ร้อยรักปักดวงใจ - ตอนที่ 333 ยอมรับ(ต้น)
ไท่ฮูหยินดูเสร็จก็ยื่นกระดาษให้สวีลิ่งอี๋ มองไปที่สืออีเหนียงแล้วพูดว่า “ในเมื่อพวกเจ้าคิดไว้แล้ว เช่นนั้นก็ตัดสินใจเองเถิด”
สวีลิ่งอี๋และสืออีเหนียงตอบรับ “ขอรับ/เจ้าค่ะ” พูดคุยกับไท่ฮูหยินสองสามประโยค เห็นว่าดึกแล้วจึงขอตัวลา
แสงพระจันทร์ข้างนอกสว่างไสว กลิ่นหอมของดอกไม้อบอวลไปทั่ว พลอยทำให้ผู้คนรู้สึกผ่อนคลาย
สวีลิ่งอี๋และสืออีเหนียงเดินอยู่บนทางเดินในสวนดอกไม้ช้าๆ ได้ยินเสียงแมลงฤดูร้อนร้องเป็นครั้งคราว ทำให้พวกเขารู้สึกสงบและสบายใจ ถึงแม้ว่าพวกเขามีอะไรอยากจะพูดตั้งมากมาย แต่กลับไม่อยากรบกวนความเงียบสงบในตอนนี้ จึงเลือกที่จะเงียบไม่ปริปาก แต่บรรยากาศกลับไม่อึดอัด สงบมากขึ้นไม่น้อย
เดินเข้ามาในประตูสวนหลังจวน หากเดินไปทางทิศเหนือคือเรือนปั้นเย่ว์พั่น หากเดินไปทางทิศตะวันออกคือเรือนศาลาริมน้ำฉุยหลุน
ตรงทางแยก สวีลิ่งอี๋หยุดเดิน พวกเขาทำสีหน้าลังเลอยู่ชั่วครู่
เขาพาผู้ติดตามแค่สองสามคนควบม้ากลับมาเยี่ยนจิง เพราะว่าเดินทางทั้งวันทั้งคืน ทำให้ม้าหมดแรงไปหลายตัว แต่ม้าของสถานีส่งสารไม่ดีเท่าม้าที่เขาพามาด้วย ดังนั้นเมื่อเขาเห็นม้าที่แข็งแรงสองสามตัวกำลังลากรถม้าที่หรูหราและลากเกวียนขนหีบเดินอยู่บนถนนช้าๆ ราวกับออกไปทัศนศึกษา เขาจึงอยากได้ม้าที่ลากรถม้าคันนั้น ตอนนั้นบอกให้ผู้ติดตามนำตั๋วเงินสองสามร้อยไปซื้อม้ามา แต่ใครจะรู้ว่าฝั่งตรงข้ามไม่ยอม ไม่เพียงแต่พูดจาเยาะเย้ย แล้วยังนำถุงทองคำออกมา บอกว่าจะซื้อม้าของเขากลับ
เขาไม่เคยกลัวคนที่มาหยิ่งยโสต่อหน้าตน
นำตั๋วเงินทิ้งแล้วก็ทิ้งม้าไว้
แต่บ่าวรับใช้ผู้คุ้มกันของอีกฝ่ายกลับมาขวางทางเอาไว้ แน่นอนว่าคนพวกนั้นไม่ใช่คู่ต่อสู้ของผู้ติดตามของเขา ใช้แรงแค่ไม่เท่าไรก็จัดการคู่ต่อสู้ได้อย่างราบเรียบ คนบังคับม้าตกใจจนจะควบม้าหนี แต่เพราะว่าผู้ติดตามของสวีลิ่งอี๋กำลังแกะบังเหียนม้า…รถม้าจึงพลิกคว่ำ แล้วยังทำให้เท้าของชีเหนียงพลิก รักษาตัวอยู่บนรถม้าตั้งสี่ห้าวันกว่าจะหาย
เกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้น ก็ไม่ยากที่จะเข้าใจว่าทำไมชีเหนียงต้องทำให้เขาลำบากใจ!
ดังนั้นเขาจึงไม่ถามว่าวันนี้ชีเหนียงจะนอนที่เรือนศาลาริมน้ำฉุยหลุนหรือไม่
เขาก็มีศักดิ์ศรีเป็นของตัวเอง
ไม่อยากหลบไปนอนที่เรือนปั้นเย่ว์พั่นเพียงเพราะชีเหนียงจะนอนที่เรือนศาลาริมน้ำฉุยหลุน แต่หากนางนอนที่เรือนท่าเรือหลิวฟัง ตัวเองก็ได้นอนที่เรือนศาลาริมน้ำฉุยหลุน
แต่ถึงอย่างไรเขาก็ไม่อยากจากบรรยากาศที่ทำให้เขารู้สึกสบายใจราวกับสายลมฤดูใบไม้ผลิเช่นนี้ไป…
หากสวีลิ่งอี๋อยากจะกลับไปเรือนศาลาริมน้ำฉุยหลุนกับนาง เขาจะต้องเดินไปกับนาง แต่ตอนนี้เขากลับหยุดอยู่ที่นี่ แน่นอนว่าเขาอยากจะกลับไปเรือนปั้นเย่ว์พั่น?
สืออีเหนียงครุ่นคิด
เขาจะกลับไปจัดการเรื่องอะไรที่เรือนปั้นเย่ว์พั่น หรือกังวลว่าวันนี้ชีเหนียงจะนอนที่เรือนศาลาริมน้ำฉุยหลุนกันแน่?
ให้นางบอกสวีลิ่งอี๋ว่าคืนนี้ชีเหนียงนอนที่เรือนท่าเรือหลิวฟัง…เช่นนั้นก็หมายความว่านางเชิญเขามานอนด้วย ถึงแม้ว่าจะมีชีวิตมาแล้วสองชั่วอายุคน นางก็ไม่มีทางพูดออกไปแน่
นางลังเลอยู่ครู่หนึ่ง แต่สุดท้ายก็เดินไปข้างหน้า เดินไปยืนอยู่ทางทิศเหนือ
“เรื่องที่ท่านไปจังชิวเป็นเช่นไรบ้างเจ้าคะ”
ภายใต้แสงของดวงดาว สายตาของนางเป็นประกาย ราวกับดวงดาวบนท้องฟ้า แวววับสว่างไสว
สวีลิ่งอี๋มองสืออีเหนียงด้วยความตกใจ เขาค่อยๆ ผ่อนคลายขึ้น
“ไม่ได้ซื้อที่ดิน!” เขาพูดเบาๆ เดินบนทางเดินที่ไปยังเรือนปั้นเย่ว์พั่น “เกิดเรื่องขึ้นตั้งมากมาย จึงไม่รู้ว่าจะบอกเจ้าเช่นไร”
สืออีเหนียงก้มหน้ามองหินสีฟ้าบนทางเดิน “ข้าเห็นท่านโหวกลับมาเร็วขนาดนี้ จึงเดาว่าหากไม่ใช่เพราะว่าทุกอย่างราบรื่นดีเช่นนั้นก็เพราะว่ามีอุปสรรค ฟังจากน้ำเสียงตอนที่ท่านไป ข้าก็คิดว่าเรื่องราวน่าจะไม่ได้ง่ายดายขนาดนั้น…”
“ไม่ใช่แค่ไม่ง่ายดาย” สวีลิ่งอี๋พูด “ตอนนั้นข้าก็รู้สึกแปลกใจ ทำไมปล่อยข่าวลือว่าจะซื้อที่ดิน ราคาที่ดินก็สูงขึ้นจนคนธรรมดาซื้อไม่ได้ เห็นได้ชัดว่าพวกเขาเจตนาโจมตีสกุลเรา”
“แล้วท่านยังจะไป?”
“ในเมื่อถูกจับตามอง หากครั้งนี้ข้าไม่เล่นด้วยก็ต้องมีครั้งต่อไป ไม่สู้จัดการมันครั้งเดียวดีกว่า” สวีลิ่งอี๋พูดอย่างเรียบเฉย “โชคดีที่ข้าไป เดิมทีมีคนอยากจะเข้าไปแทรกแซงการค้าขายกับต่างแคว้น ใช้ที่ดินหลายร้อยแปลงนี้ในการหยั่งเชิง อยากจะให้ข้าไปทักทายระบบศุลกากรของเฉวียนโจว ตอนนี้ข้าไม่ได้รับตำแหน่งแล้ว ไม่ควรเข้ายุ่งเกี่ยวกับเรื่องพวกนี้ แน่นอนว่าที่ดินผืนนั้นข้าจึงซื้อไม่ได้!”
พวกเขาสองคนพูดคุยกันแล้วเดินไปที่เรือนปั้นเย่ว์พั่น
*****
สืออีเหนียงลุกขึ้นเสียงเบา
“ยามเหม่าแล้วหรือยัง” เสียงที่คลุมเครือของสวีลิ่งอี๋ดังขึ้นมาจากข้างหลัง
คิดไม่ถึงว่าจะทำให้เขาตื่น
“เจ้าค่ะ!” สืออีเหนียงกลับมาทำท่าทีเหมือนเดิม รีบสวมใส่เสื้อผ้า “ท่านโหวนอนอีกสักพักเถิด!”
เขาอยู่ที่จวนเฉยๆ ไม่ต้องไปราชสำนัก แต่แค่ไม่ควรพูดเช่นนี้ต่อหน้าเขา
สวีลิ่งอี๋ลุกขึ้นนั่ง หยิบเสื้อสีขาวที่กองรวมอยู่มุมเตียงราวกับผักดองขึ้นมาสวม “วันนี้จะไปวัดฮู่กั๋วกับคุณหนูเจ็ดอย่างนั้นหรือ” เขานึกถึงรถที่หรูหราและนิสัยของชีเหนียง “ส่งคนไปบอกผู้ดูแลก่อน ถึงตอนนั้นก็ปิดประตูวัดเสียเถิด”
สืออีเหนียงมองดูเสื้อสีขาวและใบหน้าที่แดงก่ำของเขา “ข้านำเสื้อตัวใหม่มาให้ท่านโหวดีกว่าเจ้าค่ะ” จากนั้นก็หันไปเปิดตู้สีดำทรงสูงที่อยู่ข้างๆ หาเสื้อที่รีดอย่างเรียบร้อยยื่นให้สวีลิ่งอี๋ “พี่หญิงเจ็ดจะไปทานไส้กรอกข้าวที่วัดฮู่กั๋วเจ้าค่ะ ปิดประตูวัดไปเกรงว่าก็ไม่มีประโยชน์อะไร!”
สวีลิ่งอี๋ตกใจ จากนั้นก็พูดว่า “ปกตินางอยู่ที่จวนก็เป็นเช่นนี้หรือ”
สืออีเหนียงพูดตอบอย่างอ้อมค้อม “พี่หญิงเจ็ดเป็นคนร่าเริงแจ่มใสเจ้าค่ะ”
สวีลิ่งอี๋พยักหน้า ไม่พูดถึงเรื่องนี้อีก จากนั้นก็บอกนางว่า “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ก็พาผู้คุ้มกันไปด้วยหลายคนหน่อย”
สืออีเหนียงตอบรับ เรียกสาวใช้เข้ามารับใช้นางอาบน้ำ ทานข้าวเช้ากับสวีลิ่งอี๋แล้วก็กลับไปที่เรือนศาลาริมน้ำฉุยหลุน
ทันทีที่ป้าซ่งเห็นนางก็ยิ้มหน้าบาน
“มู่ฝู สาวใช้ของคุณหนูเจ็ดมาถามตั้งแต่เช้าว่าเราจะออกเดินทางเมื่อไรเจ้าค่ะ”
แต่สืออีเหนียงกลับตอบไม่ตรงคำถาม “ไปเรียกหู่พั่วมา”
ป้าซ่งสับสน แต่ก็ตอบรับด้วยความเคารพแล้วเดินออกไป
สืออีเหนียงดึงเชือกสีแดงออกจากแขนเสื้อ บนนั้นมีป้ายหยกรูปวงรีห้อยอยู่
นั่นคือสิ่งที่สวีลิ่งอี๋ห้อยให้นางเมื่อคืนนี้ ตอนนั้นนางเขินอาย จึงไม่ได้ดูอย่างละเอียด ตอนนี้ถึงได้รู้ว่ามันคือป้ายหยกเถียนอวี้ที่แกะสลักรูปแกะ
นางนั้นเกิดปีแกะ
สืออีเหนียงหยิบป้ายหยกขึ้นมาดูอย่างละเอียด
ของขวัญวันเกิดเช่นนั้นหรือ
แต่ตอนที่สวีลิ่งอี๋ห้อยให้นางเขาไม่พูดอะไรสักคำ แล้วยังถือโอกาสห้อยตอนที่นางเหนื่อยล้า หากไม่ใช่เพราะว่าป้ายหยกมันเย็น และเตียงก็แข็ง นางไม่ชิน นอนไม่ค่อยหลับ นางก็คงจะไม่รู้
กำลังครุ่นคิด หู่พั่วก็เปิดม่านเข้ามา “ฮูหยิน ท่านมีเรื่องอันใดหรือเจ้าคะ”
สืออีเหนียงลังเลอยู่ครู่หนึ่งแล้วพูดว่า “ช่างมันเถิด เดิมทีจะให้เจ้าช่วยข้าถักเชือก แต่ข้าถักเองดีกว่า เจ้าไปบอกให้สาวใช้มารับใช้ข้าเปลี่ยนเสื้อผ้าเถิด” จากนั้นก็ห้อยป้ายหยกไว้ที่คออีกครั้ง
ถักเชือกจีนเป็นความเชี่ยวชาญของอาจารย์เจี่ยน สืออีเหนียงก็ได้รับวิชามาเต็มๆ ไม่ต้องพูดถึงพวกนาง แม้แต่บรรดาอาจารย์ของหอเซียนหลิงที่ทำมาหากินจากสิ่งนี้ เกรงว่าก็คงจะไม่มีฝีมือเท่าสืออีเหนียง นางจึงอดหัวเราะไม่ได้ “เชือกนี้เรียบง่ายเกินไปจริงๆ ต้องถักเชือกที่สวยงามเจ้าค่ะ” จากนั้นก็พูดอีกว่า “ไท่ฮูหยินเป็นคนมอบให้ท่านหรือเจ้าคะ บ่าวคิดว่าน่าจะเป็นหยกเหอเถียนชั้นดี ไม่มีสีแทรกซ่อนเลยแม้แต่น้อย คงจะหาไม่ได้ง่ายๆ”
สืออีเหนียงตอบกลับอย่างคลุมเครือ เปลี่ยนเสื้อผ้าเรียบร้อยแล้ว ก็ไปที่เรือนของชีเหนียง
ชีเหนียงแต่งตัวเสร็จเรียบร้อยแล้ว ไปคารวะไท่ฮูหยินกับสืออีเหนียง จากนั้นก็ออกเดินทางไปวัดฮู่กั๋ว
สืออีเหนียงเห็นว่าเหล่าผู้ติดตามต่างก็พากันล้อมรอบรถม้าอย่างแน่นหนา ดูเข้มงวดกว่าปกติ นางจึงรู้ว่าสวีลิ่งอี๋เป็นคนจัดการ เมื่อไปจุดธูปที่ตำหนักต้าสยงเป่าเรียบร้อย นางและชีเหนียงขอยันต์เเคล้วคลาดกลับมาให้ที่จวนตั้งมากมาย
ชีเหนียงยังนำไส้กรอกข้าวกลับมาให้ทุกคนตั้งหลายห่อ
สืออีเหนียงกลัวว่ามันไม่สะอาด ไท่ฮูหยินทานแล้วจะท้องเสีย จึงให้ไท่ฮูหยินชิมแค่คำเดียว
และไท่ฮูหยินก็ชิมแค่คำเดียวจริงๆ จากนั้นก็ยิ้มแล้ววางตะเกียบลง
ชีเหนียงบอกให้เด็กๆ สองสามคนลองชิมดู
สวีซื่ออวี้เหมือนกับไท่ฮูหยิน ชิมแค่คำเดียวแล้วก็วางตะเกียบลง แต่เจินเจี่ยเอ๋อร์กลับทำสีหน้าลำบากใจ มองอยู่ตั้งนานแต่ก็ไม่กล้าทาน มีแค่จุนเกอและสวีซื่อเจี้ยที่ทานอย่างเอร็ดอร่อย จุนเกอยังบอกว่า “อันนี้ไม่อร่อยเท่าอันที่อาจารย์จ้าวซื้อมาจากอารามเมฆขาว”
“จริงหรือ” หัวใจที่ถูกไท่ฮูหยิน สวีซื่ออวี้และเจินเจี่ยเอ๋อร์โจมตีของชีเหนียงก็กลับมาเต้นอีกครั้ง ได้ยินเช่นนี้นางก็รีบพูดว่า “อารามเมฆขาวมีไส้กรอกข้าวด้วยหรือ เหตุใดข้าถึงไม่รู้เล่า”
ของขวัญที่ชีเหนียงมอบให้สวีซื่ออวี้คือหนังสือ ‘อธิบายตำราทั้งสี่’ จากราชวงศ์ก่อน มอบชุดสมบัติทั้งสี่ของห้องหนังสือจากร้านตัวเป่าเก๋อให้จุนเกอ มอบสร้อยทองคำให้เจี้ยเกอ แล้วนางยังเป็นคนร่างเริง พวกเด็กๆ ล้วนชอบนางเป็นอย่างมาก
“ท่านไม่รู้แน่นอนขอรับ” จุนเกอพูด “อาจารย์จ้าวบอกว่า ที่ไหนมีของอร่อย งิ้วที่นั่นก็จะร้องเพราะที่สุด ที่ไหนเหมาะสำหรับตกปลา ที่นั่นก็จะเหมาะสำหรับการชมดอกเหมย เรื่องพวกนี้ มีแค่บุรุษเท่านั้นที่รู้ขอรับ”
สวีซื่ออวี้ที่อยู่ข้างๆ นั่งเงียบไม่พูดไม่จา
ชีเหนียงก็กระซิบกับเขา “เช่นนั้นเจ้าบอกข้าได้หรือไม่ว่าที่ไหนมีของอร่อย งิ้วที่ไหนร้องเพราะที่สุด…?”
จุนเกอวางตะเกียบลง จากนั้นก็เล่าให้นางฟังราวกับว่าตัวเองคุ้นเคยเป็นอย่างดี
ชีเหนียงได้ยินเช่นนี้ก็ตกใจ นางถามสืออีเหนียง “เขาคงไม่เคยไปมาหมดแล้วใช่หรือไม่”
สืออีเหนียงกำลังเกลี้ยกล่อมสวีซื่อเจี้ย “หยุดทานได้แล้ว ที่เหลือต้องนำไปให้ท่านพ่อ ท่านอาห้า ท่านอาหญิงห้า แล้วยังมีซินเจี่ยเอ๋อร์” สวีซื่อเจี้ยจึงวางตะเกียบลงด้วยความอาลัยอาวรณ์
จุนเกอจะรู้เรื่องพวกนี้ได้เช่นไร แน่นอนว่าทั้งหมดอาจารย์จ้าวเป็นคนพูด
นางจึงพูดตอบไปว่า “เขาเตรียมตัวไปท่องเที่ยวในภายภาคหน้า”
จุนเกอคิดว่าคำตอบของสืออีเหนียงไว้หน้าเขาเป็นอย่างมาก ยิ่งนั่งอกผายไหล่ผึ่ง “ถึงตอนนั้นข้าจะนำไส้กรอกข้าวของอารามเมฆขาวมาให้ท่าน ข้ารับรองว่าอร่อยกว่าที่นี่แน่นอน”
เมื่อสวีซื่อเจี้ยได้ยินว่ามีของอร่อย ก็กระโดดโลดเต้นอยู่ข้างๆ “ข้าก็จะเอา ข้าก็จะเอา”
ทำเอาทุกคนต่างพากันหัวเราะ
เว่ยจื่อเข้ามารายงาน “ฮูหยินเจ้าคะ เยี่ยนหรงบอกว่า ท่านโหวถามว่ารองเท้าไม้ที่อยู่ในถุงหนังกวางของเขาอยู่ที่ไหนเจ้าคะ”
ฤดูร้อนเช่นนี้ สวมรองเท้าไม้ทำไมกัน
สืออีเหนียงออกไปกับเว่ยจื่อด้วยความสับสน
เยี่ยนหรงยืนรออยู่กลางลาน
เห็นสืออีเหนียงเดินเข้ามา นางก็ย่อเข่าคำนับ ออกไปจากเรือนของไท่ฮูหยินกับสืออีเหนียง จากนั้นก็พูดเบาๆ ว่า “ท่านโหวบอกให้ท่านไปที่ห้องหนังสือลานข้างนอกเจ้าค่ะ บอกว่าท่านเขยเจ็ดมาแล้วเจ้าค่ะ”
จูอานผิง เซวียอี้จวินคนนั้น?
สืออีเหนียงพยักหน้า เดินผ่านห้องโถงเล็กๆ หลังห้องโถงใหญ่จวนสกุลสวีไปยังห้องหนังสือของสวีลิ่งอี๋
นี่เป็นครั้งแรกที่นางมาที่นี่
ต่างจากห้องหนังสือที่เรือนปั้นเย่ว์พั่น ห้องหนังสือลานข้างนอกเหมือนห้องรับแขกขนาดเล็ก ที่ตกแต่งเรียบง่ายและสวยงาม ดูสบายแต่ยังเป็นทางการ
สวีลิ่งอี๋แนะนำบุรุษร่างสูงที่สวมเสื้อผ้าไหมลายดอกสีน้ำเงินให้สืออีเหนียงรู้จัก
“นี่คือจูอานผิง ท่านเขยเจ็ด”
เขาเรียกจูอานผิง เหมือนที่สกุลเดิมของชีเหนียงเรียก
จูอานผิงเลิกคิ้ว จากนั้นก็โค้งคำนับสืออีเหนียง
สวีลิ่งอี๋แนะนำสืออีเหนียงให้จูอานผิงรู้จัก “ภรรยาของข้า”
สืออีเหนียงย่อเข่าคำนับเขา
สวีลิ่งอี๋เอ่ยบอกสืออีเหนียง “ท่านเขยเจ็ดไม่ได้มาที่เยี่ยนจิงบ่อยๆ เจ้าบอกให้โรงครัวทำอาหารให้พวกเราสักสองสามอย่าง เราจะดื่มสุรากันสักหน่อย”
สืออีเหนียงตอบรับ “เจ้าค่ะ” แล้วขอตัวออกไป ถือว่ารู้จักจูอานผิงอย่างเป็นทางการแล้ว