ร้อยรักปักดวงใจ - ตอนที่ 287 การเผชิญหน้า(ต้น)
ฟังเสียงกลองที่ค่อยๆ เลือนหายไป ใต้เท้าเซี่ยงถอนหายใจ “เรื่องนี้ข้ารับปากอี๋เจินไว้แล้ว” ใบหน้าของเขาเผยให้เห็นถึงความเหนื่อยล้า “รอให้หย่งผิงโหวฮูหยินพ้นช่วงไว้อาลัยไปก่อน พวกเราทั้งสองสกุลค่อยแลกบันทึกวันเดือนปีเกิดซึ่งกันและกัน…”
นายหญิงเซี่ยงโกรธจัดจนหน้าแดง ทำท่าทางฟึดฟัดไม่พอใจ
นางมองสามีที่มีท่าทางยืนหยัด จากนั้นก็วิ่งไปที่ประตูแล้วตะโกนเรียกหัวหน้าสาวใช้ส่วนตัวของตัวเอง “…ให้บ่าวรับใช้ไปเตรียมรถ ส่วนเจ้าไปบอกให้คุณหนูทั้งสามเตรียมสัมภาระให้พร้อม พวกเราจะไปจวนจิ้วเหยีย”
ใต้เท้าเซี่ยงรีบเข้ามาดึงแขนภรรยาไว้ “หรงเหนียง เจ้าอย่าทำแบบนี้! ความจริงแล้วอวี้เกอก็ไม่ได้แย่อย่างที่เจ้าคิด…”
“ท่านพูดออกมาได้อย่างไร!” นายหญิงเซี่ยงได้ยินแล้วก็ร้อนใจจนตาแดงก่ำ “เด็กที่เกิดจากสาวใช้มีดีตรงไหน”
“หรงเหนียง” ใต้เท้าเซี่ยงได้ยินเช่นนั้นก็มีสีหน้าเคร่งขรึม “วีรบุรุษไม่ถามถึงชาติกำเนิด การเลือกลูกเขยต้องดูตามความสามารถ เจ้าจะเอาแต่มองโลกในแง่ร้ายไม่ได้!”
“งั้นหรือ เลือกลูกเขยต้องดูที่ความสามารถ?” นายหญิงเซี่ยงพูดจาเสียดสี “ไม่รู้ว่าคุณชายน้อยสองจวนหย่งผิงโหวผู้นั้นสอบผ่านจอหงวนหรือว่าได้เป็นบัณฑิตกันแน่ เหตุใดข้าไม่เห็นว่าเขาจะมีความสามารถอะไรเลย”
หัวหน้าสาวใช้ข้างกายเห็นดังนั้นก็ส่งสายตาให้สาวใช้น้อยที่ปรนนิบัติอยู่ในห้องโถง คนในห้องค่อยๆ ถอยออกไปอย่างเงียบๆ ส่วนหัวหน้าสาวใช้ข้างกายก็เดินไปปิดประตูใหญ่ของห้องโถง
“เขาอยู่กับอี๋เจินมาตั้งแต่เล็กจนโต เขาเป็นคนอย่างไร มีหรือที่อี๋เจินจะไม่รู้” ใต้เท้าเซี่ยงเกลี่ยกล่อมนายหญิงเซี่ยง “ยิ่งไปกว่านั้นตอนนี้อี๋เจินอยู่ตัวคนเดียว เมื่อโหรวเน่อแต่งเข้าไปแล้วจะได้ไปอยู่เป็นเพื่อนท่านอาของนาง…”
“อี๋เจิน อี๋เจิน ท่านก็คิดถึงแต่อี๋เจิน!” นายหญิงเซี่ยงโกรธเป็นฟืนเป็นไฟ “เคยคิดถึงโหรวเน่อบ้างไหม นางเป็นบุตรสาวของเรานะ ทั้งเป็นเด็กดีและรู้ความ…” พูดพลางน้ำตาไหล “ท่านยอมให้นางไปคุกเข่ายกน้ำชาให้ฉินอี๋เหนียงที่เกิดจากสาวใช้ได้อย่างไร ยิ่งไปกว่านั้นภรรยาคนถัดไปของหย่งผิงโหวก็อายุมากกว่านางเพียงสองปี นั่นถึงจะเป็นแม่สามีที่แท้จริงของนาง ไม่แน่วันไหนที่โหรวเน่อของพวกเราเดินไม่ไหวแล้ว แต่หย่งผิงโหวฮูหยินอาจจะยังแข็งแรงกว่าเป็นร้อยเท่า คนอื่นแต่งเข้าไปเป็นสะใภ้สกุลอื่นสักวันหนึ่งก็อาจจะได้หลุดพ้นจากความทุกข์ แต่หากโหรวเน่อของพวกเราแต่งเข้าไปแล้ว วันไหนจึงจะได้หลุดพ้น!หรือว่าชาตินี้ทั้งชาตินางจะต้องปรนนิบัติแม่สามีไปตลอดทั้งชีวิต” นางดึงแขนเสื้อใต้เท้าเซี่ยง แล้วเงยหน้าที่เต็มไปด้วยน้ำตามองใต้เท้าเซี่ยง “นายท่าน ไม่ใช่ว่าข้าไม่สนใจคุณหนูใหญ่ ข้าเองก็รู้เช่นกันว่าตอนนั้นท่านลุงใหญ่คิดจะส่งน้องห้ามา แต่ท่านพ่อของท่านเห็นว่าท่านอยู่ในสถานการณ์ที่ยากลำบาก จึงให้ส่งท่านมาแทนโดยไม่สนอายุของท่าน ท่านได้เรียนรู้การเขียนอ่านหนังสือจากท่านพ่อของท่านถึงได้มีวันนี้ อย่าว่าแต่ท่านเลย แม้แต่ข้าที่เป็นสะใภ้ก็ยังรู้สึกขอบคุณพ่อสามีไปชั่วชีวิต ตอนที่อี๋เจินแต่งงานออกเรือนบอกว่ามีสินเดิมเพียงสามสิบหกหีบ แต่ท่านแม่ได้นำสินเดิมที่เป็นที่ดินหกพันหมู่ โรงน้ำมันหนึ่งแห่งและหนังสือในบ้านมอบให้นางทั้งหมด ท่านอย่าคิดนะว่าข้าไม่รู้ ข้าเห็นแก่นางที่เป็นเลือดเนื้อเชื้อไขของพ่อสามีจึงไม่ได้พูดอะไร แต่พอมาถึงวันนี้ นางไม่เพียงไม่รู้สึกขอบคุณ แต่ยังให้ข้านำบุตรสาวแต่งเข้าไปเพื่อนาง นายท่าน ไม่สู้ให้ท่านยื่นผ้าขาวให้ข้าผูกคอตายยังจะดีกว่า จะให้ข้าเห็นด้วยกับการหมั้นครั้งนี้คงเป็นไปไม่ได้!” พูดจบก็ร้องไห้ออกมา
“หรงเหนียง หรงเหนียง…” คำพูดของภรรยาทำเอาใต้เท้าเซี่ยงน้ำตาซึม
มารดาผู้ให้กำเนิดของเขาเสียชีวิตไปตั้งนานแล้ว บิดาผู้ให้กำเนิดก็แต่งงานใหม่อีกครั้ง แม่เลี้ยงไม่ชอบลูกติดเหมือนไม่เข้าหูเข้าตากันมาตั้งแต่ชาติปางก่อน ไม่เคยให้กินอิ่ม ห่มผ้าอุ่นไม่พอ ยังอ้างว่าหาอาจารย์ที่ดีให้ไม่ได้ จนถึงอายุสิบขวบก็ไม่ได้ให้การศึกษาแก่เขา ตำแหน่งผู้สืบทอดต่อท่านลุงยังว่างอยู่ต้องมีบุตรชายมาสืบทอด สุดท้ายก็ฝากฝังไว้กับน้องห้า ต่อมาเห็นว่าชีวิตของเขานั้นยากลำบากจึงไม่ได้สนใจการคัดค้านของท่านป้า ไปรับเขาที่อายุสิบสองปีกลับมา กลัวว่าเขาจะเรียนรู้ได้ช้า จึงสอนเขาเขียนหนังสือด้วยตัวเองที่จวน…สองปีผ่านไป เมื่อเห็นว่าเขามีพื้นฐานอยู่บ้างจึงเชิญอาจารย์มาสอนที่จวน เป็นเพราะเรื่องนี้ ต่อมาท่านแม่เป็นโรคหัวใจจนเสียชีวิตก็ยังคิดเรื่องนี้ไม่ตก ดังนั้นตอนที่ท่านพ่อเสียเขาจึงสาบานต่อหน้าท่านพ่อว่า ขอเพียงแค่เขายังมีข้าวกินสักหนึ่งคำเขาก็จะต้องให้น้องสาวของตัวเองกินก่อนเสมอ
จนถึงทุกวันนี้เขาไม่เพียงแต่ได้รับตำแหน่งขุนนางระดับสี่เท่านั้น แต่ยังสืบทอดมรดกของท่านพ่อที่ได้รับมาจากบรรพบุรุษอีกด้วย ส่วนพี่น้องในตระกูลนั้นได้ต่อสู้กันอย่างลับๆ อย่างเอาเป็นเอาตาย สุดท้ายก็รอดมาได้เพียงแค่น้องชายหนึ่งคน อย่าว่าแต่สูญเสียทรัพย์สินเลย ทุกวันนี้ก็ยังต้องมาพึ่งพาอาศัยเขา
เมื่อคิดถึงตรงนี้ ความคิดที่จะให้บุตรสาวคนรองแต่งงานนั้นก็มั่นคงขึ้นกว่าเดิม
“หรงเหนียง” ใต้เท้าเซี่ยงประคองภรรยาไปนั่งที่เตียงนั่งริมหน้าต่างห้องด้านใน “สาเหตุที่ตอนนั้นสินสอดทองหมั้นไม่ได้เขียนไว้ในรายการ ประการหนึ่งก็คือคุณชายสามและคุณชายสี่สกุลสวีกำลังปรึกษาเรื่องการหมั้นหมายอยู่ อี๋เจินกลัวว่าเมื่อถึงตอนนั้นจะทำให้คนอื่นลำบากใจ และกลัวจะเกิดช่องว่างขึ้นในบรรดาสะใภ้ ประการที่สองนี่คือความต้องการของท่านแม่ นางอยากจะมอบสินเดิมให้กับอี๋เจิน บุรุษต้องรับผิดชอบเรื่องในครอบครัว สตรีต้องรับผิดชอบอาหารการกินและเครื่องนุ่งห่ม นี่เป็นเรื่องที่เหมาะสมแล้ว…”
นายหญิงเซี่ยงฟังน้ำเสียงของสามีราวกับกำลังเตือนนางว่าอย่าได้คิดยื้อแย่งต่อกรกับเซี่ยงอี๋เจิน นางจึงอดโมโหไม่ได้
“นายท่าน ข้ากับท่านแต่งงานกันมายี่สิบปี ท่านคิดว่าข้าเป็นคนเช่นนั้นหรือ” นางพูดขัดสามีด้วยน้ำเสียงแข็งกระด้าง “ถ้าหากข้าต้องการจะต่อกรกับนางเรื่องนี้แล้วทำไมข้าต้องรอมาจนถึงวันนี้ด้วย” พูดพลางจ้องไปที่ใต้เท้าเซี่ยง “หลายปีมานี้ที่ท่านดูแลนางยังถือว่าน้อยไปอยู่หรือ มีของขวัญให้ในทุกๆ เทศกาล ตัดเย็บเสื้อผ้าให้ในทุกๆ ฤดู…ข้าเคยบ่นสักคำหรือไม่ นางอยากจะให้ข้าแต่งบุตรสาวเข้าไป แต่กลับมาปรึกษาแค่พี่ชายของตัวเอง เคยเห็นข้าอยู่ในสายตาเสียที่ไหนกัน…”
หลังจากตอนเที่ยงที่รู้ว่าอี๋เจินมาด้วยเหตุอันใด สองสามีภรรยาก็ทะเลาะกันมาจนถึงตอนนี้ พูดไปพูดมานายหญิงเซี่ยงก็อยากรู้เพียงแค่สองอย่าง คือหนึ่งคุณหนูใหญ่ต้องการหมั้นหมายให้หลานสาว ทำไมไม่มาปรึกษาพี่สะใภ้แต่กลับไปปรึกษาพี่ชายตัวเอง สองนางทำผิดต่ออี๋เจินตรงไหน ทำไมต้องมาทำร้ายบุตรสาวของนางเช่นนี้
ใต้เท้าเซี่ยงรู้ว่าหากยังพูดต่อไปสิ่งที่ภรรยาอยากรู้นั้นไม่ได้มีเพียงแค่สองอย่างนี้แน่ๆ
เขาไม่อยากพูดอ้อมค้อมกับนายหญิงเซี่ยงแล้ว จึงถามภรรยาตามตรง “เจ้าไม่พอใจการหมั้นหมายนี้ หรือไม่พอใจที่อี๋เจินไม่ได้มาปรึกษาเจ้า”
นายหญิงเซี่ยงได้ฟังก็ชะงักไปครู่หนึ่ง “ข้าไม่พอใจทั้งสองอย่าง!”
“เช่นนั้นพวกเรามาพูดเรื่องการหมั้นหมายกันก่อน” ใต้เท้าเซี่ยงดึงความสงบและสติออกมาเพื่อจัดการกับเรื่องนี้ “พูดไปพูดมาเจ้าก็แค่รู้สึกว่ามารดาผู้ให้กำเนิดของอวี้เกอเป็นสาวใช้ ฐานะต่ำต้อย แต่ไม่ว่าเขาจะต่ำต้อยเพียงใดเขาก็เป็นบุตรชายคนโตของหย่งผิงโหวสวีลิ่งอี๋ตามลำดับวงศ์สกุล มิเช่นนั้นจะแต่งงานกับสกุลเซี่ยงของเราได้อย่างไร อีกอย่างหย่งผิงโหวก็สามารถดูแลพี่น้องของตัวเองได้ดีขนาดนั้น นับประสาอะไรกับอวี้เกอที่เป็นบุตรชายคนโต”
“ข้า…” นายหญิงเซี่ยงกำลังอ้าปากจะพูดอะไรบางอย่าง แต่ใต้เท้าเซี่ยงกลับยกมือห้าม “ฟังข้าพูดก่อน”จากนั้นก็พูดต่อว่า “ปีนี้หย่งผิงโหวพึ่งจะอายุเพียงยี่สิบแปดปี อย่างน้อยเขาก็ยังมีชีวิตอยู่ได้อีกสามสิบปี พวกตำแหน่งอะไรนั่นก็ต้องรอให้เขาตายก่อนบุตรชายถึงจะได้สืบทอด” พูดพลางมองภรรยาด้วยสายตาเย็นชา “แทนที่จะเอาแต่คิดถึงสิ่งเหล่านั้น ไม่สู้ฉวยโอกาสตอนที่เขายังแข็งแรงและมั่นคงแยกจวนออกมา ดีเสียกว่าการไปแต่งงานกับลูกหลานของขุนนางทั่วไปเป็นร้อยเท่า หรือว่าเจ้าคิดว่าฉินอี๋เหนียงผู้นั้นจะทำตัวเป็นมารดาของอวี้เกอต่อหน้าภรรยาเอกได้เช่นนั้นหรือ ส่วนเรื่องที่อี๋เจินไม่มาปรึกษาเจ้า” เมื่อพูดถึงตรงนี้แววตาของใต้เท้าเซี่ยงก็ดูหงุดหงิด “เจ้าจะให้อี๋เจินมาปรึกษาเจ้าได้อย่างไร ในปีนั้นที่โหรวจิ่นป่วยมีผื่นขึ้นตามตัว นางก็ทำทุกอย่างเพื่อขอยารักษาจากในวัง เจ้าจำได้หรือไม่ว่าเจ้าพูดว่าอะไร เจ้าบอกว่าจะกินยามั่วซั่วได้อย่างไร จากนั้นก็ให้สาวใช้นำยาไปเก็บไว้ในตู้ต่อหน้าอี๋เจิน ต่อมาอี้จยาต้องเข้ารับการศึกษา อาจารย์ที่เคยสอนคัมภีร์ให้กับอี๋เจินกำลังว่างอยู่พอดี นางจึงแนะนำให้แก่เจ้า แล้วเจ้าพูดว่าอย่างไรจำได้หรือไม่ เจ้าบอกว่าเด็กยังเล็กเกินไป ควรเรียนบทเรียนปฐมวัยให้เสร็จสมบูรณ์ก่อนแล้วค่อยเรียนคัมภีร์…”
ยิ่งใต้เท้าเซี่ยงพูดเสียงก็ยิ่งดังขึ้นเรื่อยๆ สีหน้าของนายหญิงเซี่ยงก็ยิ่งแย่ลง อดไม่ไหวจึงพูดขึ้นมาว่า “ท่านก็โทษแต่ข้า ทำไมไม่โทษคุณหนูใหญ่บ้าง ตอนนั้นนางพูดว่าอะไรจำไม่ได้หรือ นางบอกว่าขอยารักษามาจากวังหลวง แต่ตอนที่นางเห็นยาที่พี่สะใภ้ข้าส่งมานางพูดว่าอะไรท่านรู้ไหม” นายหญิงเซี่ยงยิ้มอย่างเยือกเย็น “หากไม่รู้จริงก็ควรระวังไว้จะดีกว่า หรือจะบอกว่าสิ่งที่นางให้คือยารักษาแต่สิ่งที่พี่สะใภ้ข้าให้คือยาพิษ ตอนที่อี้จยาต้องเข้ารับการศึกษานางก็ได้แนะนำอาจารย์มา รู้ไหมว่านางพูดอย่างไรบ้าง นางบอกว่ากวีนิพนธ์เหล่านี้ล้วนเป็นของไร้สาระ มีเพียงเมธีร้อยสำนักเท่านั้นจึงจะเป็นนักปราชญ์ที่แท้จริง…ทำเหมือนคนอื่นไม่รู้หนังสือ มีเพียงนางที่เข้าใจคัมภีร์ เป็นคนมีเหตุผลอยู่คนเดียว ”
“อี๋เจินบอกเมื่อไรว่าบทกวีนิพนธ์เป็นของไร้สาระ” ใต้เท้าเซี่ยงท่าทางไม่เข้าใจ “นางแค่บอกว่าอาจารย์ที่พี่ชายของเจ้าแนะนำให้อี้จยานั้นให้ความสำคัญกับบทกวีนิพนธ์มากเกินไป หลังจากนี้อี้จยาจะต้องเข้าร่วมการสอบ แทนที่จะทุ่มแรงกายแรงใจเรียนรู้เรื่องพวกนี้ ไม่สู้มาทุ่มเทเรียนรู้บันทึกสี่ตำราจะดีกว่า นอกจากนี้นี่ก็เป็นคำพูดของท่านพ่อตอนที่มีชีวิตอยู่ เจ้าช่างขยันสร้างเรื่องเสียจริงๆ!”
“ข้าขยันสร้างเรื่องอย่างนั้นหรือ!” นายหญิงเซี่ยงถลึงตาใส่ด้วยความโมโห “ข้าสร้างเรื่องตั้งแต่เมื่อไรกัน การที่นางเอาบุตรสาวข้าไปซื้อน้ำใจคนจวนหย่งผิงโหวนั้นเป็นเรื่องจริง…”
“เอาล่ะ เอาล่ะ” ใต้เท้าเซี่ยงส่ายหน้าเบาๆ ตัดสินใจหยุดแต่เพียงเท่านี้ นายหญิงเซี่ยงจะได้ไม่โกรธเคืองจนเอาเรื่องเล็กๆ น้อยๆ มาพัวพันไปด้วย “เรื่องเหล่านี้ก็ผ่านไปนานแล้ว พวกเราไม่ต้องพูดถึงอีก เรื่องในตอนนี้คือการหมั้นหมายของบุตรสาว จะให้ทุกอย่างล่าช้าเพราะมัวแต่โกรธอี๋เจินไม่ได้…”
นายหญิงเซี่ยงแสยะยิ้ม “ข้าจะไปโกรธคุณหนูใหญ่ได้อย่างไร แล้วทำไมข้าต้องโกรธคุณหนูใหญ่ด้วย นายท่านพูดถูก นี่เป็นเรื่องการหมั้นหมายของบุตรสาว จะให้ล่าช้าเพราะเรื่องวุ่นวายเหล่านั้นไม่ได้ โหรวเน่อเป็นแก้วตาดวงใจของข้า ข้าทนไม่ได้ที่นางแต่งเข้าไปแล้วต้องเผชิญกับความลำบาก ข้าไม่มีทางเห็นด้วย แต่นายท่านกลับต้องเห็นด้วยเพราะเห็นแก่คุณหนูใหญ่ ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ข้าว่าก็ไม่จำเป็นต้องฟังความเห็นข้า แล้วก็ไม่จำเป็นต้องฟังความเห็นนายท่าน พวกเราไปพูดเรื่องนี้กับท่านพ่อของข้า ท่านพ่อของข้ากับพ่อสามีเป็นสหายกัน และเคยทำงานอยู่ศาลว่าการด้วยกัน รู้จักกฎหมายอาญาของต้าโจวดี ไม่รู้ว่าตัดสินคดีความไปแล้วเท่าไร คงจะไม่หลับหูหลับตาตัดสินเรื่องนี้หรอกกระมัง!” พูดพลางตะโกนเรียกสาวใช้ส่วนตัว
เมื่อเจอเรื่องไม่สบายใจก็เอาแต่กลับสกุลเดิมไปหาพ่อตาและบรรดาพี่ชายเพื่อปรึกษาปัญหา!
ใต้เท้าเซี่ยงโมโหถึงขีดสุด “ก็ดี ข้าก็อยากไปพูดเรื่องนี้กับพ่อตาอยู่แล้ว คิดถึงตอนนั้นที่พี่เขยใหญ่ไม่อยู่แล้ว เป็นช่วงเวลาที่สกุลสวีมีหลายเรื่องให้ต้องกลัดกลุ้ม บรรดาสะใภ้ผลัดกันไปปลอบใจ แต่เจ้ากลับเอาแต่ติดตามข้าไปเข้ารับตำแหน่ง ไม่เพียงเท่านั้นยังเหลือคนเฒ่าเพียงแค่สองสามคนไว้ดูแลเรือน ส่วนบ่าวรับใช้ สาวใช้และคนใช้แรงงานต่างก็แยกย้ายกันไป บางคนก็พาติดตามมาด้วย พออี๋เจินกลับมาสกุลเดิมก็ไม่มีใครอยู่ดูแล ดีเหมือนกันข้าจะได้อาศัยโอกาสนี้บอกกับพ่อตา ดูว่าเมื่อเจอเรื่องเช่นนี้ ผู้พิพากษาของต้าโจวจะตัดสินอย่างไร!” พูดจบก็ไม่แม้แต่จะมองนายหญิงเซี่ยง เดินตรงออกไปเรียกผู้ดูแลด้านนอก “เตรียมรถม้า ข้ากับนายหญิงจะไปจวนนายท่าน!” แล้วทิ้งนายหญิงเซี่ยงไว้ในห้อง
เพิ่มขนาดช่อง ดึงมุมขวามือลง