ร้อยรักปักดวงใจ - ตอนที่ 298 สหายเก่า(ปลาย)
บ่อน้ำของแต่ละเรือนมักจะตั้งอยู่ข้างห้องครัวหลังจวน
ชายหนุ่มกระโดดบ่อน้ำ?
สืออีเหนียงจับจ้องหลูหย่งกุ้ย “หลานชายของพ่อบ้านใหญ่หนิวกระโดดลงไปในบ่อหรือ”
แม้ว่าหลูหย่งกุ้ยจะไม่ค่อยได้อยู่ที่จวน แต่กลับคอยจับตามองเรื่องเล็กใหญ่ในจวนอยู่ตลอด วันนั้นที่เจอหู่พั่วที่วัดฉือหยวนเขาก็รู้แล้วว่าเรื่องนี้ไม่อาจปิดบังได้อีกต่อไป เมื่อกลับมาถึงจวนก็ได้ยินน้องชายคุยโม้ต่อหน้าตัวเองว่าฮูหยินเรียกไปพบ บอกว่าอย่างกับเป็นความฝัน ความโชคดีของตัวเองมาถึงแล้ว ไม่แน่อาจจะได้ตำแหน่งดีๆ เหมือนหยางฮุยจู่ก็เป็นได้ เขานึกขึ้นได้ว่าครอบครัวของคุณชายสามได้ออกจวนไปอย่างมีความสุข สืออีเหนียงก็ไม่ได้คัดค้านใดๆ ทั้งสิ้น รับช่วงต่อจวนโหวโดยไม่มีอุปสรรคใดๆ เพียงเท่านี้ก็รู้แล้วว่าฮูหยินสี่ผู้นี้ไม่ธรรมดา ยิ่งไปกว่านั้นตัวเองก็ดูแลกิจการที่หยวนเหนียงทิ้งไว้ นั่นถือเป็นเงินก้อนโต แม้ว่าตอนนั้นนางจะมอบอำนาจการบริหารให้กับหลัวเจิ้นซิ่งอย่างตรงไปตรงมา แต่ใครจะไปรู้ว่าในใจของนางคิดอะไรอยู่
เขาไม่ค่อยเข้าใจคนที่อยู่ตรงหน้า และยิ่งบอกไม่ได้ว่านางไปรู้อะไรมาบ้าง
ต่อให้อยากจะหนีก็ต้องแก้ไขความไม่เข้าใจกับคนที่อยู่ตรงหน้าก่อน ให้นางสบายใจ พ่อบ้านในสกุลใหญ่ๆ จะต้องสร้างรากฐานที่มั่นคงให้ตัวเอง มันจะเป็นไปไม่ได้เลยหากไม่ได้รับการสนับสนุนจากเจ้านาย ถ้าล่วงเกินเจ้านายก็จะทำให้กระทำการต่างๆ ได้ยากลำบาก
ถ้าหากฝ่ายตรงข้ามคือก้อนกรวดแล้วตัวเองเป็นแค่ไข่ไก่…ไม่สิ บางทีอาจจะไม่ใช่ไข่ไก่เสียด้วยซ้ำ แต่เป็นเพียงไข่นกกระทาฟองหนึ่งเท่านั้น!
หลูหย่งกุ้ยไม่กล้าเดิมพัน ไม่กล้าเอาอนาคตของตัวเองและน้องชายมาเดิมพัน ดังนั้นเขาจึงเลือกอธิบายข้อเท็จจริงเหล่านั้นด้วยท่าทีที่สงบ “เขาถูกดึงขึ้นมาจากบ่อน้ำ แสดงว่าเขากระโดดลงไปในบ่อน้ำเอง”
สืออีเหนียงรู้สึกหนาวไปถึงขั้วหัวใจ
เรื่องซับซ้อนกว่าที่นางคิด แต่กลับยิ่งตอกย้ำความมุ่งมั่นของนางที่ต้องการจะเข้าใจจุดยืนของหลูหย่งกุ้ย
“แล้วเกิดอะไรขึ้นกับบัญชีของร้านที่หังโจว” นางถามหลูหย่งกุ้ยด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย
เห็นหลูหย่งกุ้ยกำมือแน่นแล้วค่อยๆ คลายออก
“ได้ยินว่ามีเงินบางส่วนหายไป เพราะมีการผ่านมือพี่ต้าเหมา ดังนั้นพ่อบ้านใหญ่หนิวจึงลาออก”
“ก่อนที่ต้าเหมาตายหรือหลังจากที่ต้าเหมาตายแล้ว”
“อะไรนะขอรับ” หลูหย่งกุ้ยเงยหน้ามองสืออีเหนียง
“เงินหายไปก่อนที่ต้าเหมาตายหรือหลังจากที่ต้าเหมาตายไปแล้ว”
“หลังจากตายไปแล้ว?”
ช่างบังเอิญเสียจริง
ก่อนอื่นคือภรรยาที่ได้หมั้นหมายกันถูกนายท่านใหญ่…หลังจากนั้นต้าเหมาก็กระโดดบ่อน้ำ แล้วพ่อบ้านใหญ่หนิวก็ลาออก…
นางจำได้ว่าตอนที่พึ่งมาถึงจวนสกุลหลัว ครอบครัวของนายท่านสามสกุลหลัวอยู่เฝ้าศาลบรรพชนที่อวี๋หัง แม้ว่านายหญิงสองและนายหญิงสามจะไม่ค่อยพอใจกับวิธีการของนายหญิงใหญ่ ประการแรกนายหญิงใหญ่ได้แต่งเข้ามาในตอนที่นายหญิงผู้เฒ่าสกุลหลัวป่วยติดเตียงไม่สามารถดูแลของกินของใช้ในจวนได้ นางแต่งเข้ามาไม่ถึงสองปีก็ได้เป็นผู้ดูแลจวน ประการที่สองนายหญิงผู้เฒ่าสกุลหลัวป่วยมาเป็นเวลาเจ็ดแปดปี ในช่วงเวลานี้ก็เป็นนายหญิงใหญ่ที่คอยปรนนิบัติอยู่หน้าเตียง ตอนที่นายท่านใหญ่สกุลหลัวคนก่อนจากไป บุตรชายทั้งสามกำลังปฏิบัติหน้าที่ เป็นนายหญิงใหญ่ที่คอยจัดการพิธีศพให้ อย่าว่าแต่สะใภ้ทั้งสองเลย แม้แต่นายท่านสองกับนายท่านสามก็ยังต้องให้ความเคารพพี่สะใภ้ผู้นี้
ยิ่งตอนนี้ได้ยินพ่อบ้านหลูพูดเช่นนี้ แสดงว่าเรื่องนี้ต้องเกี่ยวข้องกับการเปลี่ยนอำนาจของสกุลหลัวอย่างแน่นอน
“แล้วอู๋เซี่ยวเฉวียนก็รับหน้าที่ต่อจากพ่อบ้านใหญ่หนิว?”
“ไม่ใช่ขอรับ” ฟังดูก็รู้ว่าสืออีเหนียงเข้าใจในสิ่งที่เขายังไม่ได้พูด แววตาของเขาเผยให้เห็นถึงความหวาดกลัว
หย่งผิงโหวฮูหยินผู้นี้อายุยังไม่ถึงสิบห้าปีเลย!
เขาเอ่ยขึ้นว่า “ก่อนหน้านี้มีผู้ดูแลคนหนึ่งที่เคยปรนนิบัติรับใช้นายท่านใหญ่คนก่อน ปรนนิบัติมาช่วงเวลาหนึ่ง แต่ทำได้ไม่ดี จึงเปลี่ยนเป็นผู้ดูแลที่เคยดูแลปรนนิบัตินายท่านใหญ่ แต่ก็ทำงานอย่างเละเทะ นายหญิงใหญ่จึงแนะนำสวี่เต๋อผิงให้นายหญิงผู้เฒ่า ใครจะไปรู้ว่ายังไม่ทันได้รับช่วงต่อก็เสียชีวิตไปแล้ว นายหญิงเฒ่าจึงให้พ่อบ้านหนิวช่วยแนะนำคนให้สักหนึ่งคน พ่อบ้านหนิวจึงได้แนะนำพ่อบ้านใหญ่อู๋ หลังจากที่พ่อบ้านใหญ่อู๋รับช่วงต่อ เริ่มแรกก็เกิดความผิดพลาดเล็กๆ น้อยๆ โชคดีที่ไม่ได้เดือดร้อนจนเป็นเรื่องใหญ่ นายหญิงผู้เฒ่าจึงตัดสินใจเลือกพ่อบ้านใหญ่อู๋ เมื่อบวกกับเงินเดือนของนายท่านใหญ่ พ่อบ้านใหญ่อู๋ก็สามารถทำบัญชีไม่มีปัญหาใด ตำแหน่งของพ่อบ้านใหญ่อู๋จึงถือว่ามั่นคงแล้ว”
สืออีเหนียงนึกถึงตอนที่นางเดินทางจากอวี๋หังมาที่เยี่ยนจิง อู๋เซี่ยวเฉวียนได้ให้นางเอาของกินไปส่งให้หลูหย่งกุ้ย
“พ่อบ้านหลูกับอู๋เซี่ยวเฉวียนมีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกันใช่หรือไม่” นางถามอย่างอ้อมค้อม
“แม้ว่าพ่อบ้านอู๋จะเป็นผู้ติดตามของนายหญิงใหญ่ แต่คนที่นายหญิงใหญ่โปรดปรานมากที่สุดคือผู้ดูแลสวี่เต๋อผิงที่เสียชีวิตไปนานแล้ว” หลูหย่งกุ้ยพูดต่อว่า “ตอนที่พ่อบ้านอู๋พึ่งมาที่จวนสกุลหลัวได้เรียนรู้การคำนวณบัญชีกับบิดาของบ่าว แม้ว่าจะไม่ได้เป็นอาจารย์กับลูกศิษย์ในนาม แต่ก็มีความสัมพันธ์ดั่งเช่นอาจารย์กับลูกศิษย์ ด้วยเหตุนี้พวกเราสองพี่น้องจึงสนิทกันเป็นอย่างมาก ต่อมาที่พวกเราได้ติดตามคุณหนูใหญ่มาที่จวนหย่งผิงโหวก็ต้องขอบคุณพ่อบ้านใหญ่หนิวที่ส่งเสริมและแนะนำพวกเราให้แก่อู๋เซี่ยวเฉวียน”
ดังนั้นอี๋เหนียงสองถึงได้บอกว่าการที่พี่น้องสกุลหลูได้มาที่จวนหย่งผิงโหวล้วนเป็นน้ำพักน้ำแรงของพ่อบ้านใหญ่หนิวอย่างนั้นหรือ
สืออีเหนียงพูดขึ้นมาว่า “เช่นนั้นอู๋เซี่ยวเฉวียนรู้หรือไม่ว่าอี๋เหนียงทั้งสองมาหาพ่อบ้านหลูที่เยี่ยนจิง”
หลูหย่งกุ้ยตอบว่า “ข้าน้อยไม่ทราบขอรับ”
เป็นคำตอบที่ตรงไปตรงมา…
โดยปกติจะมีสองกรณีที่คนมักจะใช้คำพูดนี้ หนึ่งเพื่อปกปิดบางสิ่งบางอย่าง สองในใจซื่อสัตย์ไม่มีความกลัวใดๆ
หลูหย่งกุ้ยอยู่ในกรณีไหนกัน
สืออีเหนียงยิ้มเล็กน้อย พูดขึ้นมาว่า “อี๋เหนียงทั้งสองไปอาศัยอยู่ที่วัดฉือหยวน พ่อบ้านหลูคิดว่าดีหรือไม่”
หลูหย่งกุ้ยก้มหน้าต่ำลงกว่าเดิม “เมื่อเทียบกับวัดอื่นๆ ไต้ซือจี้หนิงเจ้าอาวาสวัดฉือหยวนยังมีความรู้จริงอยู่บ้าง ข้าน้อยก็หวังว่าอี๋เหนียงทั้งสองจะมีจุดยืนในบั้นปลายของชีวิต”
พูดอีกอย่างก็คือการที่อี๋เหนียงทั้งสองได้รับการยอมรับจากจี้หนิง พ่อบ้านหลูผู้นี้ก็ออกแรงไปไม่น้อยเลยทีเดียว
“ได้ยินมาว่าอี๋เหนียงทั้งสองบริจาคเงินข้าน้ำมันหอมให้วัดฉือหยวนห้าพันตำลึง พ่อบ้านหลูรู้เรื่องนี้หรือไม่”
หลูหย่งกุ้ยเงยหน้าขึ้น สีหน้าตกตะลึง
ดวงตาของสืออีเหนียงมีความดูหมิ่นแฝงอยู่
หากไม่มีเงินบริจาคแล้วอาศัยเพียงแค่หลูหย่งกุ้ยพ่อบ้านตำแหน่งเล็กๆ ในจวนโหว จะไปสามารถพูดคุยตกลงกับไต้ซือจี้หนิงได้อย่างไร หากเขาบอกว่าไม่รู้ นางไม่เชื่อเป็นอันขาด
หลูหย่งกุ้ยเห็นดังนั้นก็ยิ้มเจื่อนๆ พูดขึ้นมาว่า “ตอนนั้นอี๋เหนียงทั้งสองนำตั๋วเงินสามพันตำลึงมาให้ข้า บอกว่ามีสามคนต้องการพักที่วัดฉือหยวน เริ่มแรกไต้ซือจี้หนิงก็ตอบตกลงแล้ว ต่อมาพอเข้าใจสถานการณ์ก็ส่งคืนเงินกลับมา อี๋เหนียงทั้งสองจึงไปพบไต้ซือจี้หนิงด้วยตัวเอง ข้ารออยู่นอกประตู อี๋เหนียงทั้งสองกับไต้ซือจี้หนิงพูดคุยกันในห้องปีกครึ่งชั่วยาม จากนั้นไต้ซือจี้หนิงก็ยินยอมให้อี๋เหนียงทั้งสองอยู่ที่วัด”
สามคน?
ตอนนี้ถึงตาสืออีเหนียงตกใจบ้างแล้ว
ความคิดในหัวนางแล่นอย่างรวดเร็ว
หยางอี๋เหนียงรู้ว่าตัวเองอยู่ได้อีกไม่นาน จึงคิดจะแก้ไขความสัมพันธ์ของสือเหนียงกับนายหญิงใหญ่ แต่สุดท้ายนายหญิงใหญ่กลับไม่รับน้ำใจแม้แต่น้อย หยางอี๋เหนียงไม่มีทางเลือก นางนำเงินออมที่สะสมมาหลายปีออกมาให้อี๋เหนียงทั้งสองพาสือเหนียงออกจากสกุลหลัว อี๋เหนียงทั้งสองนึกถึงหลูหย่งกุ้ยจึงได้พาสือเหนียงมาที่เยี่ยนจิง
จากนั้นเล่า เป็นเพราะสือเหนียงต้องการกลับสกุลหลัว หรือเป็นเพราะอี๋เหนียงทั้งสองยั่วยุให้สือเหนียงกลับสกุลหลัว
คำถามนี้เกรงว่าจะต้องไปถามกับสือเหนียงเท่านั้น!
สืออีเหนียงมองดูผ้าม่านประตูที่พลิ้วไหวไปมา
นึกขึ้นได้ว่าอีกสักครู่ยังต้องไปจวนจงฉินปั๋วกับไท่ฮูหยิน จึงยกถ้วยชาขึ้นมา “ข้าเพียงแค่อยากรู้เรื่องเก่าๆ ในอดีต ต่อไปนี้คงจะต้องถามกับพ่อบ้านหลูแล้ว”
ฟังจากน้ำเสียงของสืออีเหนียง หลูหย่งกุ้ยก็รู้ว่าเรื่องนี้ยังไม่จบ แต่สืออีเหนียงอยากรู้เรื่องเก่าๆ เขาก็ไม่มีทางเลือก ได้แต่ตอบรับเสียงเบา โค้งคำนับแล้วถอยออกไป
สืออีเหนียงกำชับหู่พั่วว่า “ไปเรียกหลิวไท่ผิงบุตรชายหลิวหยวนรุ่ยมาให้ข้า”
หู่พั่วตอบรับแล้วเดินออกไป สืออีเหนียงจึงได้เริ่มฟังการรายงานจากบรรดาผู้ดูแลหญิง
เมื่อจัดการเรื่องเสร็จแล้ว สืออีเหนียงก็พบกับหลิวไท่ผิงที่ยืนรออยู่ใต้ชายคาเรือน
“เจ้าเคยได้ยินชื่อหลูหย่งกุ้ยคนของคุณชายน้อยสี่หรือไม่”
“เคยได้ยินขอรับ!” หลิวไท่ผิงพูดต่อว่า “พวกเรามาจากสกุลหลัวด้วยกัน ทุกคนมักจะพูดถึงเขาต่อหน้าบ่าวเสมอ บอกว่าเขาเก่งและรู้จักหาเงินได้ดีมาก”
“แล้วเจ้ารู้จักเขาหรือไม่”
“ไม่รู้จักขอรับ!” หลิวไท่ผิงพูดอย่างตรงไปตรงมา “แต่บ่าวรู้จักพี่หย่งฝู เขาทำงานที่คอกม้า คราวที่แล้วบ่าวกลับสกุลเดิม เขาก็ให้บ่าวเอารถไปให้ท่านแม่ด้วยขอรับ”
“แล้วแม่เจ้านั่งรถหรือไม่”
หลิวไท่ผิงหน้าแดง อ้ำๆ อึ้งๆ อยู่นานแต่ก็ไม่ได้พูดอะไรออกมา
คนพูดเก่งอย่างหลิวหยวนรุ่ยกลับมีบุตรชายที่ซื่อสัตย์จริงใจเช่นนี้
สืออีเหนียงยิ้ม ให้คนไปเอาน้ำตาลมาให้เขาแล้วพูดว่า “พี่ชายของหลูหย่งฝูที่ชื่อว่าหลูหย่งกุ้ยกลับมาแล้ว เขาดูแลกิจการของคุณชายน้อยสี่ แต่เขามักจะอยู่ข้างนอกจวนมากกว่า ข้าเกรงว่าเขาจะทำงานให้นายน้อยสี่ได้ไม่ดี ในช่วงเวลานี้ที่เขาอยู่ที่เยี่ยนจิงเจ้าก็ติดตามเขาไปก่อนชั่วคราว ช่วยเขาชงชารินน้ำ ซักเสื้อผ้า แต่เมื่อเขาไปที่ไหน ไปพบใคร หรือเวลาอยู่ในห้องทำอะไรบ้าง เจ้าต้องบอกข้าอย่างละเอียด ทำได้หรือไม่”
“ทำได้ขอรับ” หลิวไท่ผิงพยักหน้าแล้วพูดอย่างไม่เข้าใจว่า “ถ้าหากเขาไม่ให้บ่าวติดตามล่ะขอรับ”
“เจ้าก็บอกเขาไปว่านี่คือคำสั่งของข้า”
หลิวไท่ผิงพยักหน้า
สืออีเหนียงให้เหรียญทองแดงเขาไปหนึ่งกำมือ แล้วให้ป้าซ่งพาเขาไปหาหลูหย่งกุ้ย
หู่พั่วพูดขึ้นมาว่า “ฮูหยิน ส่งคนไปแอบสอดส่องเขาดีหรือไม่เจ้าคะ”
“ไม่ต้องหรอก” สืออีเหนียงพูดต่อว่า “ข้าเพียงแค่ต้องการแสดงท่าทีของข้าก็เท่านั้น หลูหย่งกุ้ยเป็นคนฉลาด เมื่อเขาเข้าใจแล้ว เขาก็จะเป็นฝ่ายมาขอพบข้าอีกครั้ง!”
สืออีเหนียงกลับเรือนไปเปลี่ยนชุดเป็นเสื้อแขนกว้างสีแดงพุทธาปักลายดอกโบตั๋นสีเหลืองขมิ้น มวยผมสูง สวมที่คาดผมไข่มุก แล้วไปหาไท่ฮูหยิน
ไท่ฮูหยินเปลี่ยนชุดเป็นเสื้อกั๊กผ้าไหมสีน้ำตาลเข้มปักลายลายน้ำเต้าสีทอง มวยผมแล้วปักปิ่นหยกสีเขียว สวมกำไลข้อมือหยก
เมื่อเห็นว่าสืออีเหนียงมีเพียงที่คาดผมหนึ่งอัน ก็ให้ป้าตู้หากำไลข้อมือไข่มุกวงหนึ่งออกมา “ใหญ่พอๆ กับไข่มุกที่คาดผมบนหัวของเจ้า ดูแล้วคล้ายกับว่าเป็นชุดเดียวกัน”
สืออีเหนียงรีบปฏิเสธ
ไท่ฮูหยินยิ้มแล้วพูดว่า “ตอนนี้ข้าอายุมากแล้ว ชอบอะไรที่ส่องแสงแวววาวเป็นประกาย หากเก็บไว้ก็จะอยู่แต่ในกล่องไม่สู้ให้เจ้าดีกว่า” พูดพลางนึกขึ้นมาได้จึงกำชับป้าตู้ว่า “ข้าจำได้ว่าข้ายังมีต่างหูไข่มุกอีกคู่หนึ่ง เจ้าไปหามาให้ฮูหยินสี่ด้วยเลย” จากนั้นก็ยิ้มตาหยีพลางมองสืออีเหนียง “วันนี้สวมที่คาดผมแล้วใส่ต่างหูที่เป็นชุดเดียวกัน จะทำให้ดูทื่อเล็กน้อย เจ้าเก็บไว้ใส่ในโอกาสที่เหมาะสม วันนี้สวมเพียงกำไลข้อมือก็พอ”
ความหวังดีของผู้อาวุโส สืออีเหนียงจึงไม่ปฏิเสธอีกต่อไป ยิ้มพลางกล่าวขอบคุณไท่ฮูหยิน
ป้าตู้หยิบกล่องไม้สีแดงแกะสลักทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้ามา
เมื่อเปิดดูก็เห็นเป็นกำไลข้อมือแต่กลับมีความยาวหนึ่งฉื่อ สามารถสวมใส่เป็นสร้อยคอได้
“มา ข้าจะใส่ให้เจ้า” ไท่ฮูหยินนำกำไลข้อมือไข่มุกพันบนข้อมือของสืออีเนียง พันประมาณเจ็ดแปดรอบราวกับสนับมือ เข้ากับชุดที่มีแขนเสื้อกว้าง เวลามือขยับไปมาก็จะเผยให้เห็นกำไลเป็นครั้งคราว ให้ความรู้สึกสง่างาม
สืออีเหนียงถูกใจเป็นอย่างมาก นางยิ้มพลางเอ่ยขอบคุณไท่ฮูหยินอีกครั้ง
ไท่ฮูหยินก็ดีใจเช่นกัน มองดูนางตั้งแต่หัวจรดเท้าราวกับเด็ก สีหน้าฉายแววพึงพอใจราวกับความรู้สึกที่ได้เปลี่ยนเสื้อผ้าสวยๆ ให้ตุ๊กตา
สืออีเหนียงพยุงไท่ฮูหยินขึ้นรถม้า