ร้อยรักปักดวงใจ - ตอนที่ 294 ข่าวดี(กลาง)
ยอดมุ้งที่ห้อยลงมาบดบังแสงที่สาดส่องและปิดกั้นความโกลาหล ความเงียบสงบราวกับฝุ่นปกคลุมไปทั่วพื้นที่
สวีลิ่งอี๋หันไปมองก้อนกลมๆ ที่ถูกคลุมด้วยผ้าห่มอยู่ข้างกายแล้วอดหัวเราะไม่ได้ “ยังไม่ตื่นอีก” เสียงของเขาแฝงไว้ด้วยความเกียจคร้าน
ผ้าห่มกระพือไปมาเล็กน้อย จากนั้นก็เผยให้เห็นใบหน้าราวกับดอกบัวแดงของสืออีเหนียง “เหมือนข้าจะป่วย!” น้ำเสียงใสกังวานแฝงไว้ด้วยความอ่อนหวานที่นางไม่เคยใช้มาก่อน ดวงตาเป็นประกายของนางมีความโกรธเคืองเล็กน้อย
สวีลิ่งอี๋หัวเราะ โน้มตัวลงมาจูบหน้าผากของนาง แต่นางกลับหดตัวเข้าไปในผ้าห่ม
ริมฝีปากของเขาจูบลงบนเส้นผมดำคลับของนาง
สวีลิ่งอี๋ประหลาดใจ จากนั้นก็ส่งเสียงหัวเราะอย่างเบิกบานใจ
หัวเราะ หัวเราะ หัวเราะ ก็รู้จักแต่หัวเราะ
ตั้งแต่นางแต่เข้าจวนสวีมาก็ไม่เคยตื่นสายขนาดนี้มาก่อน
ยิ่งไปกว่านั้นตอนนี้ตนเป็นผู้ดูแลเรื่องอาหารการกินในเรือนนี้ มีผู้ดูแลที่อยู่ภายใต้อำนาจเจ็ดแปดคน ยิ่งไม่ต้องพูดถึงสาวใช้และคนใช้แรงงาน ในเรือนนี้ไม่มีความเป็นส่วนตัว ไม่ต้องรอให้ถึงกลางวัน เกรงว่าทุกคนต่างก็รู้แล้วว่าเหตุใดนางถึงตื่นสาย หากรู้ว่าจะเป็นเช่นนี้แต่แรก เมื่อคืนก็ควรจะทำตามที่เขาบอก…ตอนเช้าจะได้ไม่ต้อง…งัวเงียอยากกลับไปนอนต่อ แล้วก็จะไม่ตื่นสายเช่นนี้!
เมื่อคิดได้เช่นนี้นางก็ดึงผ้าห่มมาห่อตัวเองไว้อย่างแน่นหนา ไม่สนใจว่าสวีลิ่งอี๋จะมีผ้าห่มไว้ห่มหรือไม่
ในความมืด ผ้าไหมอ่อนนุ่มห่อหุ้มตัวนางไว้
นิ้วเรียวยาวของนางกำแน่นโดยไม่รู้ตัว
จะว่าไปแล้วเรื่องนี้ต้องโทษสวีลิ่งอี๋!
ตอนนั้นค่อนข้างเหนื่อย รู้สึกลางๆ ว่าเขากำลังแต่งตัวอยู่ ถามเขาว่ายามไหนแล้ว เขาบอกว่ายังเช้าอยู่ “…งีบต่อสักหน่อยเถิด!”
เหตุใดนางถึงได้เชื่อคนปลิ้นปล้อนเช่นนี้ สุดท้ายก็หลับต่อตามที่เขาบอกจริงๆ
ถ้าไม่ใช่เพราะมือไปสัมผัสโดนนาฬิกาพกที่เขาวางไว้บนเตียงโดยไม่ได้ตั้งใจ นางก็คงไม่รู้ว่าฟ้าสางแล้ว!
นางต้องตื่นแต่เช้าแต่กลับปล่อยให้นางนอนจนเลยมาถึงเวลานี้
สวีลิ่งอี๋มองเสื้อบางๆ ที่อยู่บนร่างตัวเอง แล้วมองสืออีเหนียงที่นอนห่อตัวเป็นหนอนไหม ก็อดหัวเราะไม่ได้ ยิ้มพลางดึงสืออีเหนียงที่ห่อตัวอยู่ในผ้าห่มมากอดไว้ในอ้อมอก
“เอาล่ะ เอาล่ะ” เขายิ้มพลางปลอบนาง “ข้าเห็นว่าเจ้ากำลังหลับสบาย ดังนั้นจึงไม่ได้ปลุกเจ้า” พูดพลางเปิดผ้าห่มออก เห็นใบหน้าของสืออีเหนียง “ข้ารู้ขอบเขตดี” เขาช่วยนางรวบผมที่ยุ่งเหยิง “ตอนนี้พึ่งต้นยามเฉิน แม้ว่าจะไปคารวะท่านแม่สายไปหน่อย แต่ก็ไม่ได้ทำให้เจ้าไปฟังรายงานที่ห้องโถงบุปผาช้าออกไป” เขามองนางด้วยสายตาที่อ่อนโยน “พวกเราก็นั่งอยู่ที่เรือนท่านแม่สักครู่เดียวก็พอแล้ว ข้าจะไปกับเจ้า เมื่อท่านแม่รู้ว่าเจ้าต้องปรนนิบัติข้า แม้ว่าจะไปสายก็จะไม่โทษเจ้า”
สืออีเหนียงประหลาดใจ “ตอนนี้ต้นยามเฉินหรือ”
สวีลิ่งอี๋มองนางด้วยสีหน้าเคร่งขรึม แต่ไม่อาจปกปิดความหยอกล้อที่แฝงอยู่ในแววตาได้ “เช่นนั้นเจ้าคิดว่ายามไหนกัน”
สืออีเหนียงรีบเอาผ้าห่มออก ท่าทางลนลานเหมือนหาอะไรสักอย่าง
ทันใดนั้นนาฬิกาพกก็ปรากฏขึ้นบนฝ่ามือสวีลิ่งอี๋
“เจ้ากำลังหาสิ่งนี้อยู่หรือ!”
สืออีเหนียงถลึงตาใส่เขา เข้าไปคว้านาฬิกาพกมาไว้ในมือ พอเปิดดู เข็มนาฬิกายังชี้อยู่ที่ต้นยามซื่อสามเค่อ
นางรู้สึกงุนงงไปหมด
สวีลิ่งอี๋หยิบนาฬิกาพกที่เหมือนกันออกมาจากใต้หมอนราวกับมายากล เปิดฝานาฬิกาให้นางดู
เข็มชี้ไปที่ต้นยามเฉินหนึ่งเค่อ
สวีลิ่งอี๋ยิ้มพลางปรับเวลานาฬิกา จากนั้นก็ยัดนาฬิกาพกใส่มือสืออีเหนียง
“ตอนนี้เจ้าเป็นคนดูแลเรื่องในเรือน หากมีสิ่งนี้ก็จะทำให้สะดวกขึ้น!” เขาพูดเสียงเบา
สืออีเหนียงรู้สึกถึงความเย็นของตัวเรือนนาฬิกาเงิน นิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง
เขาทำนาฬิกาพกนี้ให้ตัวเองตั้งแต่เมื่อไร
อย่าลืมว่าในยุคนี้นาฬิกาพกเป็นสิ่งที่หายากมาก
เมื่อสวีลิ่งอี๋เห็นสืออีเหนียงที่ปกติท่าทางสงบนิ่งเปลี่ยนเป็นมีสีหน้าสับสน ไม่รู้ว่าทำไมอารมณ์ถึงดีขึ้นมาอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน
ตอนที่หวังจิ่วเป่ามาพบเขาได้นำของขวัญล้ำค่าเล็กๆ น้อยๆ มาด้วย เมื่อเขาเห็นนาฬิกาพกก็นึกถึงสืออีเหนียง คิดว่าคงมีประโยชน์ต่อนาง ด้วยความดีใจหัวใจก็พลันเต้นแรง ปฏิเสธของขวัญชิ้นอื่นแล้วรับนาฬิกาพกเรือนนี้มา มิเช่นนั้นจะได้เห็นสีหน้าที่ตื่นเต้นของสืออีเหนียงได้อย่างไร!
เขาคิดอยากจะแกล้งนางอีกครั้ง
“มั่วเหยียน” ใบหน้าของสวีลิ่งอี๋แนบชิดกับใบหน้าของนาง พูดเสียงเบาว่า “วันนี้เจ้าป่วยอีกรอบดีหรือไม่” กุมเอวนางไว้เบาๆ แล้วดึงนางเข้ามาในอ้อมแขนของตน
สืออีเหนียงตกใจก่อนจะพบว่าตัวเองนั่งอยู่บนตักเขาในท่าทีที่ไม่เรียบร้อย
นางนึกถึงนาฬิกาพกเรือนนั้นทันที
คงเป็นเพราะว่าตอนนั้นรีบดูเวลาจึงไม่ทันได้สังเกต ดังนั้นจึงได้…เมื่อคืนเป็นเพราะเขาคิดเรื่องเช่นนี้แล้วตัวเองไม่เห็นด้วย…ตอนเช้าเขาถึงได้ยืนกรานความคิดของเขา…สุดท้ายก็เป็นอย่างที่เขาหวัง แต่กลับตื่นสายอีกแล้ว…นางจึงได้มีท่าทีร้อนใจเหมือนเมื่อครู่นี้!
เมื่อคิดได้เช่นนี้นางก็กระโดดขึ้นเหมือนถูกไฟช็อต
“ข้า ข้าจะไปล้างหน้าล้างตา!”
หนีอย่างทุลักทุเล
สวีลิ่งอี๋กลั้นหัวเราะแทบไม่ไหว
กระทั่งมาถึงเรือนไท่ฮูหยิน รอยยิ้มบนใบหน้าของเขาก็ยังไม่หายไป
ไท่ฮูหยินยิ้มอย่างมีความสุขยิ่งกว่าสวีลิ่งอี๋
หลังจากทะเลาะกันมาหลายวัน พึ่งจะดีกันได้ก็มาหาไท่ฮูหยินช้ากว่าปกติ แม้คนหนึ่งจะทำหน้าบึ้งตึง ท่าทางทำตัวไม่ถูก แต่อีกคนหนึ่งกลับดูอ่อนโยน ใบหน้าแฝงไว้ด้วยรอยยิ้ม
“มา มา มา” ไท่ฮูหยินกวักมือเรียกสืออีเหนียง “มานั่งตรงนี้กับข้า”
สืออีเหนียงนั่งลงอย่างเชื่อฟัง
ไท่ฮูหยินจับมือนาง ขณะที่กำลังจะเอ่ยปากถาม ก็มีสาวใช้น้อยเข้ามารายงาน “ไท่ฮูหยิน ทางด้านตรอกหงเติงส่งผู้ดูแลสองท่านมาคารวะท่านเจ้าค่ะ”
ไท่ฮูหยินรู้ดีจึงถามเพียงสองสามประโยค แล้วให้ป้าตู้พาไปหาฮูหยินห้า ปรึกษากับสวีลิ่งอี๋เรื่องสร้างเรือนให้พวกเขา
สืออีเหนียงเห็นว่าเวลาล่วงเลยมามากแล้วจึงขอตัวไปห้องโถงบุปผา
เมื่อให้หัวหน้าสาวใช้ที่มารายงานออกไปแล้ว ป้าซ่งก็เข้ามา
“บ่าวไปถามมาแล้วเจ้าค่ะ ฝากเพียงคำทักทายมา เคยนำอาหารมาให้สองครั้ง ผ้าเช็ดหน้าแบบใหม่สองสามผืน คุณหนูใหญ่ของเราได้ปักลวดลายด้วยตัวเอง ทั้งยังหาสูตรการหมักสุราจากหนังสือของฮูหยินสองให้ผู้ดูแลเอากลับไปด้วย”
“สูตรการหมักสุรา?”
“เหมือนว่าจะเป็นคุณหนูใหญ่สกุลหลินที่อยากได้เจ้าค่ะ”
“ดูแล้วเหมือนว่าจะไม่มีอะไรที่ไม่เหมาะสม” สืออีเหนียงพูดพึมพำ
แล้วเหตุใดฮูหยินสองถึงไม่ให้เจินเจี่ยเอ๋อร์ไปเที่ยวเล่นที่สกุลหลิน
“บ่าวได้ยินสาวใช้ของฮูหยินสองบอกว่าฮูหยินสองเข้มงวดกับการเรียนของคุณชายน้อยและคุณหนูอยู่เสมอ” ป้าซ่งพูดอย่างมีนัยยะว่า “คุณหนูใหญ่สกุลหลินมักจะส่งผู้ดูแลมาคำนับ และมักจะไหว้วานให้คุณหนูใหญ่ช่วยหาโน่นหานี่ให้ เกรงว่าฮูหยินสองจะคิดว่าคุณหนูใหญ่สกุลหลินมีแต่เรื่องวุ่นวาย รบกวนเวลาเรียนของคุณหนูใหญ่กระมัง ดังนั้นครั้งที่แล้วที่ผู้ดูแลจวนสกุลหลินมาเชิญคุณหนูใหญ่ไปเป็นแขก ฮูหยินสองจึงมีสีหน้าไม่พอใจ บอกว่าช่วงไว้อาลัยของคุณหนูใหญ่ยังไม่ถึงกำหนด อย่าไปเพ่นพ่านที่อื่นจะดีกว่า จึงไม่กล้าบอกกับท่านเจ้าค่ะ!”
สืออีเหนียงพยักหน้าเล็กน้อย “เจ้ารู้หรือไม่ว่าคุณหนูใหญ่สกุลหลินนัดกับคุณหนูใหญ่ของเราเมื่อไร”
“ดูเหมือนว่าจะเป็นวันที่ยี่สิบเอ็ดเดือนสาม ได้ยินว่าวันนั้นเป็นวันเกิดของคุณหนูใหญ่สกุลหลิน”
เป็นเพราะเหตุนี้หรือไม่ เจินเจี่ยเอ๋อร์ถึงต้องการไปให้ได้
สืออีเหนียงเองก็เคยมีประสบการณ์เช่นนี้เหมือนกัน
นางคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนเอ่ยขึ้นว่า “เช่นนั้นเจ้าช่วยไปสืบให้ข้าอย่างชัดเจน”
ป้าซ่งยิ้มตอบรับ “เจ้าค่ะ”
สืออีเหนียงเห็นว่าได้เวลาแล้วจึงไปหาไท่ฮูหยิน
ฮูหยินสองกลับมาจากสกุลเดิมแล้ว
นางสวมเสื้อแขนยาวสีขาว เสื้อกั๊กยาวสีเขียวหยก ทั้งตัวไม่ได้สวมเครื่องประดับสักชิ้น ดูสะอาดสะอ้านและสง่างาม กำลังนั่งคุยกับไท่ฮูหยินข้างเตียงเตา
ไท่ฮูหยินรีบเรียกสืออีเหนียงเข้าไป “ใต้เท้าเซี่ยงบอกว่าเขาตัดสินใจไม่ขายเรือนเก่าในจวน ดังนั้นนายหญิงเซี่ยงจึงต้องอยู่ซ่อมแซมเรือนเก่า เกรงว่าต้องรอถึงฤดูใบไม้ร่วงถึงจะเดินทางไปยังจวนอู่ชัง”
นับเป็นข้อแก้ตัวที่ดี
สืออีเหนียงยิ้มแล้วกล่าวขอบคุณฮูหยินสอง
ฮูหยินสองพูดอย่างถ่อมตนสองสามประโยค แล้วพูดต่อว่า “อีกไม่กี่วันพวกเราก็จะไปจุดธูปขอพรที่วัดฉือหยวนไม่ใช่หรือ เมื่อถึงเวลานั้นพี่สะใภ้ก็จะไปเช่นกัน ข้าคิดว่าตอนกลางวันพวกเรามาทานข้าวด้วยกันดีหรือไม่”
ไท่ฮูหยินได้ฟังดังนั้นก็พยักหน้าเล็กน้อย จากนั้นก็มองสืออีเหนียง
สืออีเหนียงย่อมไม่คัดค้าน นางยิ้มแล้วพูดว่า “ทุกอย่างให้เป็นไปตามที่พี่สะใภ้สองจัดการเถิดเจ้าค่ะ”แล้วหันไปขอความคิดเห็นไท่ฮูหยิน “ท่านว่าข้าควรจะเตรียมอะไรบ้าง”
ไท่ฮูหยินยิ้มแล้วพูดว่า “แต่งตัวสวยๆ ไปพบพวกเขาก็พอแล้ว!”
“ท่านแม่!” สืออีเหนียงพูดท่าทางจริงจัง “ข้าจริงจังนะเจ้าคะ ข้าไม่เคยมีประสบการณ์เรื่องนี้ หากไม่ให้ของกำนัลก็เกรงว่านายหญิงเซี่ยงจะคิดว่าพวกเราไม่มีมารยาท แต่หากให้ไป อย่างไรเสียพวกเราก็ยังไม่ได้มีวิธีหมั้นหมายอย่างเป็นทางการ เกรงว่านายหญิงเซี่ยงจะคิดว่าพวกเรามัดมือชก อย่างไรท่านก็ต้องช่วยเสนอความคิดเห็นให้ข้านะเจ้าคะ”
“รู้แล้ว รู้แล้ว” ไท่ฮูหยินยิ้มแล้วพูดว่า “ก็ทำเหมือนคนทั่วไปเวลาพบหน้ากันก็พอแล้ว ไม่จำเป็นต้องเป็นทางการขนาดนั้นหรอก เดี๋ยวเด็กๆ จะทำตัวไม่ถูก”
ขณะที่กำลังพูด ฮูหยินห้าก็อุ้มซินเจี่ยเอ๋อร์เข้ามา
เมื่อรู้ว่านางจะกลับไปอยู่ที่สกุลเดิมสองเดือนสืออีเหนียงก็ตกใจเล็กน้อย
ฮูหยินห้าบอกว่าที่จวนกำลังสร้างเรือนใหม่ กลัวจะเสียงดังรบกวนซินเจี่ยเอ๋อร์
ถึงอย่างไรสืออีเหนียงก็เป็นคนสองยุค ในยุคนั้นมีแต่คนมีลูกคนเดียว เรื่องสกุลเดิมหรือสกุลสามีก็ไม่ได้แบ่งแยกอย่างชัดเจน ไม่ได้รู้สึกว่าสำคัญอะไร แต่ไท่ฮูหยินกลับกลัวว่านางจะมีปมในใจ เมื่อส่งฮูหยินห้ากับบุตรสาวไปแล้วก็อธิบายกับสืออีเหนียงว่า “…ช่วงนี้ยังไม่ค่อยเข้าที่เข้าทาง ข้าจึงให้นางกลับไปอยู่ที่สกุลเดิมก่อน” พูดพลางถอนหายใจยาว “เจ้าเด็กคนนี้ประสบการณ์ยังน้อยเกินไป”
สืออีเหนียงไม่อาจแสดงความคิดเห็น
เช้าวันรุ่งขึ้นมีคนในวังมาเพื่อถ่ายทอดข่าวดีของฮองเฮาแก่สกุลสวีอย่างเป็นทางการ บ่ายวันนั้นสืออีเหนียงก็ได้เตรียมการสำหรับไปจุดธูปขอพรที่วัดฉือหยวนในวันถัดไป
ตื่นต้นยามโฉ่ว ออกเดินทางปลายยามโฉ่ว และไปถึงวัดฉือหยวนก่อนยามอิ๋น
วัดฉือหยวนตั้งอยู่ในตลาดที่วุ่นวาย หน้าประตูซานเหมินเป็นตรอกชุ่ยฮวาที่มีชื่อเสียง ขึ้นชื่อเรื่องเครื่องประดับสตรี ออกจากตรอกชุ่ยฮวาก็จะเป็นถนนตะวันตก เมื่อเข้าประตูซานเหมินกลับเป็นภูเขาเขียวขจี ป่าไม้เขียวชอุ่ม ราวกับอีกมิติหนึ่ง
เป็นครั้งแรกที่สืออีเหนียงได้มา เมื่อเห็นแล้วนางก็อดประหลาดใจไม่ได้
ไต้ซือจี้หนิงพาอาจารย์ในวัดมายืนรออยู่ที่หน้าประตูซานเหมินนานแล้ว เมื่อสตรีจวนสวีเข้าไปแล้วก็ให้คนมาปิดประตูซานเหมิน
วัดฉือหยวนเป็นสำนักเต๋าของเจ้าแม่กวนอิม มีตำหนักต้าสยงเป่าอยู่บนเนินภูเขาเล็กๆ ทุกคนเดินขึ้นบันไดหินเขียวที่ปูเข้าไปในตำหนักใหญ่ มีไต้ซือจี้หนิงเป็นคนนำจุดธูป จุดตะเกียงฉังหมิง จากนั้นก็เชิญทุกคนไปพักผ่อนที่ลานเล็กๆ ไม่ไกลไปจากตำหนัก มีอาจารย์ฝึกบำเพ็ญนำอาหารมาให้
ไท่ฮูหยินกำชับไต้ซือจี้หนิงว่า “เปิดประตูซานเหมินเถิด เดิมทีก็เพื่อขอพรให้ฮองเฮา หากทำเช่นนี้จะทำให้ผู้ศรัทธาคนอื่นๆ ลำบาก เหมือนกับเป็นการสร้างบาปเอาได้”
“ไท่ฮูหยินมีจิตใจดั่งพระโพธิสัตว์โดยแท้” ไต้ซือจี้หนิงยิ้มแล้วเดินจากไป
ทุกคนนั่งลงทานอาหารเช้า