ร้อยรักปักดวงใจ - ตอนที่ 410 ไม่หยุดหย่อน(กลาง)
สืออีเหนียงได้ฟังก็เงียบไปพักใหญ่ เมื่อสวีลิ่งอี๋กลับมาก็ปรึกษากับเขาว่า “ศาลบรรพชนอยู่ห่างจากเรือนของเราไปประมาณสองสามหลัง ต่อให้มีเสียงดัง แต่เมื่อมาถึงที่นี่ก็คงเป็นเพียงเสียงเบาๆ เท่านั้น หากท่านแม่ไม่วางใจจริงๆ เช่นนั้นฝากไต้ซือจี้หนิงให้ช่วยทำพิธีสวดบทขอขมากรรมที่วัดฉือหยวนสักสองสามวันดีหรือไม่!”
สวีลิ่งอี๋ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะพูดขึ้นมาว่า “ข้าว่ามาทำพิธีในจวนทั้งเจ็ดวันดีกว่า ถึงอย่างไรเสียนี่ก็ไม่ใช่พิธีที่ต้องทำวันเว้นวันหรือทำตลอดทั้งเดือน”
สืออีเหนียงเข้าใจความหมายของสวีลิ่งอี๋
หยวนเหนียงเสียชีวิตในขณะที่ผู้อาวุโสในเรือนยังอยู่ ตามหลักแล้วไม่ควรจัดพิธีเซ่นไหว้ใหญ่โต ต่อให้ขอให้วัดฉือหยวนช่วยทำพิธี ก็ทำพิธีไม่เกินเจ็ดวัน ทั้งของเซ่นไหว้และโต๊ะพิธีต่างก็มีข้อจำกัด หากอยากจะจัดอย่างยิ่งใหญ่ก็ต้องหาข้ออ้าง แต่ปีนี้ครบปีที่ห้าที่หยวนเหนียงจากไปจึงไม่ใช่การจัดวันเว้นวันหรือจัดทั้งเดือน จะหาข้ออ้างสักข้อก็ไม่มี
“ทางด้านท่านแม่ ฝากท่านโหวช่วยพูดให้ด้วยเจ้าค่ะ” สืออีเหนียงเอ่ยขอร้องสวีลิ่งอี๋ “จุนเกอเองก็โตแล้ว เมื่อถึงเวลาก็สามารถเป็นประธานในพิธีเซ่นไหว้ได้แล้ว”
สวีลิ่งอี๋พยักหน้า ไม่กี่วันต่อมาเถาฮวาที่ทำงานอยู่ที่ศาลบรรพชน เป็นน้องสาวของเว่ยจื่อสาวใช้ใหญ่ข้างกายไท่ฮูหยินก็วิ่งมาบอกหู่พั่วว่า “ทำพิธีในจวนเจ็ดวันเจ้าค่ะ”
สืออีเหนียงถอนหายใจด้วยความโล่งอก ตอนที่สวีซื่อจุนมาคารวะ นางก็ช่วยเขาจัดเครื่องแต่งกายพลางเอ่ยกำชับเสียงเบาว่า “ข้าไม่สามารถไปร่วมพิธีครบรอบวันจากไปของมารดาเจ้าได้ เจ้านำเรื่องนี้ไปบอกอาจารย์จ้าว ถามอาจารย์จ้าวว่าต้องการให้ผู้ดูแลของศาลบรรพชนมาบอกเจ้าเกี่ยวกับพิธีเซ่นไหว้หรือไม่ หากอาจารย์จ้าวให้เจ้าไปหาผู้ดูแลศาลบรรพชน เจ้าก็อย่าได้เอะอะส่งเสียงดังให้ใครรู้ ให้มาบอกข้าแล้วข้าจะช่วยเจ้าหาเอง”
สวีซื่อจุนได้ยินดังนั้นก็พยักหน้า ถามสืออีเหนียงว่า “ท่านแม่ สุขภาพของท่านเป็นอย่างไรบ้างขอรับ” ท่าทางกังวลเป็นอย่างมาก
สืออีเหนียงยิ้มพลางตบบ่าสวีซื่อจุนเบาๆ แล้วกระซิบว่า “เดิมทีข้านับวันเวลาดูคาดว่าควรจะดีขึ้นแล้ว แต่ใครจะไปรู้ว่าจะยังคงเหนื่อยล้าเช่นนี้” พูดอย่างจนปัญญา
หู่พั่วได้ยินก็พูดขึ้นมาว่า “ฮูหยิน ท่านว่าเชิญหมอหลวงหลิวมาตรวจดูดีหรือไม่เจ้าคะ”
“หากเขามาก็เพียงแต่ให้ข้าทานยาเท่านั้น” สืออีเหนียงส่ายหน้า พลันนึกถึงอี๋เหนียงห้าที่อยู่ไกลถึงอวี๋หัง “…หากอยู่ข้างกายก็คงดี ข้าได้ยินนางบอกว่าบุตรสาวจะเหมือนแม่ หรือว่าตอนที่นางตั้งครรภ์ข้าก็เป็นเช่นนี้เหมือนกัน แต่ว่าตอนที่อี๋เหนียงตั้งครรภ์คุณชายเจ็ดดูเหมือนว่าจะไม่มีอาการอะไรเลย”
หู่พั่วยิ้มแล้วพูดว่า “ตอนนั้นนายหญิงใหญ่ยังอยู่ ต่อให้ไม่สบาย เกรงว่าก็คงไม่กล้าแสดงออกมากระมังเจ้าคะ”
สืออีเหนียงได้ฟังก็ประหลาดใจเล็กน้อย ทำให้นางอยากรู้มากขึ้นกว่าเดิม บอกให้หู่พั่วและคนอื่นๆ จัดเตรียมหมึกและพู่กัน เตรียมจะเขียนจดหมายไปยังอวี๋หัง
เมื่อถึงเวลาทานอาหารเย็น ในวังก็มีข่าวแพร่ออกมาว่าฟังเจี่ยเอ๋อร์คลอดบุตรสาวแล้ว
นี่นับเป็นหลานคนแรกของฮ่องเต้
หากเป็นครอบครัวของคนธรรมดาทั่วไป นี่ถือว่าเป็นเรื่องที่น่ายินดีเป็นอย่างมาก เพียงแต่ว่านี่เป็นครอบครัวเชื้อพระวงศ์ ความน่ายินดีจึงลดน้อยลงไปหลายส่วน
“…จะดีกว่านี้หากฮองเฮาให้กำเนิดองค์ชาย” เมื่อโจวฮูหยินมาพูดคุยกับสืออีเหนียง ดวงตาของนางบวมแดงเล็กน้อย “แต่กลับให้กำเนิดองค์หญิงที่ผิวพรรณงดงามราวกับหยก ครั้งนี้ไท่จื่อเฟยเองก็ให้กำเนิดบุตรสาว แม้ว่าฮ่องเต้จะทรงยินดี แต่เกรงว่าคงจะไม่ได้มากมาย”
สืออีเหนียงบอกให้หู่พั่วนำผ้าชุบน้ำเย็นบิดหมาดๆ มาให้โจวฮูหยินประคบเบ้าตาแล้วพูดว่า “ยิ่งเป็นเช่นนี้ เวลานี้ท่านยิ่งต้องดีใจจึงจะถูก” โจวฮูหยินได้ฟังดังนั้นก็น้ำตาคลอ “เหตุใดข้าจะไม่รู้เล่า เพียงแต่เมื่อคิดถึงฟังเจี่ยเอ๋อร์ของพวกเรา ตอนที่ยังไม่ได้อภิเษกนั้นมีชีวิตที่สุขสงบราบรื่นในจวน ขนาดเป็นอีสุกอีใสแต่ก็ยังสดใสร่าเริง ใครจะไปรู้ว่าจู่ๆ ก็ถูกแต่งตั้งให้เป็นไท่จื่อเฟย หลังจากนั้นก็ไม่มีวันไหนที่ผ่านไปอย่างสงบสุขแม้แต่วันเดียว หรือจะเป็นดั่งคำที่ว่า ‘ลำบากก่อนสบายทีหลัง’ กระมัง”
“ใครเป็นคนพูดกันเล่า” สืออีเหนียงยิ้มแล้วพูดต่ออีกว่า “ชีวิตคนเราจะอยู่โดยปราศจากอุปสรรคได้อย่างไร…”
“นักพรตฉังชุนบอกมา” โจวฮูหยินถอนหายใจแล้วเอ่ยตัดบทสนทนาของนาง “ตอนนางยังเด็กๆ มีครั้งหนึ่งได้บังเอิญพบกับนักพรตฉังชุน นักพรตฉังชุนพูดตามที่ได้เห็นลักษณะใบหน้าของนาง ตอนนั้นยังบอกอีกว่านางมีชะตากรรมของดาวล้อมเดือน เดิมทีข้าไม่เชื่อ ตอนนี้มาลองคิดดูก็พอมีความจริงอยู่บ้าง”
เป็นนักพรตฉังชุนอีกแล้ว!
สืออีเหนียงขมวดคิ้วเล็กน้อย มีเพียงต้องอ้างคำพูดเมื่อครู่ของโจวฮูหยินเท่านั้นที่จะสามารถโน้มน้าวนางได้ “ดาวล้อมเดือนนั้นเป็นชะตากรรมอย่างไรพี่หญิงยังไม่เข้าใจอีกหรือ ในเมื่อเป็นเช่นนี้ คาดว่าคราวนี้ก็คงมีแค่เรื่องตกใจแต่ไม่ถึงกับมีอันตรายใด”
สิ่งที่เรียกว่าการทำนายโชคชะตาหรือดูดวง บางครั้งก็เป็นเพียงการปลอบใจตัวเองเท่านั้น แต่เป็นเพราะฟังเจี่ยเอ๋อร์มีเรื่องเช่นนี้พอดีจึงทำให้โจวฮูหยินนึกคำทำนายในอดีตขึ้นมาได้
“เมื่อมีโชคชะตาชีวิตเช่นนี้ก็ต้องแบกรับให้ได้” สีหน้าของโจวฮูหยินเผยให้เห็นความหดหู่เล็กน้อย “มีบางเรื่องที่เจ้าไม่รู้ เหตุผลที่อดีตฮ่องเต้แต่งตั้งให้ฮ่องเต้เป็นรัชทายาทในตอนนั้น นอกจากจะเป็นเพราะนิสัยและจิตใจอันสูงส่งแล้ว ก็ใช่ว่าจะไม่เกี่ยวกับบุตรที่ฮองเฮาให้กำเนิด…”
นี่จึงจะเป็นเรื่องที่โจวฮูหยินกังวลอยู่กระมัง!
เมื่อส่งโจวฮูหยินไปแล้วก็ไปพูดคุยกับสวีลิ่งอี๋
สวีลิ่งอี๋หัวเราะ “โจวฮูหยินคุยเรื่องนี้กับเจ้าอย่างนั้นหรือ แต่เจ้านั้นเป็นท่านอาหญิงของพระโอรสของฮองเฮาเชียวนะ”
สืออีเหนียงไม่ได้ถือตัวกับตำแหน่งนั้น และไม่ได้คิดว่าคำพูดของโจวฮูหยินผิดปกติอะไร ตอนนี้นางมาคิดๆ ดูก็รู้สึกขบขัน พูดด้วยรอยยิ้มว่า “นั้นเป็นเพราะว่าข้าไม่ไปตัดสินว่าใครถูกใครผิด รู้ว่าอะไรที่ไม่สอดคล้องจริยธรรมนั้นไม่สามารถพูด ไม่สามารถมอง และไม่สามารถทำได้”
สวีลิ่งอี๋หยอกล้อนางทางสายตา “อ้อ!”
ตนเพิ่งบอกว่าไม่ไปตัดสินใคร แต่กลับนำเรื่องที่โจวฮูหยินพูดมาเล่าให้สวีลิ่งอี๋ฟัง
สืออีเหนียงพลันหน้าแดง สีหน้าของนางกระอักกระอ่วนเล็กน้อย
หรือว่าในจิตใต้สำนึกของตัวเองเชื่อว่าสวีลิ่งอี๋เป็นคนที่น่าเชื่อถือจึงได้รู้สึกวางใจ?
เมื่อความคิดผ่านเข้ามาในหัว นางก็รู้สึกเหมือนมีคลื่นลูกเล็กๆ เกิดขึ้นในหัวใจ สวีลิ่งอี๋โอบกอดนางเอาไว้
“ระหว่างสามีภรรยาก็ควรมีการปรึกษาเรื่องต่างๆ กัน” เขาที่จูบที่ไรผมนางเบาๆ “ต่อไปก็ต้องเป็นเช่นนี้ เข้าใจหรือไม่”
คำสั่งอันเคร่งครัดในน้ำเสียงที่อ่อนโยนทำเอาหัวใจของสืออีเหนียงยิ่งอลหม่านมากขึ้นกว่าเดิม
เมื่ออีกคนหนึ่งยังไม่ได้รับคำตอบที่คาดหวัง จึงกระชับวงแขนกอดคนตัวเล็กเอาไว้แน่นแล้วขบที่ติ่งหูอันอ่อนนุ่มเบาๆ กระซิบสั่งด้วยเสียงเย้ายวนว่า “ได้ยินหรือไม่”
สืออีเหนียงรู้สึกใบหน้าร้อนผ่าว เพียงเม้มปากแน่นไม่ได้ตอบอะไร
“ได้ยินหรือไม่!” จากนั้นก็ออกแรงกัดที่คอเรียวระหงเบาๆ หนึ่งที ทำเอานางรู้สึกจั๊กจี้จนหลุดหัวเราะออกมา
ขณะที่ทั้งสองคนกำลังหยอกเย้ากัน ก็ได้ยินหู่พั่วตะโกนมาจากหลังม่านว่า “ฮูหยิน” แล้วรายงานว่า “ชิวอวี่กลับมาแล้วเจ้าค่ะ”
ชิวอวี่คือคนที่หู่พั่วส่งไปถามเรื่องยันต์แคล้วคลาดที่วัดฉือหยวน
สืออีเหนียงรีบจัดชายเสื้อ แล้วส่งสายตาดุสวีลิ่งอี๋
สวีลิ่งอี๋เห็นว่านางหน้าแดงเหมือนพระอาทิตย์ยามอัสดง ดวงตาสีผลซิ่งคู่นั้นเปล่งประกาย เป็นเสน่ห์ที่ทำให้คนหลงใหลอย่างไม่สามารถอธิบายได้ ใจก็พลันเต้นแรง จูบไปที่แก้มนางเบาๆ ก่อนที่จะลุกขึ้นแล้วเดินออกไป
สืออีเหนียงนำน้ำต้มที่เย็นแล้วมาป้วนปาก เมื่อรู้สึกว่าใบหน้าหายร้อนแล้วจึงได้เรียกชิวอวี่เข้ามา
“ไต้ซือจี้หนิงบอกว่าเมื่อฉินอี๋เหนียงรู้ว่าฮูหยินตั้งครรภ์ก็ตั้งใจมาขอยันต์แคล้วคลาดด้วยความจริงใจ ไต้ซือจี้หนิงได้ตั้งใจทำยันต์เป็นพิเศษโดยการใช้ชาดแดงวาดดอกบัวดอกเล็กๆ ที่มุมยันต์ แต่ว่าไม่จำเป็นต้องแขวนไว้หน้าประตูห้อง จะเก็บไว้ในถุงเงินหรือว่าวางไว้ใต้หมอนหรือว่าจะวางไว้หน้าแท่นบูชาพระโพธิสัตว์ก็ได้ทั้งนั้นเจ้าค่ะ”
ขณะที่ชิวอวี่กำลังพูดหู่พั่วก็ไปนำยันต์ผืนนั้นมา ที่มุมมีดอกบัวดอกเล็กๆ ที่วาดด้วยชาดแดงจริงๆ
ยันต์แคล้วคลาดไม่ได้มีอะไรผิดปกติ ที่จริงสืออีเหนียงนั้นคิดเอาไว้อยู่แล้ว แต่สิ่งที่ประหลาดใจก็คือความระมัดระวังของไต้ซือจี้หนิง
“แล้วเหตุใดฉินอี๋เหนียงถึงบอกให้ฮูหยินแขวนไว้หน้าประตูล่ะเจ้าคะ!” หลังจากชิวอวี่ออกไป หู่พั่วก็พลิกยันต์ไปมาตรวจดูทั้งสองด้านอย่างละเอียด
“คงอยากจะแสดงความตั้งใจ!” สืออีเหนียงพูดต่ออีกว่า “มิเช่นนั้นยันต์แคล้วคลาดผืนเล็กเช่นนี้ถูกเอาไว้ใต้หมอนแล้วใครจะรู้ได้เล่าว่านางเป็นคนขอมา” ยิ้มพลางกำชับหู่พั่วว่า “ในเมื่อไต้ซือจี้หนิงบอกว่านางมาขอด้วยความจริงใจ เช่นนั้นก็นำไปบูชาไว้ที่ห้องพระของไท่ฮูหยินเถิด!”
หู่พั่วยิ้มพลางตอบรับแล้วออกไป
จู่ๆ ไท่จื่อเฟยก็มีรับสั่งให้สืออีเหนียงเข้าวัง
สืออีเหนียงตกใจอย่างมาก
คนหนึ่งก็พึ่งจะทำพิธีสรงสามของบุตรสาวไป อีกคนหนึ่งก็พึ่งตั้งครรภ์ได้ไม่นาน…ล้วนไม่ใช่เวลาที่ดีสำหรับพบแขก
“ไม่เป็นไร!” สวีลิ่งอี๋ตบมือสืออีเหนียงเบาๆ “เรื่องในวังข้าจะไปคุยให้ ยกเว้นเพียงเข้าเฝ้าฝ่าบาท ส่วนคนอื่นๆ เจ้าไม่จำเป็นต้องคำนับ”
“หากได้พบกับฮ่องเต้ล่ะเจ้าคะ” สืออีเหนียงเอามือลูบท้องตัวเองโดยไม่รู้ตัว
“เจ้าไม่ได้พบฮ่องเต้หรอก” สวีลิ่งอี๋ยิ้มเจ้าเล่ห์ “ข้าได้ส่งป้ายหยกไปที่กรมพระราชวังแล้วว่าต้องการขอเข้าเฝ้าฮ่องเต้”
สืออีเหนียงจึงได้วางใจแล้วไปแต่งตัว
โชคดีที่เป็นฤดูใบไม้ผลิ หากเป็นฤดูร้อนคงต้องร้อนตายอย่างแน่นอน
ฟังเจี่ยเอ๋อร์กับไท่จื่อประทับอยู่ที่ตำหนักในเป่ยอู่สั่ว ขันทีได้พานางเดินเข้ามาทางประตูเสินอู่ ผ่านประตูเฉิงกวง ผ่านศาลาฝูปี้จนมาถึงตำหนัก ระหว่างทางทุกคนที่ได้พบต่างก็เป็นขันทีและนางในระดับล่าง อย่าว่าแต่คำนับเลย ไม่จำเป็นต้องทักทายเสียด้วยซ้ำ
ตำหนักไม่ใหญ่มากนักตั้งอยู่ทางทิศเหนือหันหน้าไปทางทิศใต้ ด้านในแบ่งเป็นสองห้อง นอกห้องมีขันทีกับนางในยืนอยู่ด้วยสีหน้าเคร่งขรึม ในห้องถูกเก็บกวาดอย่างสะอาดสะอ้าน ประดับด้วยดอกไม้ตามฤดูกาล หากไม่ใช่เพราะรู้ล่วงหน้าก็คงดูไม่ออกว่านี่เป็นสถานที่ที่ฟังเจี่ยเอ๋อร์ใช้อยู่ไฟหลังคลอดลูก
เมื่อเห็นว่าสืออีเหนียงจะคำนับนาง ฟังเจี่ยเอ๋อร์ที่กำลังพิงหมอนอิงก็รีบให้นางในข้างกายไปพยุงสืออีเหนียง “หย่งผิงโหวฮูหยินกำลังตั้งครรภ์อยู่”
นางในผู้นั้นเห็นว่าสืออีเหนียงหลังตรงราวกับต้นหลิวยังไม่ได้มีท่าทีเหมือนคนตั้งครรภ์ จึงรู้ว่าอายุครรภ์ยังน้อย ไม่กล้าประมาท รีบเข้าไปพยุงนางก่อนที่นางจะย่อเข่าคำนับ
“ฮูหยินอย่าได้เกรงใจข้าเลย” ฟังเจี่ยเอ๋อร์ให้ขันทีนำเก้าอี้จิ่นอู้มาวางข้างเตียงตัวเองให้สืออีเหนียงนั่ง แล้วกำชับคนที่ปรนนิบัติในห้องว่า “พวกเจ้าออกไปให้หมด! ข้ามีเรื่องจะคุยกับหย่งผิงโหวฮูหยิน”
ขันทีและนางในตอบรับอย่างพร้อมเพรียง “เพคะ/พ่ะย่ะค่ะ” แล้วเดินเรียงแถวออกไป จากนั้นน้ำตาของฟังเจี่ยเอ๋อร์ก็เอ่อไหลออกมาราวกับเม็ดฝน
“อาหญิงสี่ ข้าเรียกท่านมาเพราะมีเรื่องอยากคุยกับท่าน”
สืออีเหนียงรีบหยิบผ้าเช็ดหน้ามาซับน้ำตาให้นาง “อย่าได้ร้องไห้เลย ตอนนี้ท่านกำลังอยู่ในช่วงอยู่ไฟ!”
ฟังเจี่ยเอ๋อร์พยักหน้า รับผ้าเช็ดหน้ามาซับน้ำตา “ข้าก็รู้ แต่ข้ากลั้นไว้ไม่อยู่”
“เช่นนั้นก็ร้องไห้ออกมาดังๆ เถิด!” สืออีเหนียงช่วยนางจัดผ้าห่ม “เพียงแต่ท่านต้องจำไว้ว่าเมื่อร้องไปแล้ว ต่อไปห้ามร้องไห้อีก”
ฟังเจี่ยเอ๋อร์ประหลาดใจเล็กน้อย จากนั้นขอบตาก็เริ่มแดง ซุกหน้าเข้าไปในอ้อมแขนของสืออีเหนียง ส่งเสียงร่ำไห้เบาๆ อยู่บนไหล่ของนาง
สืออีเหนียงรู้สึกเกร็งเล็กน้อย
ตนเป็นคนมาสองภพชาติ นี่เป็นครั้งแรกในชีวิตที่มีคนที่ใกล้ชิดมาพึ่งพาตนด้วยความไว้ใจเช่นนี้
ผ่านไปพักใหญ่ร่างกายของนางจึงค่อยๆ ผ่อนคลายลง ช่วยลูบหลังฟังเจี่ยเอ๋อร์เบาๆ เพื่อปลอบโยนนางราวกับปลอบเด็กน้อยก็ไม่ปาน