ร้อยรักปักดวงใจ - ตอนที่ 305 มาพบ(กลาง)
ปินจวี๋ได้ฟังดังนั้นก็รีบหยิบผ้าเช็ดหน้าออกมาซับน้ำตา “บ่าวเลอะเลือนเองเจ้าค่ะ!”
สืออีเหนียงเองก็น้ำตาคลอเล็กน้อย ชี้ไปที่ป้าซ่งแล้วพูดว่า “ท่านผู้นี้คือป้าซ่ง คิดว่าพวกเจ้าคงเคยเจอกันแล้ว นางเคยปรนนิบัติรับใช้ไท่ฮูหยินตอนสมัยนางยังสาวๆ ไท่ฮูหยินจึงแนะนำให้มาเป็นผู้ดูแลในเรือนเราโดยเฉพาะ พวกเจ้าควรรู้จักกันไว้!”
ปินจวี๋ได้ยินแล้วก็เดินเข้าไปคำนับป้าซ่งอย่างนอบน้อม
ป้าซ่งรีบคำนับกลับ ยิ้มแล้วพูดว่า “เคยได้ยินชื่อแม่นางปินจวี๋คนของฮูหยินมานานแล้วว่าเป็นคนซื่อสัตย์ วันนี้ได้เจอพึ่งรู้ว่ายังเป็นคนใจกว้างอีกด้วย”
“ท่านป้าชมเกินไปแล้ว” ปินจวี๋พูดอย่างอ่อนน้อมถ่อมตน
หู่พั่วปิดปากหัวเราะอยู่ข้างๆ “ป้าซ่งก็พูดผิดเป็นเหมือนกันหรือ”
ทุกคนประหลาดใจ
หู่พั่วยิ้มแล้วพูดว่า “เรียกพี่ปินจวี๋ว่า ‘แม่นาง’ ไม่ได้แล้ว ต้องเรียกว่าสะใภ้ว่านต้าเสี่ยน”
ทุกคนพากันหัวเราะ
ปินจวี๋หน้าแดงด้วยความเขินอาย ตำหนิหู่พั่วว่า “เจ้าช่างรู้จักพูดเสียจริง!”
เผยให้เห็นถึงความตรงไปตรงมาของหญิงสาว
สืออีเหนียงเห็นแล้วก็รู้สึกดีใจ ถามนางว่า “เจ้าทานข้าวมาแล้วหรือยัง”
ปินจวี๋ส่ายหน้า “ยังเจ้าค่ะ อยากจะมาคารวะท่านก่อนแล้วค่อยกลับตรอกจินอวี๋”
สืออีเหนียงครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะพูดว่า “เจ้ารอข้าสักครู่ ข้าจะไปคารวะไท่ฮูหยินก่อน จากนั้นพวกเราค่อยทานข้าวเย็นด้วยกัน”
ปินจวี๋รีบพูดขึ้นมาว่า “ไม่ต้องหรอกเจ้าค่ะ อีกไม่ช้าก็จะถึงเวลาห้ามออกจากจวนแล้ว”
เหลือเวลาอีกสองชั่วยามกว่าจะถึงเวลาห้ามออกจากจวน
ที่พูดเช่นนี้คงเพราะกลัวว่าตัวเองจะไม่สามารถอธิบายเรื่องนี้กับไท่ฮูหยินได้
สืออีเหนียงกำชับปินจวี๋ว่า “เจ้าตามข้ามา”
ปินจวี๋ตอบรับ “เจ้าค่ะ” แล้วตามสืออีเหนียงเข้าไปในห้อง
สืออีเหนียงให้สาวใช้น้อยยกเก้าอี้มาให้นางนั่ง ตัวเองเข้าไปล้างหน้าล้างตาแล้วออกมานั่งลงข้างๆ พูดคุยกับนาง
“ว่านต้าเสี่ยนเล่า”
“ไปหาพ่อบ้านไป๋เจ้าค่ะ”
ป้าซ่งที่ยืนอยู่ข้างๆ พูดเสริมขึ้นมาว่า “ผู้ดูแลว่านและภรรยามาถึงตั้งแต่เช้าตรู่ ผู้ดูแลว่านไม่สะดวกอยู่เรือนใน จึงเพียงแค่ไปคำนับไท่ฮูหยินจากนั้นก็ไปหาพ่อบ้านไป๋ สะใภ้ว่านต้าเสี่ยนจึงรอท่านอยู่ที่นี่” เปลี่ยนคำเรียกตามที่หู่พั่วบอก
“ว่านต้าเสี่ยนจะกลับมาทำงานที่จวนเมื่อไร”
“พ่อบ้านไป๋ให้วันหยุดเขาสี่สิบวันเจ้าค่ะ!”
จากที่นี่ไปเรือนของว่านต้าเสี่ยนต้องใช้เวลาเดินทางหนึ่งวัน สืออีเหนียงถามขึ้นมาว่า “คืนนี้พวกเจ้าจะพักที่ไหน”
ปินจวี๋ไม่ชินกับการพูดคุยเรื่องนี้กับสืออีเหนียง ใบหน้าแดงระเรื่อ พูดเสียงเบาว่า “บ่าวเตรียมจะพักที่ตรอกจินอวี๋เจ้าค่ะ”
“แล้วต่อไปเจ้าวางแผนจะทำอะไร” สืออีเหนียงพูดเสียงเบา
ปินจวี๋หน้าแดงกว่าเดิม พูดพึมพำว่า “ต้า…เสี่ยนมีวันหยุดหนึ่งวันในแต่ละเดือน แม่สามีบอกว่าพวกเราแยกกันเช่นนี้ไม่ดี จึงให้ข้าเช่าห้องอยู่ใกล้ๆ กัน เวลาต้าเสี่ยนเดือดร้อนหรือไม่สบายจะได้มีคนคอยช่วยดูแล พวกเราเตรียมจะออกไปหาห้องเช่าพรุ่งนี้ ต้องจัดการทุกอย่างก่อนที่เขาจะเริ่มงาน”
สืออีเหนียงประหลาดใจเล็กน้อยที่สะใภ้ว่านอี้จงคิดได้เช่นนี้
“ที่นี่คือเหอฮวาหลี่ เกรงว่าค่าเช่าห้องจะไม่ถูก” นางพึมพำว่า “ตอนนี้ว่านต้าเสี่ยนเป็นเพียงผู้ดูแลระดับสี่ ต้องเลื่อนขั้นเป็นระดับสองถึงจะอยู่ห้องชุดได้ เราสามารถให้พ่อบ้านไป๋ช่วยคิดหาวิธีหาห้องให้พวกเจ้าได้ เพียงแต่ว่าที่นั่นล้วนแต่เป็นผู้ดูแลระดับสามระดับสี่หรือคนใช้แรงงานกับสาวใช้น้อย เกรงว่าจะวุ่นวายไปหน่อย…”
ไม่รอให้สืออีเหนียงพูดจบปินจวี๋ก็รีบพูดขึ้นมาว่า “ฮูหยิน บ่าวไม่ได้ให้ท่านหาห้องให้บ่าว ต้าเสี่ยนไปถามมาแต่เนิ่นๆ แล้ว ได้ยินมาว่าหลังจวนเรามีเรือนว่างสองสามหลัง มีเพียงคนเฝ้าประตูกับคนทำความสะอาด แต่ไม่มีใครกล้าแตะต้องเรือนหลัก แต่คนเฝ้าประตูกลับตัดสินใจให้บรรดาบ่าวรับใช้เช่าห้องปีกด้านข้าง ราคาแปดเก้าตำลึงต่อปี พวกเราสองคนคำนวณแล้ว หนึ่งปีเขาได้เงินจากการทำงานสิบสองตำลึง ในจวนมีของกินของใช้ ดังนั้นสิบสองตำลึงนี้จึงไม่จำเป็นต้องใช้” เมื่อพูดถึงตรงนี้นางก็กลั้นหัวเราะ “ตอนนี้พึ่งรู้ว่าฮูหยินเป็นคนทำอะไรมองการณ์ไกล ท่านได้เรียนการใช้เข็มกับอาจารย์เจี่ยน บ่าวก็พลอยได้เรียนรู้ไปด้วย นำม่านประตูหลายผืนที่ปักไว้ก่อนหน้านี้ไปขายที่ร้าน บอกว่าถ้าเป็นคนอื่นจะให้สิบตำลึง แต่ว่างานปักของข้าดีลวดลายแปลกใหม่จึงให้เพิ่มมาอีกสองตำลึง ข้าลองคำนวณดูแล้วได้ราคาสามตำลึงต่อหนึ่งผืน ในเวลาสามเดือนข้าสามารถตัดได้หนึ่งผืน หนึ่งปีก็จะมีรายได้สิบสองตำลึง ตอนนี้ข้าวแปดส่วนต่อหนึ่งอีแปะก็เพียงพอสำหรับพวกเราสองคนกินได้ถึงสี่ห้าเดือนแล้ว แล้วยังมีเงินที่ท่านให้บ่าวเป็นสินเดิมอีก ต่อให้มีบุตรก็ไม่มีอะไรต้องกังวล!”
สืออีเหนียงได้ยินเช่นนี้ก็ตกตะลึง “เจ้า เจ้าท้องแล้วหรือ”
“ไม่ใช่ ไม่ใช่เจ้าค่ะ” ปินจวี๋โบกมือพัลวัน หน้าแดงจนแทบจะเห็นเส้นเลือด “ไม่ใช่ว่าบ่าวมีลูกแล้ว แม่สามีแค่บอกว่าพวกเราอายุไม่น้อยแล้ว ให้พวกเรารีบหน่อย…”
สืออีเหนียงอดหัวเราะไม่ได้
เกรงว่าที่สะใภ้ว่านอี้จงให้ปินจวี๋ตามว่านต้าเสี่ยนเข้าเมือง เหตุผลสำคัญคงเป็นเพราะอยากจะอุ้มหลานเร็วๆ กระมัง
นางครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง
ทั้งสองคนไม่พึ่งพาใคร วางแผนการใช้ชีวิตได้อย่างมั่นคง ตัวเองควรเคารพความพยายามของพวกเขาจึงจะถูก ยิ่งไปกว่านั้นว่านต้าเสี่ยนก็เป็นคนที่พยายามอย่างหนัก ค่าแรงของผู้ดูแลระดับสามคือสิบห้าตำลึง ค่าแรงของผู้ดูแลระดับสองคือยี่สิบตำลึง ค่าแรงของผู้ดูแลระดับหนึ่งคือสี่สิบตำลึง…
สืออีเหนียงพยักหน้าเล็กน้อย “เช่นนั้นก็ดี พวกเจ้ารีบไปหาที่พักก่อนเถิด หากเจอเรื่องอันใดพวกเราค่อยปรึกษากัน”
ปินจวี๋ถอนหายใจด้วยความโล่งอก
ว่านต้าเสี่ยนบอกว่าหากไม่อยากให้ใครดูถูกก็ไม่ควรไปพึ่งพาคนอื่น เวลาขมตัวเองก็ทนรับไว้ เวลาหวานถึงจะได้รับรสอย่างแท้จริง
ตนรู้สึกว่าคำพูดนี้สมเหตุสมผล ก่อนหน้านี้จึงกังวลมาตลอดว่าสืออีเหนียงจะไม่เห็นด้วย
สืออีเหนียงยิ้มพลางตะโกนเรียกหู่พั่ว “ส่งสาวใช้น้อยไปบอกกับพ่อบ้านไป๋ว่าข้าจะให้ปินจวี๋อยู่ทานข้าว อีกหนึ่งชั่วยามค่อยให้ว่านต้าเสี่ยนมารับนาง”
“ฮูหยิน!” ปินจวี๋รีบลุกขึ้น
สืออีเหนียงโบกมือ “เจ้าแค่ฟังข้าก็พอแล้ว” จากนั้นก็กำชับป้าซ่งว่า “เจ้าให้โรงครัวเล็กของพวกเราทอดปลาตะลุมพุกสักสองสามตัว ทำไก่ตุ๋นมัน ผัดหน่อไม้ดอง นึ่งไหล่หมู” พอพูดถึงตรงนี้นางก็หันไปยิ้มให้ปินจวี๋“ข้าจำได้ว่าเจ้าชอบกินอาหารพวกนี้มากที่สุด”
ปินจวี๋ยิ้มอย่างเขินอายว่า “ฮูหยินความจำดีมากเลยเจ้าค่ะ”
“ข้ายังไม่แก่นะ” สืออีเหนียงยิ้มพลางพูดหยอกล้อนางสองสามประโยค แล้วพูดต่อว่า “นำตีนห่านที่ใช้สุราหมักก่อนตรุษจีนพร้อมกับอกเป็ดหั่นมาด้วย แล้วทำผัดผักตามฤดูกาลมาสักสองสามจาน”
ป้าซ่งลองคำนวณในใจพบว่าอาหารเหล่านี้เหมือนกับอาหารที่ใช้ต้อนรับบรรดาคุณนาย ไม่แปลกใจเลยที่ใครๆ ล้วนบอกว่าปินจวี๋คือคนที่ฮูหยินสี่โปรดปรานมากที่สุด ไม่กล้าชักช้า รีบพูดขึ้นมาว่า “ฮูหยินวางใจได้ บ่าวจะไปจัดการประเดี๋ยวนี้เจ้าค่ะ”
สืออีเหนียงให้จู๋เซียงนั่งเป็นเพื่อนปินจวี๋ ส่วนตัวเองไปหาไท่ฮูหยิน
ไท่ฮูหยินรู้ว่าวันนี้เป็นวันที่ปินจวี๋กลับมา ไม่รอให้นางเอ่ยปากก็พูดขึ้นว่า “ทางนี้ไม่ต้องให้เจ้าอยู่ปรนนิบัติแล้ว เจ้าไปพูดคุยกับปินจวี๋เถิด จากนั้นก็ทานอาหารสักมื้อหนึ่งถือเป็นน้ำใจที่นางเคยรับใช้เจ้าก่อนหน้านี้”
สืออีเหนียงรู้สึกซาบซึ้งใจมาก พูดขึ้นมาว่า “ข้ากำลังจะบอกกับท่านแม่เรื่องนี้อยู่พอดี คิดไม่ถึงว่าท่านแม่จะเอ่ยขึ้นมาก่อน”
ไท่ฮูหยินยิ้มพลางตบมือนางเบาๆ
สืออีเหนียงกลับเรือน เรียกหู่พั่ว จู๋เซียง ลี่ว์อวิ๋น หงซิ่ว เยี่ยนหรงและคนอื่นๆ มาอยู่เป็นเพื่อนปินจวี๋ ป้าซ่งสั่งให้สาวใช้น้อยยกอาหารมาวาง สืออีเหนียงนั่งอยู่ข้างโต๊ะ ป้าซ่งยกโต๊ะเล็กมาไว้ข้างเตาผิง ปินจวี๋ หู่พั่ว และคนอื่นๆ นั่งล้อมวงกัน ทานข้าวพลางพูดคุยหัวเราะกันอย่างสนุกสนาน
ไม่กี่วันต่อมาปินจวี๋ก็กลับมารายงานสืออีเหนียงว่าหาที่พักได้แล้ว ห่างจากจวนสวีไม่ถึงหนึ่งถ้วยชา นางทำรองเท้าคู่หนึ่งให้หญิงรับใช้สูงวัยที่เฝ้าประตู ราคาห้องจึงลดจากแปดตำลึงเหลือเจ็ดตำลึง
สืออีเหนียงได้ฟังแล้วก็ดีอกดีใจ ลังเลอยู่นานก่อนจะให้จู๋เซียงนำกระดาษเกาลี่มาให้ปินจวี๋นำกลับไป “…ให้นางนำไปแปะกำแพงในห้อง แล้วดูด้วยว่าที่ที่นางอยู่เป็นอย่างไร”
นางกลัวว่าปินจวี๋จะบอกแต่ข่าวดีไม่บอกข่าวร้าย
จู๋เซียงปิดปากหัวเราะ ไม่นานจู๋เซียงก็กลับมา “สถานที่ดีมาก หลังเรือนหันไปทางทิศใต้ หน้าเรือนหันไปทางทิศเหนือ มีห้องหลักสองห้องและห้องพักผ่อนเล็กๆ หนึ่งห้อง ด้านหน้าประตูเป็นต้นทับทิม ด้านหลังประตูเป็นต้นกล้วย แม้ว่าทางจะคดเคี้ยวเล็กน้อย แต่ทางออกประตูก็เป็นเส้นทางส่วนตัว เงียบสงบ เพียงแต่ว่ากระดาษที่ท่านให้มาแปะผนังนั้นเปลืองเกินไป บอกว่าจะเก็บไว้เขียนคำอวยพรให้พี่เขยสกุลว่านเจ้าค่ะ”
สืออีเหนียงหัวเราะ จากนั้นก็ถอนหายใจ “ปินจวี๋ตอนนี้เหมือนคนที่แต่งงานไปแล้วจริงๆ ”
จู๋เซียงยืนยิ้มอยู่ด้านข้าง
หงซิ่วกลับพูดอย่างแปลกใจว่า “การแต่งงานมีแต่งจริงแต่งหลอกด้วยหรือเจ้าคะ”
สืออีเหนียงเห็นว่านางไม่เข้าใจจึงเปลี่ยนบทสนทนา “วันที่สองเดือนสี่เป็นวันครบรอบหนึ่งเดือนบุตรชายคนโตของพี่หญิงห้า ที่ให้เจ้าไปกำชับโรงเย็บปักให้ช่วยทำเสื้อผ้าเด็กสักสองสามชุด เจ้าไปดูว่าเป็นอย่างไรบ้างแล้ว”
จู๋เซียงตอบรับแล้วเดินออกไป
หงซิ่วมีท่าทางลำบากใจ
มีสาวใช้น้อยเข้ามารายงานว่า “ฮูหยิน นายหญิงสกุลเซี่ยงมาเจ้าค่ะ”
สืออีเหนียงตกใจเป็นอย่างมาก “นายหญิงสกุลเซี่ยง? มาพบข้าหรือว่าฮูหยินสอง”
สาวใช้น้อยยิ้มแล้วตอบว่า “บอกว่ามาเยี่ยมท่านเจ้าค่ะ”
ไม่ไปเยี่ยมฮูหยินสองแต่กลับมาพบตนก่อน?
นอกจากเรื่องการหมั้นหมายของสวีซื่ออวี้แล้ว สืออีเหนียงก็คิดไม่ออกว่านางจะมาพบตัวเองด้วยเรื่องอะไร!
“รีบไปเชิญนายหญิงเซี่ยงเข้ามา!” นางกำชับสาวใช้น้อย จากนั้นก็ไปเปลี่ยนชุดแล้วมาต้อนรับที่หน้าประตู
สีหน้าของนายหญิงเซี่ยงดูไม่สบอารมณ์เท่าไร เป็นเพราะนางมีรูปร่างสูงใหญ่ทำให้ดูดุร้ายยิ่งขึ้น
สืออีเหนียงยิ่งมองก็ยิ่งรู้สึกแปลกใจ
แม้ว่าการหมั้นหมายของทั้งสองสกุลจะไม่สำเร็จ แต่แค่พูดให้ชัดเจนก็พอแล้ว มาทำหน้าบึ้งตึงเช่นนี้ หรือว่าจะมีความเข้าใจผิดอะไรเกิดขึ้นอีก
นางยิ้มพลางเชิญนายหญิงเซี่ยงมานั่งที่ห้องโถง เมื่อสาวใช้น้อยนำชามาวางแล้ว นางก็ยกชาขึ้นมาจิบหนึ่งอึก สีหน้าผ่อนคลายลง
“คราวที่แล้วพี่สะใภ้ใหญ่ของข้าป่วย ยังต้องรบกวนให้คุณหนูนำของไปเยี่ยมอีก ข้ารู้สึกไม่สบายใจ” นางพูดอย่างเกรงใจว่า “วันนี้ข้าจึงตั้งใจมาขอบคุณฮูหยินสี่”
หากนายหญิงเกาป่วยจริงๆ นางมาขอบคุณที่ฮูหยินสองเคยไปเยี่ยม ถึงแม้ว่าจะไม่ถึงขั้นซาบซึ้งน้ำหูน้ำตาไหล แต่ก็ควรจะมีสีหน้าดีใจจึงจะถูก เหตุใดถึงทำท่าทางไม่เต็มใจเช่นนี้
สืออีเหนียงแอบคาดเดา
ที่ฮูหยินสองมั่นใจว่าการหมั้นหมายของทั้งสองสกุลจะสำเร็จก็เพราะใต้เท้าเซี่ยงตอบรับการหมั้นหมายครั้งนี้ หรือว่านายหญิงเซี่ยงจะถูกใต้เท้าเซี่ยงกดดันจึงต้องกลับมาพูดหัวข้อนี้กับตัวเองใหม่
“นายหญิงเซี่ยงไม่ต้องเกรงใจเจ้าค่ะ” นางตอบรับนายหญิงเซี่ยง “เดิมทีข้าควรจะไปเยี่ยมด้วยตัวเอง แต่หลายวันมานี้ในเรือนมีเรื่องมากมายจริงๆ อาการป่วยของนายหญิงเกาดีขึ้นแล้วหรือยัง”
นายหญิงเซี่ยงตอบนางว่า “ขอบคุณฮูหยินสี่ที่เป็นห่วง พี่สะใภ้ใหญ่ของข้าหายดีแล้ว เพียงแต่ว่าปกติพี่สะใภ้ใหญ่ของข้าเป็นคนแข็งแรงมาโดยตลอด พอป่วยกะทันหันเช่นนี้ก็อดให้เป็นกังวลไม่ได้ จึงคอยอยู่ดูแลสองสามวัน”
“ได้ยินมาว่านายหญิงเซี่ยงเติบโตมากับนายหญิงเกา คิดๆ ดูแล้วความสัมพันธ์คงจะไม่ธรรมดา จะอยู่ปรนนิบัติต่ออีกสักสองสามวันก็ถือเป็นเรื่องปกติ”
ทั้งสองคนพูดคุยกันเป็นเวลาครึ่งถ้วยน้ำชา
นายหญิงเซี่ยงบอกว่าจะไปพบไท่ฮูหยิน “…คราวที่แล้วที่อยู่ที่วัดเสียมารยาทแล้ว ต้องไปขอโทษท่านอาวุโสถึงจะถูก”
ตอนนั้นเสียมารยาทมากจริงๆ สืออีเหนียงไม่สามารถตัดสินใจแทนไท่ฮูหยินได้ จึงยิ้มพลางพานายหญิงเซี่ยงไปหาไท่ฮูหยิน