ร้อยรักปักดวงใจ - ตอนที่ 285 จัดการ(กลาง)
“พี่สะใภ้สองเป็นบุตรสาวที่แต่งงานออกเรือนไปแล้ว สกุลเดิมก็มีพี่ชายและพี่สะใภ้ พี่สะใภ้สองจะพูดอะไรได้” สวีลิ่งอี๋พูด “พี่สะใภ้สองส่งคนไปรายงานนายหญิงเซี่ยงตั้งแต่เช้าเมื่อวานแล้ว บอกว่าเรื่องของสกุลเซี่ยงให้ใต้เท้าเซี่ยงเป็นคนตัดสินใจก็พอ”
“มันเหมือนที่เราคาดเดาเอาไว้ก็ดีแล้วเจ้าค่ะ!” สืออีเหนียงรู้สึกโล่งใจ
มีบ่าวรับใช้เข้ามารายงาน “ท่านโหวขอรับ ใต้เท้าหม่ามาขอรับ!”
สวีลิ่งอี๋ได้ยินเช่นนี้ก็ลุกขึ้นทันที “เชิญใต้เท้าหม่าไปรอที่ห้องหนังสือก่อน” จากนั้นก็หันมาพูดกับสืออีเหนียง “กรมพิธีการร่างรายชื่อพระชายาขององค์ชายใหญ่ ข้าบอกให้หม่าจั่วเหวินมารายงานข้า”
หากภาคภายหน้าองค์ชายใหญ่จะได้รับทรัพย์สมบัติชิ้นใหญ่ เช่นนั้นการเลือกพระชายาขององค์ชายใหญ่ก็จะเกี่ยวข้องกับความสัมพันธ์ในอนาคตของสกุลสวีและราชวงศ์
สืออีเหนียงรีบลุกขึ้นออกไปส่งสวีลิ่งอี๋ หลังจากกลับมาก็จิตใจว้าวุ่น
ไม่รู้ว่าองค์ชายใหญ่จะเลือกผู้ใดกัน
นางพึ่งจะไม่สบายใจก็มีสาวใช้เข้ามารายงาน “ไต้ซือจี้หนิงมาเจ้าค่ะ”
หลบหน้าหลบตาตั้งหลายวัน แต่สุดท้ายก็หลบไม่พ้นอยูดี
สืออีเหนียงลอบถอนหายใจ “เชิญนางเข้ามาเถิด” จากนั้นก็ออกไปที่ห้องโถง
ไต้ซือจี้หนิงสวมชุดสีฟ้า ยิ้มอย่างเป็นมิตรพลางคำนับสืออีเหนียง
สืออีเหนียงไม่ได้เอ่ยถามเจตนาของนาง ทำเพียงแค่ยกชามาต้อนรับ “นี่เป็นชาหลงจิ่งสมัยก่อนราชวงค์หมิงที่ไท่ฮูหยินมอบให้เจ้าค่ะ”
ไต้ซือจี้หนิงก็ไม่ได้เอ่ยถึงเหตุผลที่ตนมาหานาง ยิ้มแล้วจิบชา จากนั้นก็พูดชื่นชมว่าเป็นชาชั้นดี
ทั้งสองคนไม่ยอมพูดอะไร คนหนึ่งชักช้าลีลา อีกคนหนึ่งก็เงียบสงบราวกับสายลมในฤดูใบไม้ผลิ พูดเรื่องไร้สาระอยู่นาน แต่สายตาที่สืออีเหนียงใช้มองไต้ซือจี้หนิงกลับเปลี่ยนไป คนที่พูดจาเป็นแล้วยังมีความอดทนเช่นนี้ ใครกันจะกล้าดูถูก จึงบอกหู่พั่ว “ต่อไปหากเจอไต้ซือจี้หนิง พวกเจ้าต้องพูดจาระมัดระวังเพิ่มอีกสักหน่อย”
หู่พั่วคำนับแล้วตอบรับ “เจ้าค่ะ” เจินเจี่ยเอ๋อร์ก็มาพอดี
“ท่านแม่ ท่านแม่เจ้าคะ” นางหน้าแดง ใบหน้าเต็มไปด้วยความดีใจ ปรี่เข้ามาจับแขนเสื้อของสืออีเหนียงและกระซิบบอก “…ข้ากับฟังเจี่ยเอ๋อร์แอบไปดูคุณชายเติ้งมาเจ้าค่ะ” นางพูดเสียงเบา บอกเล่าความลับของตัวเองให้สืออีเหนียงฟังอย่างมีความสุข “แต่น่าเสียดายที่คนเยอะเกินไป ไม่รู้ว่าคนที่เราเห็นคือคุณชายเติ้งแน่หรือไม่”
เด็กผู้หญิงอายุสิบสามสิบสี่ปี คือช่วงเวลาที่สวยงาม ไร้เดียงสาและสดใสร่าเริง
“อ้อ!” สืออีเหนียงมองไปที่นางด้วยรอยยิ้ม “แล้วเป็นอย่างไรบ้าง”
จู่ๆ เจินเจี่ยเอ๋อร์ก็นั่งตัวตรง ยิ้มแล้วพูดว่า “ท่านแม่ยุ่งหรือไม่เจ้าคะ หากท่านยุ่ง ประเดี๋ยวข้าค่อยกลับมา”
คงจะนึกถึงเรื่องครั้งก่อนขึ้นมา!
สืออีเหนียงยิ้มแล้วพูดว่า “ช่วงบ่ายไม่มีเรื่องอันใด”
เจินเจี่ยเอ๋อร์ได้ยินเช่นนี้ก็พิงที่ไหล่นาง “ฮุ่ยเจี่ยเอ๋อร์และคุณชายเติ้งแลกหนังสือผูกดวงกันแล้ว ฟังเจี่ยเอ๋อร์จึงบอกว่าจะไปช่วยฮุ่ยเจี่ยเอ๋อร์ดู สือเอ้อร์เหนียงไม่ยอมไป แต่คุณหนูสกุลหลี่อยากไป ฟังเจี่ยเอ๋อร์จึงบอกว่าถ้าเช่นนั้นก็ไม่ไปแล้ว แต่กลับแอบลากข้าไปลับหลังสองคนนั้นเจ้าค่ะ”
“ประเดี๋ยวก่อน” สืออีเหนียงพูดขัดจังหวะนาง “หรือว่าพวกเจ้าไปที่เรือนของคุณชายเติ้ง?”
“ไม่ใช่เจ้าค่ะ ไม่ใช่เจ้าค่ะ” เจินเจี่ยเอ๋อร์รีบโบกมือปฏิเสธพัลวัน “เราดื่มชาอยู่ที่ห้องรับรองแขกในห้องหลักของคุณนายใหญ่สกุลหลิน ได้ยินสาวใช้บอกว่าคุณชายสองสามคนของสกุลเซ่า รวมถึงคุณชายเติ้งมาคารวะคุณนายใหญ่สกุลหลิน จึงแอบดูผ่านม่านบังลมเจ้าค่ะ”
สืออีเหนียงหัวเราะ พลันนึกถึงกานหลานถิงขึ้นมา
“แล้วหลังจากนั้นเป็นอย่างไรหรือ” นางถามเจินเจี่ยเอ๋อร์
เจินเจี่ยเอ๋อร์พูดว่า “สาวใช้บอกว่าคุณชายเติ้งสวมเสื้อคลุมสีเขียว แต่ที่นั่นมีสองคนที่สวมเสื้อคลุมสีเขียวจึงไม่รู้แน่ชัดว่าคนไหนคือคุณชายเติ้ง แต่คุณชายทั้งสองคนล้วนสง่างาม เหมาะสมกับฮุ่ยเจี่ยเอ๋อร์เจ้าค่ะ” นางพูดแล้วก็หน้าแดงขึ้นมาอย่างเขินอาย
สืออีเหนียงเห็นเช่นนี้แล้วก็ยิ้ม “ท่านปู่และท่านลุงของฮุ่ยเจี่ยเอ๋อร์เป็นคนเลือก คงจะมองคนไม่ผิดกระมัง”
เจินเจี่ยเอ๋อร์พยักหน้าแล้วพูดว่า “แต่ได้ยินมาว่างานแต่งงานของอาหญิงห้าของสกุลหลินล้มเลิกอีกแล้วเจ้าค่ะ”
สืออีเหนียงตกใจ “นางไม่ถูกใจเขาหรือ”
“ไม่ใช่เจ้าค่ะ”
เจินเจี่ยเอ๋อร์พูด “ดวงไม่สมพงศ์กันเจ้าค่ะ”
เช่นนี้ก็แสดงว่าฝ่ายชายไม่ถูกใจฝ่ายหญิง!
เรื่องงานแต่งงานของคุณหนูห้าสกุลหลินผู้นี้ช่างยากเย็นเสียจริง!
“ดังนั้นหลินฮูหยินจึงไม่พอใจเป็นอย่างมาก” เจินเจี่ยเอ๋อร์พูดต่อ “ทำให้บรรยากาศในจวนอึดอัดไม่น้อยเจ้าค่ะ”
“เช่นนั้น พวกเจ้าจัดงานเลี้ยงฤดูใบไม้ผลิ หลินฮูหยินว่ากล่าวอะไรหรือไม่”
“ไม่ได้ว่าอะไรเจ้าค่ะ” เจินเจี่ยเอ๋อร์ยิ้ม “ไม่เพียงแต่ไม่ว่าอะไร แล้วตอนบ่ายยังมาเล่นสนุกกับพวกข้า ฮุ่ยเจี่ยเอ๋อร์เองก็บอกว่า โชคดีที่จัดงานเลี้ยงฤดูใบไม้ผลิ ไม่เช่นนั้นคงจะอึดอัดน่าดู”
หลินฮูหยินคงจะไม่พอใจเรื่องงานแต่งงานของบุตรสาวตัวเอง เลยถือโอกาสนี้พักผ่อน!
สืออีเหนียงครุ่นคิดแล้วถามว่า “เช่นนั้นฮุ่ยเจี่ยเอ๋อร์คงจะยังแต่งงานตอนนี้ไม่ได้”
“เจ้าค่ะ” เจินเจี่ยเอ๋อร์พยักหน้า “ดังนั้นทุกคนที่ได้ยินเช่นนี้ จึงดีใจเป็นอย่างมาก” จากนั้นก็ยิ้ม “แต่ว่าเราไม่ได้หวังว่าอาหญิงห้าสกุลหลินจะแต่งออกไปไม่ได้นะเจ้าคะ”
นางมีท่าทีสดใสร่าเริง
ทำเอาสืออีเหนียงหัวเราะออกมา
เจินเจี่ยเอ๋อร์มีเพื่อนที่อายุเท่ากันแล้วร่าเริงขึ้นไม่น้อย
พวกนางสองคนพูดคุยหัวเราะกันอย่างสนุกสนาน เห็นว่าสายมากแล้ว เจินเจี่ยเอ๋อร์ก็กลับไปเปลี่ยนเสื้อผ้าที่เรือนเสาหวากับสืออีเหนียง จากนั้นก็พาสวีซื่อเจี้ยไปทานอาหารเย็นที่เรือนของไท่ฮูหยิน
ไท่ฮูหยินถามถึงเรื่องงานเลี้ยงฤดูใบไม้ผลิ
“…แม่ครัวทำขนมผักกาด รสชาติไม่ฝาดเหมือนขนมผักกาดทั่วไป แต่ทานแล้วกลับหอมหวาน” เจินเจี่ยเอ๋อร์ยิ้มแล้วตอบคำถามไท่ฮูหยิน แต่กลับปิดบังเรื่องที่ตัวเองและฟังเจี่ยเอ๋อร์แอบไปดูคุณชายเติ้ง
ผ่านไปไม่นาน สวีซื่ออวี้และจุนเกอก็เลิกเรียน มาคารวะไท่ฮูหยิน
สวีลิ่งอี๋ก็กลับมาพอดี
ฮูหยินสองกำลังจะให้ป้าตู้ไปดูที่ลานข้างนอก จ้าวอิ่งก็เข้ามา “ท่านโหวบอกว่ามีแขก ไม่มาทานข้าวเย็นแล้ว บอกให้ไท่ฮูหยินและฮูหยินไม่ต้องรอแล้วขอรับ เสร็จธุระแล้วก็จะมาคารวะไท่ฮูหยินขอรับ”
“ใครมากัน” ไท่ฮูหยินได้ยินเช่นนี้ก็ถามขึ้นด้วยความแปลกใจ
จ้าวอิ่งยิ้มแล้วพูดว่า “หม่าจั่วเหวิน ใต้เท้าหม่ามาขอรับ”
ได้ยินแล้วไท่ฮูหยินก็ไม่ถามอะไรต่อ ยิ้มแล้วพูดกับสืออีเหนียงว่า “ในเมื่อเขาไม่กลับมาแล้ว เช่นนั้นเราก็ทานกันก่อนเถิด”
สืออีเหนียงยิ้มแล้วพยักหน้า จากนั้นก็พาไท่ฮูหยินไปที่ห้องปีกทางทิศตะวันออก
ตกดึก สวีลิ่งอี๋กลับมาดึกไม่น้อย
สืออีเหนียงพักผ่อนแล้วได้ยินเสียงเขา จึงเอ่ยเรียก “ท่านโหว” ด้วยความงัวเงีย เมื่อได้ยินเสียงเขาตอบรับ นางก็พลิกตัวนอนหลับไป
ทันใดนั้น ก็รู้สึกว่ามีคนกอดรัดตัวเอง
“สวีลิ่งอี๋!” นางเรียกด้วยเสียงสะลึมสะลือ
“อืม” ได้ยินเสียงหัวเราะอย่างมึนเมาดังอยู่ข้างหู
สืออีเหนียงเงยหน้าขึ้นก็สบกับดวงตาที่เป็นประกาย…จึงหลับตาลงด้วยความเกียจคร้าน จากนั้นก็นอนกอดแขนเขาหลับไป…
ตื่นมาตอนเช้า นางนอนอยู่บนเตียงคนเดียว เสื้อผ้าบนตัวเป็นระเบียบเรียบร้อย ทำให้นางรู้สึกตกใจ แยกไม่ออกว่าเมื่อคืนนั้นคือความฝันหรือว่าเรื่องจริง
นางลุกขึ้นแล้วถอดเสื้อผ้าออกดู
รอยสีแดงจางๆ ที่อยู่เหนือเสื้อชั้นในสีเขียว คือรอยจูบที่หลงเหลืออยู่ราวกับหิมะในวันแรก
สืออีเหนียงหดตัวเข้าไปในผ้าห่มราวกับนกกระจอกเทศ จากนั้นก็เรียกเยี่ยนหรงที่เฝ้ายามอยู่เข้ามารับใช้นางสวมเสื้อผ้า
“ท่านโหวออกไปตั้งแต่เช้าแล้วเจ้าค่ะ” เยี่ยนหรงพูดเบาๆ “คุณชายน้อยสอง คุณหนูใหญ่ คุณชายน้อยห้า และบรรดาอี๋เหนียงล้วนแต่รอคารวะท่านอยู่ด้านนอก” พูดจบนางก็หยุดชะงักเล็กน้อย “เฉียวอี๋เหนียงก็มาแล้วเจ้าค่ะ”
“อืม” สืออีเหนียงเลิกคิ้ว สวมเสื้อกั๊กยาวสีเหลือง ติดต่างหูดอกกล้วยไม้หยกสีทอง จากนั้นก็เดินไปที่ห้องโถง
เฉียวเหลียนฝังผ่ายผอมลงไปไม่น้อย นางสวมเสื้อผ้าฝ้ายสีเขียว สวมกระโปรงผ้าไหมสีฟ้า ม้วนผมเป็นมวย สีหน้าดูโศกเศร้า แต่ช่างมีเสน่ห์ราวกับดอกบัวที่ส่องประกายอยู่ในน้ำก็ไม่ปาน
เมื่อเห็นสืออีเหนียงเดินเข้ามา นางก็เดินเข้ามาคำนับแล้วเรียก “ฮูหยิน” ด้วยท่าทีที่ถ่อมตน
สืออีเหนียงยิ้มอย่างแผ่วเบาแล้วพยักหน้า
เหวินอี๋เหนียงยิ้มแล้วเดินเข้ามาคำนับสืออีเหนียงเช่นกัน “ฮูหยิน วันนี้สีหน้าของท่านช่างดีเสียจริงเจ้าค่ะ”
สืออีเหนียงเห็นเจินเจี่ยเอ๋อร์ที่จับมือสวีซื่อเจี้ยอยู่ข้างๆ ก็ยิ้มแล้วพูดว่า “อาจจะเป็นเพราะว่าฤดูใบไม้ผลิแล้ว”
เหวินอี๋เหนียงได้ยินเช่นนี้ก็พยักหน้าซ้ำ ๆ “ใช่เจ้าค่ะ อากาศอบอุ่น จิตใจของผู้คนก็ดีขึ้นไม่น้อย”
ฉินอี๋เหนียงถือโอกาสเดินเข้ามาคำนับสืออีเหนียง
สืออีเหนียงเดินไปนั่งลงบนเก้าอี้ไท่ซือที่อยู่ในห้องโถง
สวีซื่ออวี้พาเจินเจี่ยเอ๋อร์และสวีซื่อเจี้ยเข้าไปคารวะนาง
สืออีเหนียงยกชาขึ้นมาจิบ จากนั้นก็บอกให้บรรดาอี๋เหนียงแยกย้ายกันกลับเรือน บอกให้เด็กๆอยู่ทานข้าวเช้าที่นี่ จากนั้นก็ไปที่เรือนของไท่ฮูหยิน
จุนเกอรออยู่ข้างนอกอยู่แล้ว คำนับสืออีเหนียงเรียบร้อย จากนั้นก็ไปคารวะไท่ฮูหยินด้วยกัน สวีซื่ออวี้และจุนเกอไปเรียนหนังสือ เจินเจี่ยเอ๋อร์กลับไปที่เรือนเสาหวา สะใภ้หนานหย่งอุ้มสวีซื่อเจี้ยกลับไปที่ห้องลี่จิ่งเซวียน สืออีเหนียงจึงกลับไปที่โถงบุปผา
บรรดาท่านป้าผู้ดูแลต่างก็เข้ามาขอคำแนะนำจากนาง
แม้กระทั่งเจี๋ยเซียงก็ขอพบนาง
“…ฮูหยินสองอยากกลับสกุลเดิม รบกวนฮูหยินสี่ช่วยจัดรถม้าให้หน่อยเจ้าค่ะ”
สืออีเหนียงบอกให้หู่พั่วไปหยิบป้ายคู่ของตัวเองออกมาจัดการเรื่องที่ฮูหยินสองจะกลับสกุลเดิม
ตกเย็น พวกนางสองคนไปเจอหน้ากันที่เรือนของไท่ฮูหยิน นางส่งยิ้มและพยักหน้าให้สืออีเหนียง
สืออีเหนียงคำนับนางอย่างมีมารยาท
ไท่ฮูหยินพูดว่า “คุณชายสี่บอกว่าวันนี้มีธุระ บอกให้พวกเราไม่ต้องรอเขา”
สืออีเหนียงยิ้มแล้วตอบรับ “เจ้าค่ะ” จากนั้นก็สั่งให้สาวใช้ยกอาหารเข้ามา
ฮูหยินสองประคองไท่ฮูหยินไปที่ห้องปีกทางทิศตะวันออก
หลังจากทานข้าวเสร็จ ฮูหยินสองกับเจินเจี่ยเอ๋อร์ก็กลับไปที่เรือนเสาหวาด้วยกัน
สืออีเหนียงรับใช้ไท่ฮูหยินพักผ่อน ซักถามเรื่องการเรียนของจุนเกอ จากนั้นก็กลับไปที่เรือนศาลาริมน้ำฉุยหลุน
แต่กลับพบกับฮูหยินสอง
สืออีเหนียงตกใจ
ฮูหยินสองยิ้มแล้วเอ่ยทักทายนาง “น้องสะใภ้สี่กลับมาแล้วหรือ” จากนั้นก็พูดว่า “ท่านโหวให้ข้าไปสืบเรื่องมาเรื่องหนึ่ง ข้าจึงมารายงานกับท่านโหว” นางอธิบายเจตนาของตัวเอง จากนั้นก็พาเจี๋ยเซียงกลับไป
สืออีเหนียงยืนตกใจอยู่ตรงนั้นสักพัก จากนั้นก็กลับไปที่ห้อง
สวีลิ่งอี๋เมื่อเห็นนาง ใบหน้าของเขาก็เต็มไปด้วยรอยยิ้ม พลางกวักมือเรียกนางให้เข้ามา “ข้ามีเรื่องจะคุยกับเจ้า”
สืออีเหนียงเดินเข้าไปด้วยความสงสัย
“ข้าจะจัดงานแต่งงานกับสกุลเซี่ยง” ใบหน้าของเขาปกปิดความดีใจเอาไว้ไม่อยู่ “หมั้นอวี้เกอกับคุณหนูสองของสกุลเซี่ยง เจ้าคิดเห็นว่าอย่างไร”
สองวันก่อนสวีลิ่งอี๋ไปที่เรือนเสาหวา วันนี้ฮูหยินสองมาหาสวีลิ่งอี๋…นางดูเหมือนจะเข้าใจทุกอย่างแล้ว แต่ก็ดูเหมือนจะไม่เข้าใจอะไรสักอย่างเช่นกัน
“ท่านโหวตัดสินใจเมื่อไรเจ้าคะ”
ความอ่อนโยนบนใบหน้าของสืออีเหนียงค่อยๆ จางหายไป
สีหน้าของสวีลิ่งอี๋พลันหม่นหมองลง “วันนั้นที่ได้เจอกับใต้เท้าเซี่ยง ก็มีความคิดเช่นนี้แล้ว”
อย่างนั้นก็แสดงว่าไม่ใช่ความต้องการของฮูหยินสอง
“สกุลเซี่ยงเห็นด้วยหรือไม่เจ้าคะ” สายตาที่สืออีเหนียงมองสวีลิ่งอี๋ ถึงแม้ว่าจะดูสงบนิ่ง แต่เจือไปด้วยความเย็นชา
“เมื่อครู่พี่สะใภ้สองมาก็เพราะว่าเรื่องนี้” สวีลิ่งอี๋รู้สึกถึงความไม่พอใจของสืออีเหนียง สีหน้าของเขาก็หม่นลง “ใต้เท้าเซี่ยงก็เห็นดีด้วย”
“ท่านโหวตัดสินใจที่จะจัดงานแต่งงานกับสกุลเซี่ยง จากนั้นก็ให้พี่สะใภ้สองไปพูดกับสกุลเซี่ยงว่าจะขอหมั้นหมายกับคุณหนูสองของสกุลเซี่ยง” สืออีเหนียงพูดด้วยน้ำเสียงที่ช้าเนิ่บนาบ แต่กลับเยือกเย็นราวกับน้ำค้างแข็ง “ในเมื่อตัดสินใจเอาไว้ทุกอย่างแล้ว ไม่รู้ว่าเมื่อครู่นี้ที่ท่านโหวเรียกข้า ยังมีเรื่องอันใดอีกหรือเจ้าคะ”
เพิ่มขนาดช่อง ดึงมุมขวามือลง