่กับเนื้อกับตัวเท่าไรนัก จากนั้นนางก็ได้นึกย้อนกลับไปยังคำพูดของสวีลิ่งอี๋ ว่าเหตุใดสวีลิ่งอี๋ถึงรู้ว่าคนที่นางพูดถึงนั้นเป็นคุณหนูสามสกุลกาน เห็นได้ชัดว่าเขารู้จักชื่อสกุลเดิมของเฉาเอ๋อร์ จึงพูดขึ้นด้วยความไม่พอใจว่า “หากท่านโหวไม่รู้จักนามจริงของคุณหนูสามสกุลกาน เหตุใดถึงรู้ว่าคนที่ข้ากำลังพูดถึงนั้นเป็นเฉาเอ๋อร์”
สวีลิ่งอี๋เห็นดวงตาของนางเป็นประกายแวววาวขึ้นมา ราวกับดาวพระศุกร์ที่ขอบฟ้าก็ไม่ปาน จู่ๆ ก็เกิดรู้สึกอิ่มเอมใจขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก หากว่าสืออีเหนียงเป็นเช่นนี้ตลอดไป จะดีแค่ไหนกัน
เขายิ้มพร้อมกับบีบมือของสืออีเหนียงเบาๆ “พักผ่อนเถิด! พรุ่งนี้เช้าต้องไปเดินเล่นที่สวนดอกไม้หลังเรือนมิใช่หรือ!”
ตั้งแต่ครรภ์ของนางเข้าสู่เดือนที่แปด ป้าเถียนและป้าวั่นก็คอยพานางไปเดินเล่นที่สวนดอกไม้ทุกวัน วันละครึ่งชั่วยาม เห็นว่าสามารถช่วยให้คลอดได้ง่ายขึ้น
สืออีเหนียงจึงยิ้มพร้อมกับเอนตัวนอน
สวีลิ่งอี๋ก็หันไปดับไฟในตะเกียง วางมือลงบนท้องของสืออีเหนียงด้วยความเคยชิน
สืออีเหนียงดึงผ้าห่มผืนบางขึ้นมาห่ม จู่ๆ ก็ได้ยินเสียงของสวีลิ่งอี๋อุทานออกมาพร้อมกับลุกขึ้นนั่ง
“เกิดอะไรขึ้นหรือเจ้าคะ!” สืออีเหนียงถามขึ้น จากนั้นก็รู้สึกว่ามือทั้งสองข้างของเขากำลังลูบท้องของตนอยู่
“เมื่อครู่นี้เขาเตะข้าไปหนึ่งครั้ง!” น้ำเสียงของสวีลิ่งอี๋เต็มไปด้วยความดีใจ “ข้ารู้สึกอย่างชัดเจนว่าเขาเตะข้าไปหนึ่งครั้ง” แล้วจึงพูดขึ้นพึมพำว่า “เอ๊ะ เหตุใดถึงไม่เคลื่อนไหวแล้วล่ะ” จากนั้นเขาก็ลุกขึ้นไปจุดไฟตะเกียงอีกครั้ง ลูบคลำท้องของนางด้วยความตั้งใจ อยากจะสัมผัสการเคลื่อนไหวของลูกอีกครั้ง
เพียงแต่ว่าเด็กขยับตัวค่อนข้างน้อย สืออีเหนียงเองก็ไม่ได้รู้สึกบ่อยครั้ง สวีลิ่งอี๋ก็คงจะยิ่งแล้วใหญ่
นางหัวเราะออกมาเบาๆ พร้อมกับหย่อนตัวนั่งลง เอนตัวพิงลงบนหมอนอิง “เขาค่อนข้างเกียจคร้าน…” พึ่งจะพูดจบ จู่ๆ สวีลิ่งอี๋ก็แสดงสีหน้าดีใจออกมา “เขาเตะข้าอีกแล้ว!” จากนั้นก็ชี้ไปยังจุดที่เด็กเตะออกมา “ตรงนี้…” ขณะที่พูดอยู่นั้น จู่ๆ แววตาของเขาก็เต็มไปด้วยความไม่เข้าใจ “แต่ทว่าก่อนหน้านี้ไม่ใช่ตรงนี้นี่นา…” พูดพลางขยับมือไปลูบอีกที่หนึ่ง
สืออีเหนียงรู้สึกว่าการอธิบายเรื่องเหล่านี้ให้กับสวีลิ่งอี๋นั้นค่อนข้างยากลำบาก จึงพูดขึ้นด้วยความคลุมเครือว่า “ป้าเถียนบอกว่าเป็นอย่างนี้อยู่แล้วเจ้าค่ะ”
“เช่นนั้นหรือ” สวีลิ่งอี๋หันไปมองนางอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะค่อยๆ ลูบท้องของนางอย่างเบามือ “เจ้าว่าเขาจะรู้สึกไม่สบายตัวหรือไม่ มิเช่นนั้นเขาจะถีบท้องทำไมกัน”
“คงเพราะอยู่คนเดียวไม่สนุกกระมัง” สืออีเหนียงพูดขึ้นลอยๆ
สวีลิ่งอี๋ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง แล้วก็ได้เพิ่มน้ำหนักมือมากขึ้นกว่าเดิม ค่อยๆ ลูบท้องของสืออีเหนียงด้วยความอ่อนโยน
แต่เด็กในครรภ์กลับไม่มีปฏิกิริยาตอบสนองเลยแม้แต่นิดเดียว…