ร้อยรักปักดวงใจ - ตอนที่ 38 งานเลี้ยง (ปลาย)
สืออีเหนียงฟังคำพูดที่เป็นนัยพวกนั้น
สวีลิ่งควนคุณชายห้าสกุลสวีปีนี้อายุแค่สิบแปด รับตำแหน่งเป็นหัวหน้าค่ายเทียนเซ่อของกองทัพทหารอวี้หลิน เป็นขุนนนางระดับสี่ สามปีก่อนแต่งงานกับบุตรสาวคนเอกของซุนคัง ติ้งหนานโหว นายหญิงใหญ่บอกว่า สวีลิ่งควนคือคนที่ไม่มีความรู้ไม่มีความสามารถ อาศัยอำนาจของของบรรพบุรุษเป็นแค่ลูกเศรษฐีที่รู้จักแต่ล่าสัตว์…
หรือว่าเฉียวฮูหยินกำลังพูดถึงสวีลิ่งควน?
ไท่ฮูหยินแค่ยิ้มแต่ก็ไม่พูดอะไร พาทุกคนเข้าไปในโถงบุปผา
ในโถงบุปผามีเตาผิง ทำไห้มันอบอุ่นราวกับฤดูใบไม้ผลิ บนโต๊ะทางทิศตะวันตกของโถงบุปผา สาวใช้และเหล่าป้าๆ ล้วนแต่จัดเตรียมชามและตะเกียบไว้เรียบร้อยแล้ว พวกนางยืนยู่ข้างๆ อย่างเคร่งขรึม
ฮูหยินสามทักทายทุกคนอย่างเป็นกันเองแล้วนั่งลง
หลังจากโยนกันไปโยนกันมาแล้วสักครู่ ไท่ฮูหยิน นายหญิงใหญ่ เฉียวฮูหยินและฮูหยินสามนั่งโต๊ะหนึ่ง
คุณนายใหญ่หลัว อู่เหนียง คุณหนูหกสกุลเฉียวและสืออีเหนียงนั่งอีกโต๊ะหนึ่ง
เหวินอี๋เหนียงกลับไปอยู่ข้างนอกโถง
สาวใช้พากันนำน้ำแช่ดอกกุ้ยฮวามาให้ทุกคนล้างมือ จากนั้นสาวใช้ก็นำชาเหลืองเข็มเงินจวินซานให้ไท่ฮูหยิน ยกชาเมฆหมอกเขาหลูซานมาให้โต๊ะคุณนายใหญ่สกุลหลัว จากนั้นก็ยกอาหารร้อน อาหารเย็นและหม้อไฟ…มาอย่างไม่ขาดสาย
ฮูหยินสามรินเหล้าจินหวาให้ไท่ฮูหยินและนายหญิงใหญ่อยู่ข้างๆ
ไท่ฮูหยินพูดกับนายหญิงใหญ่อย่างสุภาพว่า“อาหารธรรมดาๆ นายหญิงใหญ่อย่าได้รังเกียจ” จากนั้นก็ยกจอกเหล้าขึ้นมาเคารพทุกคน
นายหญิงใหญ่และเฉียวฮูหยินเคารพตอบ
งานเลี้ยงก็เริ่มขึ้นอย่างเป็นทางการ
ถึงแม้ว่าอาหารที่อยู่บนโต๊ะสืออีเหนียงจะมีตั้งมากมาย แต่ใครจะกล้าจ้องไปไกลๆ สาวใช้ที่จัดอาหารอยู่ข้างๆ จะเป็นคนคอยยื่นตะเกียบยาวๆ ออกไปคีบมาให้ ทำให้คนรู้สึกตะกละตะกลาม…ดังนั้นทุกคนจึงกินอาหารที่อยู่ตรงหน้าของตัวเองอย่างเป็นระเบียบ
ไท่ฮูหยินบอกว่าตัวเองสุขภาพไม่ค่อยดี ดื่มเหล้าไปอีกจอกหนึ่งแล้วก็วางจอกลงไม่ดื่มอีกแล้ว นางมีฮูหยินสามอยู่เป็นเพื่อน ถึงแม้ว่าไท่ฮูหยินดูแล้วเหมือนจะอายุพอๆ กับนายหญิงใหญ่ แต่ความจริงนางอายุหกสิบกว่าแล้ว ทุกคนไม่กล้าเชิญชวนให้นางดื่มอีก นายหญิงใหญ่มองเฉียวฮูหยินไม่คาดสายตา ดื่มเหล้าเข้าไปสองสามจอก เฉียวฮูหยินหน้าแดงแล้ว แต่สีหน้าของนายหญิงใหญ่ยังคงเหมือนเดิม
คิดไม่ถึงว่านายหญิงใหญ่จะคอแข็งขนาดนี้!
สืออีเหนียงนั่งดูความสนุกอยู่ข้างๆ
ผ่านไปครู่หนึ่ง เฉียวฮูหยินก็พูดจาไม่คล่องแคล่วเหมือนเดิมแล้ว
ไท่ฮูหยินเห็นว่าสถานการณ์ผิดปกติ นางขยิบตาให้ฮูหยินสามครั้งแล้วครั้งเล่า ฮูหยินสามหยิบจอกเหล้าขึ้นมากำลังจะดื่มแทนเฉียวฮูหยิน นายหญิงใหญ่ก็ไม่อยากก่อเรื่องอะไรในงานเลี้ยง นางถึงได้หยุดดื่ม
หลังจากกินอาหารเสร็จก็เย็นแล้ว ทุกคนพากันย้ายไปดื่มชาที่ห้องทางทิศตะวันตก
หรือเพราะว่าดื่มเหล้ามากเกินไป เฉียวฮูหยินพูดมากเป็นพิเศษ
“…คนที่ได้เป็นญาติกับท่านล้วนแต่เป็นคนที่มีวาสนา ไม่ต้องพูดถึงเรื่องอื่น แค่สกุลซุน หากไม่ใช่เพราะว่ามีท่านเป็นแม่สามี บุตรสาวที่แต่งเข้ามาของนางจะอยู่จวนสามีครึ่งเดือน อยู่จวนตัวเองครึ่งเดือนได้เช่นไรกัน”
ไท่ฮูหยินหัวเราะ เห็นว่าสีหน้าของนายหญิงใหญ่เต็มไปด้วยคำถาม นางจึงอธิบายว่า “ติ้งหนานโหวมีบุตรสาวแค่คนเดียว แต่งงานกับสกุลข้าก็เพราะว่าเห็นว่าบุตรชายของสกุลข้าเยอะ ต่อไปอยากให้บุตรชาย บุตรสาว ลูกสะใภ้ได้กลับไปที่จวนของตัวเองบ่อยๆ ข้าก็เป็นคนมีบุตรสาวบุตรชาย เข้าใจหัวอกของคนเป็นพ่อเป็นแม่ จึงให้พวกเขาอยู่ที่จวนครึ่งเดือน ไปอยู่ที่จวนติ้งหนานโหวในตรอกหงเติงอีกครึ่งเดือน ทั้งสองจวนแค่อยากได้ความสนุก ท่านมาได้ไม่บังเอิญเลย พอดีเป็นช่วงครึ่งเดือนหลัง พวกเขาจึงยังอยู่ที่จวนติ้งหนานโหว รอให้พวกเขากลับมา ข้าจะบอกให้พวกเขาไปคารวะท่าน!”
“ไม่กล้า ไม่กล้าเจ้าค่ะ” นายหญิงใหญ่รีบพูดขึ้นมา “ฮ่องเต้คนก่อนแต่งตั้งฮูหยินห้าเป็นตานหยางเสี่ยนจู่ [1]ฐานะสูงส่ง จะให้นางมาคารวะข้าได้เช่นไรเจ้าคะ!”
น้องสาวของติ้งหนานโหวเป็นสนมที่ได้รับความโปรดปรานจากฮ่องเต้คนก่อน ไม่มีลูกไม่มีหลาน ตอนที่มีชีวิตอยู่มักจะเรียกสกุลซุนเข้ามาอยู่เป็นเพื่อนในพระราชวัง ฮ่องเต้คนก่อนเห็นแล้วก็ชอบใจ แต่ตั้งนางเป็นตานหยางเสี่ยนจู่ มีหน้ามีตาในบรรดาสกุลขุนนาง
“นายหญิงใหญ่เกรงใจเกินไปแล้วเจ้าค่ะ” เฉียวฮูหยินยิ้ม “แม้แต่ฮ่องเต้ยังมีญาติพี่น้องที่ยากจน พวกข้าก็เช่นกัน จวิ้นจู่[2]ของเราเป็นสตรีที่เพียบพร้อมด้วยคุณธรรม ตั้งแต่แต่งเข้ามาอยู่ที่จวนสกุลสวี นางไม่ให้ใครเรียกนางว่าจวิ้นจู่อีกต่อไป มีน้ำใจกับญาติพี่น้องและมิตรสหายมาตลอด ทุกคนต่างชื่นชอบนาง…”
นายหญิงใหญ่ได้ยินนางพูดเรื่อยเปื่อยเรื่อยๆ ในใจนางก็โมโห แต่เป็นแขกของไท่ฮูหยินทำอะไรไม่ได้ นางจึงทำได้แค่ยิ้มแห้งในใจ
กบในกะลา ไม่รู้จักเจียมตัวจริงๆ ต้าโจวก่อตั้งมานานกว่าร้อยปี คำที่ว่าคนที่มีความดีความชอบในการก่อตั้งประเทศชาติ สมัยฮ่องเต้ไท่จงเขาอ้างคดีเจิ้งอันอ๋องก่อกบฏ ฆ่าบ้าง ปลดตำแหน่งบ้าง ยึดบรรดาศักดิ์บ้าง แจกจ่ายและขายทรัพย์สมบัติของหล่าสกุลขุนนาง สกุลที่หลงเหลืออยู่สองสามสกุลก็ใช้ชีวิตราวกับสุนัขที่ขาดที่พึ่ง กว่าจะมาถึงสมัยฮ่องเต้เซี่ยวจง ถึงแม้ว่าบ้างสกุลจะกลับมารับบรรดาศักดิ์ แต่ก็ราวกับนกตื่นธนู แต่ขอแค่ให้มีชีวิตอยู่รอด พวกขาไม่กล้ามีส่วนร่วมในเรื่องของราชสำนัก ร้อยกว่าปีต่อมา ส่วนใหญ่ล้วนแต่เป็นคนนอกแข็งนอกอ่อนใน พึ่งพาที่ดินทำกินของบรรพบุรุษ ลูกหลานที่ได้เป็นขุนนางอย่างพวกนาง ทำไรทำนาทำกิจการ ถึงขั้นใช้เงินของกรมพระราชวังมาทำกิจการ…หากไม่ใช่เพราะว่าเฉิงกั๋วกงทำเงินบางส่วนตอนที่อยู่ที่ซีเป่ย สกุลเฉียวก็เป็นแค่หนึ่งในนั้น ยังกล้ามาคุยโม้โอ้อวดต่อหน้านาง…
นางยิ่งคิดสีหน้าก็ยิ่งดูแย่
ไท่ฮูหยินมองออกอย่างชัดเจน นางถอนหายใจในใจ ยิ้มแล้วยืนขึ้นมา “ไปดูโรงงิ้วที่สร้างใหม่ดีกว่า จะได้ย่อยไปด้วย!”
นายหญิงใหญ่รู้ว่าไท่ฮูหยินกำลังช่วยนาง นางเหลือบไปมองไท่ฮูหยินด้วยความซาบซึ้ง พวกนางพากันไปที่โรงงิ้วที่สร้างใหม่
โรงงิ้วเล็กๆ มีสองห้อง ผนังสีขาวและกระเบื้องสีเทา ชายคาทั้งสี่มุมสูงราวกับนกนางแอ่นที่กำลังโบยบิน ผนังของโรงถูกวาดเต็มไปด้วยดอกโบตั๋นขนาดใหญ่ งดงามยิ่งนัก ข้างหลังโรงเป็นห้องที่มีเจ็ดห้องเล็ก ข้างซ้ายเป็นเล็กสามห้อง ข้างขวาเป็นห้องโถงสามารถเดินทะลุได้ ฝั่งตรงข้ามเป็นห้องหลักเจ็ดห้อง ทั้งสี่ด้านเป็นหลังคาจั่วสันโค้ง
ฮูหยินสามยิ้มและพูดว่า “เป็นความคิดของคุณชายห้าเจ้าค่ะ ฤดูร้อนแขวนไว้บนชายคา ดูงิ้วไปด้วยลมพัดไปด้วย ลมพัดช้าๆ เย็นสบาย ฤดูหนาวฮูหยินสามารถเอาม่านมาแขวนแล้วจุดถาดไฟ เผามันเผาถั่ว เล่นกันสนุกสนานและอิสระ…”
คุณหญิงใหญ่สกุลหลัวชื่นชมซ้ำแล้วซ้ำเล่า“ช่างเป็นความคิดที่เยี่ยมจริงๆ”
ทุกคนก็ยังบอกอีกว่า “ใช่เจ้าค่ะ”
สายตาของอู่เหนียงมีความอิจฉา คุณหนูหกตะกูลเฉียวหัวเราะเบาๆ แต่สืออีเหนียงกลับเอาแต่สังเกตของตกแต่งรอบๆ อย่างระมัดระวัง
ประตู ราวบันไดและหน้าต่างล้วนแต่ทำจากเหล็กสีทอง แกะสลักลายดอกไม้บ้าง ลายนกลายสัตว์บ้าง ลายเด็กบ้าง ลายวัตถุโบราณบ้าง แตกต่างจากลายค้างคาวห้าตัวหรือตัวอักษรมงคลที่ใช้กันทั่วไป ในความครึกครื้นมีความเคร่งขรึม ดูออกว่าใช้ความพยายามไปไม่น้อย
ไท่ฮูหยินหัวเราะเบาๆ “เพื่อสร้างโรงงิ้วนี้ขึ้นมา ไม่รู้ใช้เวลาไปตั้งเท่าใด” จากนั้นนางก็ชี้ไปห้องข้างหลังที่มีเจ็ดห้อง “แค่สร้างห้องพวกนี้ ก็สร้างไปถึงสวนดอกไม้แล้ว” ชี้ไปที่ห้องโถง “รื้อห้องหนังสือของคุณชายสี่ไปครึ่งหนึ่ง ดีที่คุณชายสี่ไม่ใช่คนอารณ์ร้อน หากเจอกับท่านโหวเข้าให้ เกรงว่าเขาคงจะต้องถูกตำหนิแน่ๆ”
เฉียวฮูหยินพูดว่า “อืม” แล้วก็หันหน้ามา “หากที่นี่เล่นงิ้วขึ้นมา มันจะไม่รบกวนท่านโหวหรือเจ้าคะ”
“รบกวนอะไรกัน!” ไท่ฮูหยินยิ้ม “เข้าย้ายไปตั้งนานแล้ว ตั้งแต่คุณชายห้าแต่งภรรยาเขาก็ย้ายไปแล้ว ย้ายไปอยู่ที่เรือนปั้นเย่ว์พั่นหลังสวนดอกไม้ ไม่เช่นนั้น คุณชายห้ากล้าแค่ไหนเขาก็ไม่กล้ามาสร้างโรงงิ้วขึ้นที่นี่แน่นอน”
ทุกคนต่างพากันหัวเราะ
ไท่ฮูหยินพาพวกนางเดินเข้าไปในห้องโถง
ข้างในเป็นลานเล็กๆ มีแค่ห้องหลักห้องที่อยู่ทางทิศใต้หันไปทางทิศเหนือ ผนังสีขาวปูด้วยกระเบื้องและเสาสีดำ ติดกระดาษสีข้าวที่หน้าต่าง กลางลานมีหินไท่หูสองสามก้อน ด้านซ้ายปลูกต้นไผ่เรียวยาวสองสามต้น ด้านขาวปลูกต้นกล้วยน้ำว้าสองสามต้น เงียบสงบและสง่างาม
นายหญิงใหญ่ชื่นชม “เป็นสถานที่ที่ดี”
“ใช่แล้ว” ไท่ฮูหยินยิ้มและหันไปมองฮูหยินสาม “หากไม่ใช่เพราะว่าคุณชายสามห้ามเอาไว้ บอกว่า หากมีแขกผู้มีเกียรติมาก็สามารถมาพักผ่อนที่นี่ คุณชายห้าก็คงจะรื้อมันไปตั้งนานแล้ว”
ฮูหยินสามปิดปากยิ้ม “นายท่านของเราเห็นว่าสีหน้าของท่านโหวซีดเซียว เขาจึงห้ามเอาไว้”
พวกนางหัวเราะเดินออกมาจากลาน ออกมาจากห้องข้างหลังโรงงิ้ว เดินไปตามทางเดินที่ปูด้วยหินสีฟ้า ด้านซ้ายของทางเดินเป็นกำแพงที่มีหน้าต่าง เป็นหน้าต่างกลมหน้าต่างสี่เหลี่ยม สามารถมองเห็นภูเขาหินแปลกๆ ในสวนดอกไม้ ระหว่างทางที่เดินมา มันมีกลิ่นอายทิวทัศน์ของสวนที่เจียงหนาน
เฉียวฮูหยินยิ้มและพูดว่า “คุณชายห้าตั้งใจทำจริงๆ แม้แต่กำแพงก็เปลี่ยนแล้ว”
ไท่ฮูหยินหัวเราะ ชี้ไปที่กิ่งก้านสีเขียวสองสามกิ่งที่ยื่นออกมาจากกำแพงสีขาวที่อยู่ไม่ไกลทางขวา “นั่นคือเรือนของคุณชายห้า”
สืออีเหนียงมองออกไป เห็นบันไดห้าขั้นและสาวใช้ตัวน้อยสองสามคนกำลังขว้างถุงทรายอยู่ที่นั่น
เห็นไท่ฮูหยินเดินเข้ามา พวกนางก็พากันเดินเข้ามาคำนับไท่ฮูหยิน หญิงอายุราวห้าสิบกว่าที่สวมเสื้อกั๊กยาวลายดอกสีขาวหยิบลูกอมออกมาจากถุงผ้าให้พวกนาง สาวใช้ตัวน้อยก็พากันยิ้มแย้มแล้ววิ่งออกไป ไท่ฮูหยินชี้ไปยังกำแพงสีขาวที่อยู่ด้านหน้าอีกครั้งแล้วพูดว่า “นั่นคือเรือนของหยวนเหนียง”
มีหน่อไม้โผล่ออกมาจากกำแพง
ฮูหยินสามยิ้มและชี้ไปที่กำแพงสีขาวที่สุดทางเดิน “ข้าอยู่ที่นั่น!”
ข้างหลังเรือนของไท่ฮูหยินคือโถงบุปผา ข้างๆ โถงบุปผาคือเรือนของสวีลิ่งควน ข้างๆ เรือนของสวีลิ่งควนคือเรือนของสวีลิ่งอี๋ ถัดไปอีกคือเรือนของสวีหลิ่งหนิง…สกุลสวียังมีลูกสะใภ้ที่เป็นม่าย แต่ไม่รู้ว่าไปอยู่ที่ไหน
สืออีเหนียงครุ่นคิด เดินตามไปที่เรือนของหยวนเหนียง ที่กำแพงมีประตูก่วงเลี่ยงบานใหญ่หนึ่งบาน ประตูหลักและประตูด้านซ้ายปิดอย่างแน่นหนา เปิดประตูด้านขวาเอาไว้ ป้าสองคนกำลังนั่งพูดคุยกันอยู่บนม้านั่งยาวหน้าประตู เห็นไท่ฮูหยินเดินเข้ามาพวกนางก็รีบวิ่งเข้ามาคารวะทันที
ไท่ฮูหยินพูดคุยกับพวกนางสองคนอย่างเป็นกันเองสองสามประโยค ชี้ไปที่ประตูก่วงเลี่ยงแล้วพูดกับนายหญิงใหญ่ว่า “เดินเข้าไปทางนี้ก็คือสวนดอกไม้ข้างหลังจวน”
นายหญิงใหญ่พยักหน้า
ฮูหยินสามยิ้มและพูดว่า “เดินมาสักพักแล้ว ไม่สู้ไปดื่มชาที่เรือนสักหน่อย!”
ไท่ฮูหยินมองไปที่นายหญิงใหญ่ นายหญิงใหญ่กลัวว่าไท่ฮูหยินจะเหนื่อย นางจึงยิ้มแล้วพูดว่า “ดีเลย!”
พวกนางเดินไปทางกำแพงสีขาวที่ฮูหยินสามชี้เมื่อครู่ เดินไปถึงเรือนของฮูหยินสาม
เรือนของฮูหยินสามมีห้าห้องสี่ทางเข้า ใหญ่กว่าจวนของสกุลหลัวในตรอกกงเสียนเสียอีก กำแพงสีขาวและกระเบื้องสีเทา ประตูประตูหรูอี้สีดำ ห้องที่อยู่ตรงข้ามกับเรือนหลังถูกแยกออกเป็นห้องหนังสือและโถงบุปผา หันหน้าไปทางห้องโถง เดินเข้าไปในห้องโถง เดินไปตามทางเดินที่ปูด้วยอิฐสีลายตัวอักษรเลขสิบ ปลูกต้นกล้วยน้ำว้าและต้นบ๊วย มีชั้นวางดอกไม้ เรือนหลักสามห้องมีห้องข้างๆ ทางเดินเชื่อมต่อกับห้องฝั่งตะวันออกและฝั่งตะวันตก ซึ่งเป็นห้องของสวีซื่อฉินและสวีซื่อเจี่ยนหลานชายคนโตของสกุลสวี ทางเข้าที่สามเป็นเรือนของสวีลิ่งหนิงและภรรยา ในลานปลูกต้นดอกมณฑาขาวและต้นสน ทางเข้าที่สี่คือเรือนข้างหลัง
พวกนางดื่มชาอยู่ที่เรือนของฮูหยินสาม
ชาสีทองอ่อนๆ ที่สดใส มีใบชาสีเขียวประดับประดา มีกลิ่นหอมของดอกกุ้ยฮวาลอยมา
สืออีเหนียงตกใจ
นางค่อยๆ จิบ
ชาหลงจิ่งที่มีกลิ่นหอมของเต้าฮวยและดอกกุ้ยฮวาที่เป็นเอกลักษณ์หอมหวานผสมผสานเข้าด้วยกัน กลมกล่อมและชุ่มชื้น ดื่มไปแล้วทิ้งความกลิ่นหอมไว้ในปาก
มันคือชาดอกกุ้ยฮวา
ถึงแม้ว่ารสชาติจะเป็นเอกลักษณ์ แต่นางค่อยไม่ชอบสักเท่าไหร่
สืออีเหนียงชอบชาสด มันมีลักษณะเฉพาะของตัวเอง หากมีอย่างอื่นเข้ามาผสมผสาน นางมักจะรู้สึกว่ามันมันขาดความบริสุทธิ์ดั้งเดิมไป
นางครุ่นคิด แต่กลับมีคนชมขึ้นมาว่า “เป็นชาชั้นดีจริงๆ!”
สืออีเหนียงมองไปตามเสียง คนที่พูดคือคุณหนูหกสกุลเฉียว
“นี่คือชาดอกไม้ที่หอหลิงซิ่วทำขึ้นมาใหม่ปีนี้!” นางหรี่ตาลงแล้วทำท่าทางพึงพอใจ
ฮูหยินสามยิ้มและพูดว่า “น้องหญิงช่างสง่างามเสียจริง แต่ว่า นี่ไม่ใช่ชาของหอหลิงซิ่วโหลว มันคือดอกของต้นกุ้ยฮวาหมื่นปีในสวนดอกไม้ที่พี่สะใภ้เซี่ยงเป็นคนไปเก็บมาเองในช่วงฤดูใบไม้ร่วงปีที่แล้ว”
[1]เสี่ยนจู่ ตำแหน่งท่านหญิง
[2]จวิ้นจู่ ตำแหน่งองค์หญิงหรือท่านหญิง ขึ้นอยู่กับการสืบสายเลือดทางบิดากับองค์ฮ่องเต้ปัจจุบัน เป็นตำแหน่งเชื้อพระวงศ์หญิงลำดับที่ 3 ผู้ที่ได้รับตำแหน่งนี้ต้องเป็นพระธิดาในชินอ๋องกับพระชายาเอก หรือองค์ฮ่องเต้ทรงแต่งตั้งยศให้