ร้อยรักปักดวงใจ - ตอนที่ 330 กลับมาพบหน้า(ต้น)
สืออีเหนียงได้ยินเช่นนี้ก็ตกใจ
นางคิดไว้ว่า การไปจังชิวครั้งนี้ของสวีลิ่งอี๋ จะใช้เวลาประมาณสิบวัน ถึงแม้ว่าเขาจะมีวิธีรีบกลับมา แต่เช่นนั้นก็ควรเป็นตอนเย็น คิดไม่ถึงว่าเขาจะมาถึงตอนบ่าย
แต่คุณนายใหญ่สกุลหลินกลับดีใจมาก “พูดถึงโจโฉ โจโฉก็มาพอดี ช่างบังเอิญจริงๆ!” นางยิ้มแล้วจับมือสืออีเหนียง “เช่นนั้นข้าจะรอข่าวดีจากเจ้า”
ทันทีที่นางพูดจบ ก็ได้ยินเสียงดังขึ้นจากนอกประตูฉุยฮวา
พวกนางสองคนมองออกไปที่ประตูอย่างพร้อมเพรียงกัน
เห็นสวีลิ่งอี๋ที่สวมชุดสีน้ำเงินเก่าๆ ขี่ม้ารูปงามมาหยุดอยู่หน้าประตูฉุยฮวา ข้างหลังเขามีรถม้าหรูหราที่มีหลังคาเป็นกระจกหลากสีสันและผ้าม่านสีเขียว แล้วยังมีรถเกวียนขนหีบอีกหนึ่งคัน
สืออีเหนียงตกใจ
จอดรถม้าไว้หน้าประตูฉุยฮวา แน่นอนว่าต้องเป็นสตรี แต่สกุลใหญ่สกุลโตนั้นมีพิธีรีตองและเข้มงวด พวกเขาไม่มีทางใช้รถม้าที่สะดุดตาโดดเด่นอย่างนี้ เช่นนั้นคนที่อยู่ในรถคือ…
นางเลิกคิ้ว มองสวีลิ่งอี๋ลงจากหลังม้า
“สืออีเหนียง…” เขาตกใจเป็นอย่างมาก กำลังจะพูดอะไรบางอย่างแต่หันหน้ามาก็เห็นคุณนายใหญ่สกุลหลินอยู่ข้างๆ จึงถามด้วยความแปลกใจ “คุณนายใหญ่สกุลหลิน?”
“ท่านโหวกลับมาแล้วหรือเจ้าคะ” สืออีเหนียงย่อเข่าคำนับเขา “คุณนายใหญ่สกุลหลินมาร่วมพิธีขึ้นปิ่นปักผมของข้าเจ้าค่ะ”
สายตาของคุณนายใหญ่สกุลหลินที่กำลังมองรถม้าหรูหราคันนั้นก็หันมามองสืออีเหนียง จากนั้นก็หันไปมองสวีลิ่งอี๋ ก่อนที่จะรีบอธิบาย “ข้ากำลังจะกลับเจ้าค่ะ” จากนั้นก็หันมาพูดกับสืออีเหนียง “สายมากแล้ว เจ้ายุ่งมาทั้งวัน วันอื่นข้าค่อยมาเยี่ยมเจ้าใหม่” ย่อเข่าคำนับ เอ่ยขอตัวลาสวีลิ่งอี๋และสืออีเหนียง
รถม้าของสกุลหลินรออยู่ข้างๆ อยู่แล้ว ท่านป้าที่ติดตามมาก็รีบวางบันไดให้นาง
“สืออีเหนียง” มีคนเรียกชื่อนาง
คุณนายใหญ่สกุลหลินและสืออีเหนียงหันไปมองด้วยความตกใจ ก็เห็นม่านรถที่หรูหราที่จอดอยู่ข้างหลังขยับ เผยให้เห็นใบหน้าที่สวยงามของผู้หญิงคนหนึ่ง
คุณนายใหญ่สกุลหลินพลันตกอกตกใจ แต่สืออีเหนียงที่ยืนอยู่ข้างๆ กลับตะโกนเรียกด้วยความประหลาดใจ “พี่หญิงเจ็ด”
ท่านป้าที่ติดตามมาเปิดม่านรถม้าออก สตรีที่สวมเสื้อผ้างดงามที่อยู่ในรถม้าก็ปิดปากยิ้ม “เจ้าไม่ตกใจหรือ”
ซุกซนแบบนี้ ไม่ใช่ชีเหนียงที่แต่งงานไปอยู่ที่ซานตงแล้วจะเป็นใครเล่า
สืออีเหนียงมองไปที่นางอย่างกลืนไม่เข้าคายไม่ออก
“เจ้าไม่รู้หรอกว่ามันบังเอิญแค่ไหน” ป้ารับใช้ประคองนางลงมาจากรถม้า นางยิ้มแล้วพูดว่า “ท่านโหวรีบกลับมา แต่ม้ากลับหมดแรงกลางคัน เห็นว่าม้าที่ลากรถให้ข้าเป็นม้าดี เขาจะซื้อให้ได้ ไม่เช่นนั้น เราคงจะไม่ได้เจอกัน”
สืออีเหนียงอดไม่ได้ที่จะมองไปทางสวีลิ่งอี๋
เมื่อครู่ไม่ได้ตั้งใจดู ตอนนี้ดูแล้ว ถึงแม้เขาจะอกผายไหล่ผึ่ง สายตาเป็นประกาย แต่ใบหน้าของเขากลับเต็มไปด้วยฝุ่นผง สีหน้าดูเหนื่อยล้าอ่อนแรง
สวีลิ่งอี๋ยกยิ้มอย่างแผ่วเบา เขาพูดสั้นๆ “ตอนนั้นไม่มีร้านอะไร”
ชีเหนียงได้ยินเช่นนี้ก็ยิ้ม “ข้าจึงมาเยี่ยมเจ้ากับท่านโหว”
จะซื้อม้าลากรถของคนอื่น แล้วยังจะซื้อให้ได้…แค่ฟังก็รู้ว่าต้องมีเรื่องอะไรแน่นอน สืออีเหนียงนึกถึงคุณนายใหญ่สกุลหลินที่ยังยืนอยู่ข้างๆ นางจึงไม่ซักถามอะไรมาก แนะนำชีเหนียงให้คุณนายใหญ่สกุลหลินรู้จัก “นี่คือพี่หญิงที่แต่งงานออกไปอยู่ซานตงของข้าเจ้าค่ะ”
คุณนายใหญ่สกุลหลินนึกถึงเรื่องที่ตัวเองคาดเดาเมื่อครู่…นางแอบยิ้มในใจ จากนั้นก็คำนับชีเหนียง พูดคุยกันสองสามประโยคแล้วนั่งรถม้ากลับจวน
หู่พั่วและคนอื่นๆ เดินเข้ามาคำนับชีเหนียง
ชีเหนียงมอบเงินหนึ่งตำลึงเป็นรางวัลให้พวกนาง
หลังจากนั้น สืออีเหนียงก็ต้อนรับชีเหนียงเข้าไปในประตูฉุยฮวา
สวีลิ่งอี๋พลันพูดขึ้นว่า “ข้าจะไปเรือนปั้นเย่ว์พั่น พวกเจ้าสองพี่น้องพูดคุยกันเถิด”
เมื่อสืออีเหนียงส่งสวีลิ่งอี๋จากไปแล้ว ก็ขึ้นรถลากไปกับชีเหนียง
“เหตุใดท่านถึงกลับมาที่เยี่ยนจิง แล้วยังนั่งรถม้าแบบนี้?”
ชีเหนียงได้ยินเช่นนี้ก็ยิ้ม “นี่คือรถม้าของสกุลจู ทรุดโทรมที่สุดแล้ว”
สืออีเหนียงพูดไม่ออก นั่งลงบนรถลากกับนาง
แต่นางขยับตัวเข้ามาประชิดตัวสืออีเหนียง “เจ้าช่วยบอกให้ท่านโหวช่วยข้าขายรถม้าคันนั้นทีเถิด เปลี่ยนเป็นรถม้าหลังคาสีดำเรียบๆ ก็พอ ตั้งแต่ข้าเดินทางมาไม่กล้าแม้แต่จะโผล่หน้าออกไปด้านนอก กลัวคนอื่นจะคิดว่าข้าเป็นเศรษฐีร่ำรวย”
สืออีเหนียงหัวเราะ “ข้านำรถม้าออกมาให้ท่านใช้ก็ได้ ไม่จำเป็นต้องขายทิ้ง”
“ดีเลย ดีเลย” ชีเหนียงได้ยินเช่นนี้ก็ดีอกดีใจ “เช่นนั้นรถคันนี้ข้ามอบให้เจ้า”
สืออีเหนียงหัวเราะ “ข้าจะเอารถม้าคันนี้ของพี่หญิงไปทำอะไรเล่า” พลันนึกถึงเรือนที่ตรอกเหล่าจวินถังที่ท่านอาสองอาศัยอยู่นั้นไม่ได้ใหญ่โตกว้างขวางอะไร ไม่มีที่ให้จอดรถม้า “รถม้าของท่านจอดไว้ที่จวนข้าก่อนก็ได้ เมื่อท่านจะกลับเกาชิงแล้วค่อยมาเอากลับไป”
ชีเหนียงได้ยินเช่นนี้ สายตาก็หม่นหมองลง “ข้าไม่กลับไปเกาชิงแล้ว” นางพูดด้วยน้ำเสียงที่หดหู่และเดียวดาย
“เกิดอะไรขึ้น” สืออีเหนียงจับมือนางไว้แน่น
ชีเหนียงน้ำตารื้น “จูอานผิง ไอ้สารเลวคนนั้น เขา…เขารังแกข้า”
สืออีเหนียงสับสน นางกำลังจะซักถาม แต่รถลากก็จอดพอดี
นางครุ่นคิด จากนั้นก็บอกป้ารับใช้ที่ลากรถ “ไปที่เรือนของข้าก่อน ให้คุณหนูเจ็ดไปล้างหน้าล้างตาก่อนแล้วค่อยไปคำนับไท่ฮูหยิน”
ท่านป้าลากรถตอบรับ “เจ้าค่ะ” รถลากก็ค่อยๆ เคลื่อนตัวไปยังสวนดอกไม้
สืออีเหนียงนั่งลง ชีเหนียงหยิบผ้าเช็ดหน้าขึ้นมาซับน้ำตา
นางไม่ได้ถามอะไร แค่จับไหล่ชีเหนียงเบาๆ
ชีเหนียงพิงไหล่นางร้องไห้
ท่ามกลางเสียงล้อรถลาก สืออีเหนียงคอยตบหลังนางปลอบประโลมเบาๆ
ผ่านไปสักพัก ชีเหนียงก็ค่อยๆ หยุดร้องไห้
“ข้าพามู่ฝูและท่านป้าสองคนมาด้วย” นางสะอื้น “เจ้าต้องหาสาวใช้และท่านป้ามารับใช้ข้าเพิ่ม!”
ยังรู้จักมีข้อต่อรองเหล่านี้ ดูเหมือนว่าสภาพจิตใจของนางคงไม่ได้ย่ำแย่ขนาดนั้น
แต่ว่า ฟังจากที่นางพูด นางยังไม่ได้กลับไปที่ตรอกเหล่าจวินถัง…
“ได้เลย!” สืออีเหนียงยิ้ม “ท่านมีเงินพอใช้หรือไม่ หากไม่พอ ประเดี๋ยวให้มู่ฝูไปเอาเงินที่หู่พั่ว”
“ข้าไปหยิบตั๋วเงินมาจากห้องหนังสือของเขากองหนึ่ง แล้วยังไปหยิบทองคำให้ห้องเก็บของมาถุงหนึ่ง”
สืออีเหนียงตกใจ
“เขาคงไม่ทางคิดว่าข้าหยิบตั๋วเงินมาแน่นอน” ชีเหนียงยิ้มอย่างแผ่วเบา “คงจะตามหาข้าบริเวณใกล้ๆ เกาชิง” นางยิ้มอย่างพออกพอใจ “คงคิดไม่ถึงว่าข้ากลับมาเยี่ยนจิง” จากนั้นก็จับเสื้อสืออีเหนียง “เจ้าห้ามบอกพี่ใหญ่เชียวนะ หากพี่หญิงสี่และพี่สามรู้ว่าข้ากลับมาเยี่ยนจิง พวกเขาต้องบอกท่านแม่แน่นอน จูอานผิงหาข้าไม่เจอ เขาก็จะไปถามท่านแม่ ถึงตอนนั้น เขาจะมาตามหาข้าที่เยี่ยนจิงแน่นอน”
แผนการมากมายขนาดนี้…สืออีเหนียงพลันตระหนักขึ้นได้ว่าความเป็นห่วงของตัวเองนั้นคือส่วนเกิน!
“ข้ารู้แล้ว” นางยิ้ม “แล้วมีแผนการเช่นไรต่อไป!”
“ไปอยู่ที่จวนของเจ้าสักสองสามวันแล้วค่อยว่ากัน” ชีเหนียงพูดโดยไม่คิด “ในเมื่อข้ากลับมาที่เยี่ยนจิง ถึงอย่างไรก็ต้องไปกินไส้กรอกข้าวที่วัดฮู่กั๋ว ไปซื้อน้ำแกงที่ร้านขายน้ำแกงซิ่งเหรินตรงถนนซีต้า แล้วยังมีหวีเขาควายของร้านอวี๋๋จี้ ต้องนำกลับไปสักสองสามชิ้น…”
บอกว่าจะไม่กลับเกาชิงไม่ใช่หรือ แล้วจะนำหวีเขาควายของอวี๋๋จี้กลับไปที่ไหนกัน
สืออีเหนียงแอบหัวเราะ
โชคดีที่รถลากจอดพอดี ขัดจังหวะคำพูดของชีเหนียง
เข้าไปที่เรือนศาลาริมน้ำ
“ท่านแม่!” เจินเจี่ยเอ๋อร์กำลังจะพาสวีซื่อเจี้ยไปเล่นขว้างถุงทราย ทันทีที่เห็นชีเหนียงก็ตกใจ
สืออีเหนียงแนะนำให้พวกนางรู้จักกัน
ชีเหนียงถอดกำไลหยกบนข้อมือมอบให้เจินเจี่ยเอ๋อร์เป็นของขวัญ มอบเหรียญสิบตำลึงเป็นของขวัญให้สวีซื่อเจี้ย ดูออกว่านางไม่ได้วางแผนเอาไว้ล่วงหน้า
สืออีเหนียงอดไม่ได้ที่จะสงสัยว่าเกิดอะไรขึ้นระหว่างทาง หรือชีเหนียงมาที่เยี่ยนจิงเพราะอะไรกันแน่ หรือเพียงเพราะว่าเจอกับสวีลิ่งอี๋ระหว่างทางโดยบังเอิญ?
นางบอกให้หู่พั่วช่วยมู่ฝูรับใช้ชีเหนียงอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า ส่วนตัวเองออกไปที่เรือนปั้นเย่ว์พั่น
สวีลิ่งอี๋เปลี่ยนเป็นสวมเสื้อสีเขียว กำลังนั่งพูดคุยบางอย่างกับหลินปัวอยู่บนเตียงเตาข้างหน้าต่างด้วยท่าทางที่เคร่งขรึม บรรยากาศในห้องดูอึดอัด เมื่อเห็นสืออีเหนียงเดินเข้ามา เขาก็หยุดพูดทันที ยิ้มแล้วถามนางว่า “พิธีขึ้นปิ่นปักผมวันนี้ใครเป็นแขกหลัก”
หลินปัวรีบขอตัวออกไป
“องค์หญิงใหญ่ฝูเฉิงเจ้าค่ะ!” สืออีเหนียงยิ้ม “เจ้าภาพคือกานฮูหยิน ส่วนน้องสะใภ้ห้าเป็นผู้ช่วย” จากนั้นก็ชี้ไปที่ปิ่นปักผมหยกหยางจืออวี้บนหัว “ฮองเฮาทรงประทานให้เจ้าค่ะ”
สวีลิ่งอี๋ประหลาดใจ
“ท่านแม่เป็นคนจัดการทุกอย่าง” สืออีเหนียงยิ้มด้วยความซาบซึ้ง “เชิญแต่ญาติสนิทมิตรสหายมา ยิ่งใหญ่เป็นอย่างมาก”
สวีลิ่งอี๋ยิ้มอย่างแผ่วเบา จ้องมองนางด้วยสายตาที่อ่อนโยน
“ทำไมหรือเจ้าคะ” สืออีเหนียงเดินไปนั่งบนเตียงเตาตรงข้ามเขา
“ไม่มีอะไร!” สวีลิ่งอี๋ยิ้มแย้ม “ท่านแม่ชอบเจ้ามาก” สืออีเหนียงยิ้มแล้วพยักหน้า “ข้าก็ชอบท่านแม่เช่นกันเจ้าค่ะ”
สวีลิ่งอี๋ยิ้มแล้วลูบหัวนางเบาๆ
สืออีเหนียงไม่ชอบพฤติกรรมเช่นนี้ จึงขยับตัวหนีไปข้างหลัง อยากจะหลบหลีกเขา “ข้าทำพิธีขึ้นปิ่นปักผมแล้ว…” ยังพูดไม่จบนางก็รู้สึกว่าสิ่งของที่อยู่บนหัวกำลังไหลลงมาเบาๆ แล้วหายวับไปอย่างรวดเร็ว พลันนึกถึงปิ่นปักผมที่ฮองเฮามอบให้…สืออีเหนียงตกใจจนหน้าซีด “สวีลิ่งอี๋ สวีลิ่งอี๋ ปิ่นของข้า…”
สวีลิ่งอี๋นั่งตรงข้ามสืออีเหนียง เขาย่อมรู้เห็นสถานการณ์ดีกว่านาง ชั่วขณะที่ปิ่นปักผมกำลังจะตกลงไป เขาก็ผลักโต๊ะที่อยู่ข้างหน้า คว้าปิ่นปักผมเอาไว้ได้ และเมื่อสืออีเหนียงตะโกน พวกเขาสองคนก็หันหน้าเข้าหากันและล้มลงปากประกบจูบกันบนเตียงเตา
ชุดสีฟ้าฐานสีแดงที่ปักด้วยด้ายสีทองอันงดงาม สะท้อนใบหน้าที่สะอาดสะอ้านราวกับลูกแพร์ของนาง ความงดงามที่ขาวบริสุทธิ์ ทำให้หัวใจของเขาสั่นไหว
“ร้องอีกสิ!” เขาค่อยๆ เอาหน้ามุดเข้าไปในเส้นผมที่มีกลิ่นหอมอ่อนๆ ของกุหลาบ พูดด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาดึงดูดเย้ายวนใจ “เรียกข้าว่าสวีลิ่งอี๋อีกสิ”
สืออีเหนียงตกใจ จากนั้นใบหน้าของนางก็ซีดเซียวลง
ตนจะเรียกเขาว่าสวีลิ่งอี๋ในสถานการณ์เดียวเท่านั้น…
เสียงลมหายใจที่อยู่ข้างหูค่อยๆ แรงขึ้น ติ่งหูของนางถูกกัดอย่างนุ่มนวล มือใหญ่ที่อบอุ่นลูบไล้แผ่นหลังนาง…ความรู้สึกจั๊กจี้ก็ไหลทะลักออกมา
นางสูดหายใจเข้าลึกแล้วผลักเขาออก “…วันนี้คือพิธีขึ้นปิ่นปักผมของข้า แล้วยังมีชีเหนียง…อีกทั้งยังเป็นเทศกาลไหว้บ๊ะจ่าง…ท่านแม่บอกว่าต้องทานอาหารเย็นด้วยกันเจ้าค่ะ…”
เขาเงยหน้าขึ้น มองนางด้วยสายตาที่เป็นประกาย จากนั้นก็โน้มตัวลงช้าๆ…โน้มลงไปจูบปากนาง
สืออีเหนียงหันหน้าหนี
สวีลิ่งอี๋ตกใจ
มีเสียงหลินปัวดังมาจากข้างนอก “ท่านโหวขอรับ ลี่ว์อวิ๋นบอกว่า คุณนายเจ็ดแต่งตัวเสร็จแล้ว ถามฮูหยินว่าเมื่อไรจะกลับไปขอรับ!”
ราวกับได้ยินเสียงของพระพุทธเจ้า สืออีเหนียงรีบผลักสวีลิ่งอี๋ออกไปแล้วลุกขึ้นนั่งทันที
“ข้าจะไปประเดี๋ยวนี้”
แต่กลับถูกสวีลิ่งอี๋กอดเอวเอาไว้
“ท่านโหว…” สืออีเหนียงไม่พอใจ
“มา นั่งลงก่อน” สวีลิ่งอี๋พูดอย่างอ่อนโยน “ข้าปักปิ่นให้เจ้า”
*****
ทันทีที่ไท่ฮูหยินเห็นชีเหนียงก็ดีใจเป็นอย่างมาก จับนางมามองสำรวจตั้งแต่หัวจรดเท้า “สวยจริงๆ เลย”
ชีเหนียงยิ้มหวานราวกับน้ำผึ้ง “ก็เพราะว่าข้าและน้องหญิงสิบเอ็ดได้แต่งงานกับคนดีเจ้าค่ะ ดังนั้นจึงยิ่งโตยิ่งสวย”
“ไอ๊หยา” ไท่ฮูหยินยิ้มจนตาเป็นพระจันทร์เสี้ยว “คุณหนูเจ็ดพูดจาเป็นจริงๆ”
“ไท่ฮูหยินเรียกข้าว่าชีเหนียงเถิดเจ้าค่ะ!” ชีเหนียงยิ้ม “ท่านแม่ข้าบอกไว้ว่า สตรีก็เหมือนกับเมล็ดพืช ได้ไปอยู่กับคนที่ดีก็เติบโตดี ได้ไปอยู่กับคนที่ไม่ดีก็เติบโตไม่ดี คนอื่นไม่รู้แต่ข้ารู้เจ้าค่ะ เมื่อก่อนสืออีเหนียงนั้นผ่ายผอมและตัวเล็ก แต่ตอนนี้ทั้งขาวทั้งสูง คงเป็นเพราะหลักการนี้ไม่ใช่หรือเจ้าคะ”
ไท่ฮูหยินหัวเราะร่าอย่างชอบใจ