ร้อยรักปักดวงใจ - ตอนที่ 404 ข่าว(กลาง)
สืออีเหนียงไม่ได้ล่วงรู้ความคิดของสวีลิ่งอี๋เลยแม้แต่นิดเดียว
หลังจากวันที่สองเดือนสองก็ได้เรียกฉังจิ่วเหอมาถามเกี่ยวกับเรื่องที่หมู่บ้าน จากนั้นก็เรียกว่านอี้จงมาถามเกี่ยวกับเรื่องสวนผลไม้
เมื่อคุยเรื่องสำคัญเสร็จแล้ว ว่านอี้จงก็พูดขึ้นมาว่า “เจียงปิ่งเจิ้งไปเป็นเถ้าแก่ที่ร้านอื่น หลิวหยวนหรุ่ยและภรรยามักจะช่วยงานอยู่ที่ร้านมงคลสมรส ที่สวนผลไม้นอกเหนือจากงานที่มีในช่วงเก็บเกี่ยวผลผลิตแล้ว ปกติก็ไม่มีอะไรให้ทำ หากฮูหยินเห็นแวว ไม่สู้ให้เอ้อร์เสี่ยนของพวกเราไปช่วยท่านดูแลเรือนดีหรือไม่ขอรับ!”
สืออีเหนียงกำลังกังวลเกี่ยวกับเรื่องนี้อยู่พอดี
เรือนสองหลังที่เป็นสินเดิมค่อนข้างเก่าแล้ว ไม่ได้รับการดูแล ค่อยๆ ทรุดโทรมลงทุกวัน ฤดูหนาวปีที่แล้วหิมะก็ไม่ได้ตกแรงมาก แต่หลังคาของห้องปีกตะวันออกกลับพังลงมา
“เรื่องนี้รอให้ผ่านไปสักสองสามวันก่อนแล้วค่อยว่ากัน” นางยิ้มพลางให้ว่านอี้จงออกไป เมื่อสวีลิ่งอี๋กลับมาก็ปรึกษากับเขา “…อยากจะให้พ่อบ้านไป๋ช่วยขายเรือนที่เป็นสินเดิมสองหลังนั้น แล้วนำเงินมารวมกันซื้อเรือนดีๆ สักหลังหนึ่งเจ้าค่ะ”
สวีลิ่งอี๋ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง “เรือนที่ตรอกจินอวี๋ก็ไม่เลวเลย ในตรอกทั้งกว้างขวางและเงียบสงบ ข้าว่าไม่สู้ขายเรือนหนึ่งไปแล้วนำเงินมาซ่อมแซมเรือนที่อยู่ตรอกจินอวี๋ให้ดี คุ้มค่ากว่าที่จะซื้อใหม่เสียอีก”
ตอนนี้นางเป็นคนสกุลสวีและสกุลหลัว แม้ว่าอยากจะไปพักผ่อนหย่อนใจอยู่ที่เรือนนอกสักสองสามวัน แต่กระนั้นสกุลสวีเองก็มีเรือนนอกอยู่เหมือนกัน ถึงอย่างไรก็คงไม่ได้ไปพักที่ตรอกจินอวี๋ หากไม่พิจารณาถึงเรื่องระยะทาง แน่นอนว่าที่นั่นเป็นสถานที่ที่ดี บวกกับตอนนี้ที่สะใภ้หลิวหยวนหรุ่ยได้ทำงานเพิ่มคือเฝ้าเวรยามที่ร้านมงคลสมรส ทำให้ที่นั่นไม่มีคนไปพัก
“เช่นนั้นพรุ่งนี้ข้าจะไปบอกพ่อบ้านไป๋” สืออีเหนียงยิ้มแล้วพูดต่อว่า “ต้องซ่อมเรือนที่ตรอกจินอวี๋ให้เสร็จก่อนที่จะถึงฤดูร้อน”
สวีลิ่งอี๋พยักหน้า พูดถึงสวีซื่อฉินกับสวีซื่อเจี่ยนสองพี่น้อง “…นับวันดูแล้ว อย่างช้าก็คงจะมาถึงในกลางเดือนสาม ทั้งสองคนก็โตแล้ว ไม่สามารถอาศัยอยู่ในจวนได้ ข้าให้คนเก็บกวาดเรือนหย่วนเซียงที่อยู่เรือนนอกไว้ให้พวกเขาอยู่ และเรียนหนังสือกับอาจารย์จ้าวไปพร้อมกันกับจุนเกอและเจี้ยเกอชั่วคราว”
“จุนเกอพึ่งจะสำเร็จการศึกษาไปขั้นหนึ่ง เจี้ยเกอก็เพียงแค่ตามไปเรียนด้วยเท่านั้น” สืออีเหนียงพูดอย่างลังเลว่า “แต่ฉินเกอกับเจี่ยนเกอไม่เหมือนกัน ทั้งสองคนได้เรียนรู้วรรณกรรมแปดแขนงจากอาจารย์สำนักศึกษาชาติวงศ์ เกรงว่าเรื่องนี้ท่านโหวจะต้องปรึกษากับคุณชายสามให้ดีจึงจะถูก ดูว่าคุณชายสามมีแผนจัดการอย่างไรสำหรับเด็กสองคนนี้ หากเตรียมจะให้สอบจอหงวนแล้วให้เรียนหนังสือกับอาจารย์จ้าวเกรงว่าจะเป็นการเสียเวลา ไม่สู้ตามไปเรียนที่สำนักศึกษาจิ่นสีกับอวี้เกอดีกว่า แต่หากจะให้รับตำแหน่งขุนนางด้วยการสืบทอดตำแหน่งเส้นสาย เช่นนั้นก็ไม่เป็นไร”
“ข้าก็คิดเช่นนั้น” สวีลิ่งอี๋ยิ้มเจื่อนๆ “เพียงแต่ว่าพี่สามยังคงคลุมเครือ ตัดสินใจไม่ชัดเจน ข้าจึงทำได้เพียงจัดการวางแผนให้เด็กๆ ก่อนแล้วค่อยว่ากัน”
ทั้งสองคนพูดคุยกันอยู่นานเกี่ยวกับเรื่องในครอบครัวก่อนที่จะดับไฟแล้วพักผ่อน
ขณะที่กำลังครุ่นคิด บรรยากาศก็เริ่มเป็นใจขึ้นเรื่อยๆ…แต่สืออีเหนียง…กลับไม่รอโดนจู่โจมเหมือนเมื่อก่อน…นางอายจนรู้สึกโกรธ สลัดผ้าห่มออกจะกระโดดลงจากเตียง
สวีลิ่งอี๋โอบกอดนางจากด้านหลัง
“เป็นอะไรไป เหตุใดถึงโมโหขนาดนี้” ยิ้มพลางกอดนางไว้ในอ้อมแขน แล้วเอาใบหน้าแนบกับหน้านางอย่างรักใคร่
สืออีเหนียงเบือนหน้าหนีไม่สนใจเขา
“เอาเถิด” สวีลิ่งอี๋จูบไรผม หน้าผาก แล้วเลื่อนลงมาที่ปากของนาง…เคลื่อนไหวอย่างนุ่มนวล จู่โจมด้วยความระมัดระวัง “อย่าโกรธเลย”
เมื่อเขาให้ทางลง สืออีเหนียงจึงได้รู้สึกดีขึ้นมาเล็กน้อย แต่ก็อดพูดด้วยความหงุดหงิดไม่ได้ “ท่านโหวคิดว่าแกล้งข้าเช่นนี้สนุกมากอย่างนั้นหรือ”
ราวกับเด็กที่น้อยใจ
เมื่อคิดได้เช่นนั้น สวีลิ่งอี๋ก็ใจอ่อนยวบไปหมด
“เด็กโง่” น้ำเสียงอ่อนโยนเต็มไปด้วยความเอ็นดูที่แม้แต่ตัวเองก็คาดไม่ถึง “เพราะชอบเจ้าถึงได้แกล้งเจ้า!”
ราวกับเป็นเรื่องที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน ทั้งสองคนต่างก็ตกใจกับคำพูดนี้
ในห้องพลันเงียบเสียงไปชั่วขณะหนึ่ง จนกระทั่งได้ยินเพียงเสียงลมหายใจ
ท่ามกลางความไม่สบายใจและความอึดอัด สวีลิ่งอี๋คลายอ้อมแขนที่กอดสืออีเหนียง แต่ก็ชะงักไปเพราะกลัวว่าจะดูเย็นชาเกินไป จึงรีบพูดอย่างลำบากใจว่า “นี่ก็ดึกมากแล้ว เจ้าเองก็มีอาการง่วงในฤดูใบไม้ผลิ รีบพักผ่อนเถิด”
ในใจสืออีเหนียงสับสนวุ่นวาย กลัวว่าเขาจะถามคำถามที่ตอบยาก จึงตอบเพียง “เจ้าค่ะ” เบาๆ แล้วรีบหลับตา
ในห้องกลับมาเงียบสงบอีกครั้ง ต่างคนต่างได้ยินลมหายใจแผ่วเบาของกันและกัน
ทั้งสองคนพลิกตัวนอนตะแคงหันหลังใส่กันโดยไม่ได้นัดหมาย
ไม่นานก็รู้สึกถึงลมที่หนาวเหน็บมากระทบหลัง
สืออีเหนียงกำมุมผ้าห่มไว้แน่น นับลูกแกะอยู่ในใจไม่หยุด
…หนึ่งพันสองร้อยแปดสิบสี่…ไม่สิ ควรจะเป็นหนึ่งพันสามร้อยแปดสิบสี่…ไม่สิ ควรจะเป็นหนึ่งพันสองร้อยแปดสิบสี่ ไม่นานมานี้เพิ่งจะนับถึงหนึ่งพันหนึ่งร้อยแปดสิบสี่ ต่อมาควรจะเป็นหนึ่งพันสองร้อยแปดสิบสี่จึงจะถูก…
สมองของนางพลันสับสนไปหมด
ก่อนที่จะตัดสินใจเริ่มนับใหม่
เพิ่งจะนับถึงสี่สิบแปด แผ่นหลังก็รู้สึกอุ่นขึ้น
สวีลิ่งอี๋ขยับเข้ามาใกล้แล้ว!
เมื่อความคิดผ่านเข้ามาในหัว ร่างกายที่แข็งทื่อก็ค่อยๆ อ่อนตัวลง
สืออีเหนียงลืมตาขึ้นมา มองดูถุงหอมอันเลือนรางที่แขวนอยู่นอกมุ้ง ไม่รู้ว่าตัวเองหลับไปตั้งแต่เมื่อไร
******
ไม่กี่วันต่อมา แม้ว่าทั้งสองคนจะยังพูดไปยิ้มไปเหมือนแต่ก่อน แล้วยังปรึกษากันเรื่องที่จะขายเรือนที่เป็นสินเดิมของสืออีเหนียง สั่งซื้อไม้และก้อนอิฐ แล้วยังเชิญผู้เชี่ยวชาญมาช่วยดูให้ เลือกวันที่สิบหกเดือนสี่เป็นวันเริ่มซ่อมแซม พอตกกลางคืนเมื่อทั้งสองนอนพักผ่อนอยู่บนเตียงด้วยกัน ต่างก็รู้สึกอึดอัดจึงพยายามหาหัวข้อสนทนาไปเรื่อยหรือไม่ก็พูดคุยเรื่องที่ช่วงนี้สวีซื่ออวี้เอาแต่อ่านหนังสืออยู่ในห้องมาหลายวัน คิดว่าการสอบในครั้งนี้จะต้องผ่านไปได้อย่างแน่นอน หรือไม่ก็พูดถึงเรื่องที่สวีซื่อฉินกับสวีซื่อเจี่ยนจะกลับมาหากสวีซื่อจุนรู้แล้วจะดีใจแค่ไหน หรือไม่ก็คุยเรื่องที่จะเพิ่มค่าสอนให้อาจารย์จ้าว…เมื่อพูดจนเหนื่อยก็จะหลับไปเอง เมื่อตื่นขึ้นมาในวันรุ่งขึ้น บางทีสืออีเหนียงก็เหวี่ยงหมอนไปไว้ด้านข้างแล้วเอนศีรษะไปหนุนไหล่ของสวีลิ่งอี๋ บางทีสวีลิ่งอี๋ก็นอนตะแคงข้างแล้วเอาแขนวางไว้บนตัวของสืออีเหนียง
ทุกครั้งที่เป็นเช่นนี้ สวีลิ่งอี๋ก็อยากจะพูดหยอกล้อนางเหมือนกับเมื่อก่อน
เพียงแต่ว่าสืออีเหนียงนั้นอ่อนไหวเป็นพิเศษ เพียงแค่เขาขยับนางก็ตื่นแล้ว ถามว่า “ยามไหนแล้ว”จากนั้นก็รีบลุกขึ้นมาอาบน้ำแต่งตัวแล้วไปพูดคุยกับบรรดาอี๋เหนียงและเด็กๆ ที่มาคารวะ จากนั้นก็ปรนนิบัติเขาทานอาหารเช้า ไปคารวะไท่ฮูหยิน แล้วก็ไปห้องโถงใหญ่เพื่อจัดการงานกับบรรดาผู้ดูแล…ไม่มีเวลาได้หยุดพัก แล้วยังส่งว่านเอ้อร์เสี่ยนไปช่วยนางซ่อมแซมเรือนที่อยู่ตรอกจินอวี๋ ช่วยหู่พั่วกับจู๋เซียงออกแบบตำแหน่งของเรือน ไปที่คลังสินเดิมของนางเพื่อเปิดหีบค้นหาเครื่องลายครามและม่านกั้น เรียกสะใภ้จี้ถิงมาถามว่าตรงหน้าประตูเรือนหลักควรจะปลูกต้นกล้วยไม้หยกหรือต้นจื่อเถิงดี...แล้วอู่เหนียงก็ยังส่งเทียบเชิญมาเชิญนางไปทานบะหมี่อายุยืนฉลองวันเกิดซินเกอที่ตรอกซื่อเซี่ยง ช่วงนี้ก็ช่วยเป็นแม่สื่อให้หลานสาวของกานไท่ฮูหยินและอวี๋เฉิงบุตรชายคนโตของซื่อเหนียง ยุ่งจนไม่ได้หยุดได้หย่อน
สวีลิ่งอี๋อดขมวดคิ้วไม่ได้ แต่ก็ไม่ได้พูดอะไร ทุกวันจะไปที่เรือนนอกเพื่อจัดการธุระบางอย่าง บางครั้งก็ออกไปสังสรรค์กับสหายเก่า มีเวลาอยู่เรือนน้อยลงเรื่อยๆ
คนอื่นยังดูไม่ออก แต่หู่พั่วและคนอื่นๆ ที่ปรนนิบัติดูแลอย่างใกล้ชิดล้วนรู้สึกถึงการเปลี่ยนไปของสวีลิ่งอี๋ ทำห้พลอยรู้สึกกังวลเล็กน้อย ทุกวันที่ปรนนิบัติสวีลิ่งอี๋ทานอาหารเช้าก็มีท่าทางตัวสั่นด้วยความหวาดกลัวอยู่บ้าง
สืออีเหนียงมองออก ทันใดนั้นในใจก็รู้สึกไม่ดีขึ้นมา
สิ่งที่เรียกว่า ‘ชอบ’ มันก็แค่เท่านั้นแหละ!
นางก้มหน้าก้มตาทานอาหารเช้าอย่างเงียบๆ คำพูดก็ยิ่งน้อยลงเรื่อยๆ
สวีลิ่งอี๋เห็นสีหน้าของนางหม่นหมอง ตักโจ๊กเข้าปากตั้งนานกว่าจะกลืนลงไป หากตัวเองไม่คุยกับนาง นางก็จะไม่เริ่มพูดคุยก่อนอย่างแน่นอน เหมือนกับว่ากำลังงอนตนอยู่ เมื่อคิดได้ดังนั้นจิตใจที่แข็งกระด้างก็ได้อ่อนลง พลันรู้สึกว่าตัวเองใจแคบเล็กน้อย
สวีลิ่งอี๋แอบถอนหายใจอยู่ในใจ เขาเอาจานยำแตงกวาสดไปวางไว้ตรงหน้านาง “ปกติชอบทานมากที่สุดไม่ใช่หรือ เหตุใดวันนี้เจ้าไม่เห็นแตะเลย”
สืออีเหนียงเงยหน้าขึ้นด้วยความประหลาดใจ ก็เห็นสีหน้าที่หมดปัญญาของสวีลิ่งอี๋แฝงไว้ด้วยรอยยิ้ม
“รีบทานเถิด!” สวีลิ่งอี๋ช่วยนางคีบแตงกวาไปวางไว้ในจานเล็ก “อีกสักครู่ยังจะต้องไปคารวะท่านแม่อีก”
สืออีเหนียงแอบรู้สึกดีอยู่ในใจ ตอบเพียงแค่ “เจ้าค่ะ” เบาๆ จากนั้นก็คีบแตงกวาใส่ปาก
แตงกวานั้นสดใหม่ เมื่อคลุกกับน้ำส้มสายชูทำให้ทั้งเปรี้ยวทั้งหวาน ทานแล้วจึงรู้สึกสดชื่น นางทานติดต่อกันอีกหลายชิ้น
สวีลิ่งอี๋ยิ้มพลางส่ายหน้า
จากนั้นก็มีสาวใช้น้อยเข้ามารายงานว่า “ท่านโหว ฮูหยิน ผู้ดูแลจ้าวที่อยู่เรือนนอกให้บ่าวรับใช้มาถามว่างานเลี้ยงฤดูใบไม้ผลิในวันที่สามเดือนสามปีนี้จะยังคงจัดตามรายการงานเลี้ยงของปีที่แล้วหรือไม่เจ้าคะ”
เหมือนมาเร่งสืออีเหนียงอ้อมๆ
สืออีเหนียงใบหน้าร้อนผ่าว
หลายวันมานี้เอาแต่เป็นแม่สื่อให้อวี๋เฉิงจนลืมเรื่องนี้ไปเสียได้
สืออีเหนียงรีบลุกขึ้นยืน “ข้าจะเอารายการงานเลี้ยงให้เขาประเดี๋ยวนี้!” ยังไม่ทันพูดจบก็รู้สึกเวียนศีรษะไปหมด จากนั้นสายตาก็เริ่มพร่ามัว
“เป็นอะไรไป!” สวีลิ่งอี๋ที่นั่งอยู่ตรงข้ามสืออีเหนียงเห็นว่านางพยุงตัวเองไม่อยู่ สีหน้าพลันซีดขาวราวกับกระดาษก็ไม่ปาน มือคว้าไปจับโต๊ะบนเตียงเตาเพื่อพยุงตัวเอง รู้ว่านางไม่สบายจึงรีบลุกมาช่วยพยุงนาง
สืออีเหนียงหลับตาลง ผ่านไปครู่ใหญ่กว่านางจะค่อยๆ ลืมตาขึ้น
“ไม่เป็นอะไรเจ้าค่ะ” นางเผยให้เห็นรอยยิ้มอันซีดเซียว “อาจจะเป็นเพราะรีบลุกเร็วเกินไป!”
สวีลิ่งอี๋รู้สึกใจหาย
ต้องเป็นคนที่อ่อนแอมากๆ ถึงจะรู้สึกไม่สบายตัวเวลาลุกขึ้นเร็ว นึกขึ้นได้ว่านางกำลังงอนตัวเองอยู่ แต่ก็สนใจอะไรมากไม่ได้จึงรีบอุ้มสืออีเหนียงขึ้นมา
สืออีเหนียงร้องด้วยความตกใจ จากนั้นก็มีอาการเวียนหัวขึ้นอีกครั้ง รู้สึกว่าร่างกายจู่ๆ ก็ไม่มีแรง จึงกอดคอเขาไว้แล้วซุกอยู่ในอ้อมแขนของเขา
บ่าวรับใช้ในเรือนรีบพากันทยอยออกไป
“สืออีเหนียง สืออีเหนียง” สวีลิ่งอี๋ใจตื่นตระหนกเล็กน้อย สืออีเหนียงเป็นคนขี้อาย หากเป็นปกติคงไม่ยอมซุกอยู่ในอ้อมแขนของตัวเองแน่นอน ในตอนนี้เกรงว่านางจะรู้สึกไม่สบายเป็นอย่างมาก “เจ้าไม่สบายตรงไหน”ไม่รอให้สืออีเหนียงได้ตอบก็ตะโกนเรียกหู่พั่ว “รีบไปเอาโสมมา!” แล้วหันไปกำชับลี่ว์อวิ๋นว่า “รีบไปเชิญหมอมาเร็วเข้า!” จากนั้นก็ค่อยๆ วางสืออีเหนียงลงบนเตียงอย่างระมัดระวัง เอามือไปอังที่หน้าผากแล้วถามนางอย่างอ่อนโยน “เจ้าไม่สบายตรงไหน”
ไม่สบายไปทั้งตัว
สืออีเหนียงนอนบนเตียงอย่างไร้เรี่ยวแรง ไม่ได้ตอบคำถามของเขาแต่กลับพูดขึ้นมาว่า “ท่านโหว ท่านให้เยี่ยนหรงเข้ามาช่วยข้าถอดเสื้อกั๊กที”
สวีลิ่งอี๋ทั้งโมโหทั้งรู้สึกขบขันในคราวเดียวกัน “เวลานี้แล้วเจ้ายังจะมัวเขินอายอยู่อีก” พูดพลางช่วยถอดเสื้อกั๊กให้นางแล้วห่มผ้าห่มบางๆ ให้
หู่พั่วนำโสมเข้ามา
สวีลิ่งอี๋พยุงสืออีเหนียงขึ้นมา “เจ้าอมโสมไว้ก่อน อีกสักครู่เมื่อหมอหลวงมาแล้วก็จะดีขึ้น!”
สืออีเหนียงพยักหน้า อมโสมไว้ในปาก ยังไม่ทันได้นอนลงก็ผลักสวีลิ่งอี๋ออกแล้วหมอบตัวอาเจียนอยู่ข้างเตียง