ร้อยรักปักดวงใจ - ตอนที่ 233 ความเป็นความตาย(กลาง)
เมื่อได้ยินข่าวว่าหวังหลังตายแล้ว สืออีเหนียงพลันนิ่งงันไปชั่วขณะ
หวังหลังตายแล้ว?
ตายได้อย่างไร
เมื่อคิดถึงเรื่องที่เขาทำกับสือเหนียง ก็คิดถึงอารมณ์ของสือเหนียงขึ้นมาทันที
คงจะไม่ใช่สือเหนียงหรอกกระมัง…
เมื่อคิดเช่นนี้ นางก็เหงื่อแตกพลั่ก
อย่าลืมว่าในสังคมนี้บุรุษตบตีสตรีไม่ใช่เรื่องใหญ่ แต่หากสตรีฆ่าบุรุษ แปดถึงเก้าในสิบส่วนต้องชดใช้ด้วยชีวิต
หวังว่าสือเหนียงจะไม่ทำอะไรโง่ๆ เช่นนั้น!
อย่าลืมไปว่าพวกนางเป็นบุตรสาวอนุ หากเป็นอย่างที่คิดจริงๆ ก็ต้องพิสูจน์ให้ชัดเจนว่าความผิดทั้งหมดเป็นของหวังหลัง มิเช่นนั้นสกุลหลัวคงไม่ออกหน้าให้พวกนางอย่างแน่นอน
นางอดไม่ได้ที่จะหันไปมองสวีลิ่งอี๋
กลับเห็นสวีลิ่งควนที่อยู่ฝั่งตรงข้ามลุกขึ้นมา “อะไรนะ หวังหลังตายแล้วหรือ เมื่อไร ตายอย่างไร”
สวีลิ่งอี๋เห็นภรรยามองมาด้วยสายตาวิตกกังวล นิ่งไปครู่หนึ่งก่อนจะพูดขึ้นมาว่า “เรื่องเกิดขึ้นช่วงบ่ายตอนยามโหย่ว เขาดื่มมากเกินไปแล้วไปขัดแย้งกับผู้อื่น ศาลว่าการรู้ถึงความสัมพันธ์ของพวกเราสองสกุลจึงส่งคนมาบอกข้า”
เล่าอย่างกะทัดรัด ไม่มีการยืดเยื้อ
สืออีเหนียงฟังแล้วรู้สึกแปลกๆ เหมือนกับว่าสวีลิ่งอี๋กำลังหลบเลี่ยงอะไรบางอย่าง
แต่พอเห็นว่าเรื่องนี้ไม่เกี่ยวอะไรกับสือเหนียงก็อดถอนหายใจด้วยความโล่งอกไม่ได้
ขณะที่กำลังจะเอ่ยปากถาม ไท่ฮูหยินก็เอ่ยขึ้นด้วยความเป็นห่วงว่า “จับผู้ร้ายได้แล้วหรือยัง ต้องส่งคนไปปลอบใจสกุลหวังหรือไม่”
“คนที่แจ้งความคือ…เถ้าแก่ คนร้ายถูกจับได้ทันทีในที่เกิดเหตุ” ตอนที่สวีลิ่งอี๋พูดประโยคนี้ดูมีความลังเล แต่ไม่นานก็กลับมาสงบนิ่งเหมือนเดิม “คนตายก็เหมือนกับตะเกียงที่ดับลง ก่อนหน้านี้ข้ากลัวว่าเจ้าห้าจะไปพัวพันกับหวังหลัง ตอนนี้หวังหลังไม่อยู่แล้ว อย่างไรเสียทั้งสองสกุลก็ถือว่าเป็นดองกัน ตามเหตุผลก็ควรจะส่งคนไปปลอบใจ แต่วันนี้ดึกมากแล้ว สกุลหวังก็พึ่งได้รับข่าวร้ายเช่นกัน ตอนนี้เป็นช่วงเวลาที่โศกเศร้าเสียใจ ไว้พรุ่งนี้ค่อยส่งคนไปเถิด”
ไท่ฮูหยินพยักหน้า สีหน้าโศกเศร้า “หวังหลังเป็นบุตรชายคนเดียว…ในตอนนี้สกุลหวังราวกับจะล่มสลายไป” พูดพลางเหมือนนึกอะไรขึ้นมาได้จึงเอ่ยถามสืออีเหนียงว่า “เขาได้เหลือทายาทไว้หรือไม่”
สืออีเหนียงส่ายหน้า “ไม่มีเจ้าค่ะ”
นางคิดถึงสือเหนียงที่ต้องเผชิญความยากลำบาก แล้วคิดถึงการแท้งบุตรของจินเหลียน…ไม่รู้ว่าตอนที่หวังหลังตายเขาได้คิดถึงเรื่องนี้หรือไม่ รู้สึกเสียใจกับสิ่งที่ตนทำลงไปหรือไม่
“เด็กคนนี้…” ไท่ฮูหยินได้ยินดังนั้นก็มีสีหน้าหม่นหมอง ส่ายหน้าพลางถอนหายใจ
ฮูหยินห้าพูดปลอบใจไท่ฮูหยินว่า “หวังหลังถูกตามใจจนไม่รู้จักที่ต่ำที่สูง กล้าทำในทุกๆ เรื่อง คนที่เดินริมแม่น้ำมีหรือรองเท้าจะไม่เปียก นี่ถือเป็นโชคร้ายของเขาเจ้าค่ะ”
“พวกเจ้าจะไปรู้อะไร การที่คนหัวขาวต้องมาส่งคนหัวดำนั้นเป็นสิ่งที่แย่ที่สุด” ไท่ฮูหยินพูดพลางน้ำตาคลอ
ป้าตู้เห็นดังนั้นก็รีบส่งผ้าเช็ดหน้าให้ “ไท่ฮูหยินเป็นอะไรไปเจ้าคะ บรรดาคุณชายทั้งหลายอยู่รอบกายท่าน แต่ท่านกลับร้องไห้”
“นั่นสิเจ้าคะ” ฮูหยินสามเห็นดังนั้นก็รีบยกถ้วยชาให้ไท่ฮูหยินอย่างกระตือรือร้น “ท่านดื่มชาร้อนๆ สักหน่อยเผื่อจะรู้สึกดีขึ้น”
“ท่านย่าอย่าเศร้าไปเลย” เด็กๆ พากันเข้าไปปลอบใจไท่ฮูหยิน
ไท่ฮูหยินรับผ้าเช็ดหน้าจากป้าตู้มาเช็ดหางตา แล้วรับถ้วยชามาจากฮูหยินสาม เห็นใบหน้าเล็กๆ ของเด็กๆ มองมาที่นางด้วยความกังวล ในใจพลันรู้สึกอบอุ่นขึ้นมา
“อายุมากแล้วก็มักจะอ่อนไหวกับเรื่องโศกเศร้าได้ง่าย” นางจิบชาก่อนจะพูดขึ้นว่า “นี่ก็ดึกมากแล้ว ทุกคนแยกย้ายกันไปเถิด มีอะไรค่อยว่ากันพรุ่งนี้”
ทุกคนตอบรับแล้วแยกย้ายกันไป
ป้าตู้ปรนนิบัติไท่ฮูหยินหวีผมล้างหน้า
“เรื่องของท่านโหว…จะให้บ่าวส่งคนไปถามหรือไม่เจ้าคะ”
“ไม่ต้องหรอก” ไท่ฮูหยินถอนหายใจยาว “เรื่องมาถึงจุดนี้แล้ว พูดมากไปก็ไม่มีประโยชน์ ให้เจ้าสี่สงบสติอารมณ์ก่อน เมื่อเขาคิดดีแล้วเขาก็จะมาบอกกับข้าเอง”
ป้าตู้พยักหน้า ปรนนิบัติไท่ฮูหยินเปลี่ยนชุดนอน
******
สวีลิ่งควนเงียบไปตลอดทางจนมาถึงเรือน
ฮูหยินห้าเห็นดังนั้นจึงรู้สึกกังวลเล็กน้อย ใช้ข้อศอกสะกิดเขา “เป็นอะไรไป”
สวีลิ่งควนไม่ได้พูดอะไร ไปล้างหน้าล้างตาด้วยความงัวเงียจากนั้นก็ขึ้นเตียงแล้วพักผ่อน
ฮูหยินห้าคิดอยู่ครู่หนึ่ง เบ้ปากแล้วพูดขึ้นว่า “ลิ่งควน เจ้าเป็นอะไรไป ไม่สบายใจหรือ ให้ข้าเรียกซงสยามาอยู่เป็นเพื่อนเจ้าดีหรือไม่”
ซงสยาเป็นสาวใช้ข้างกายระดับสองของฮูหยินห้า ตั้งแต่เสี่ยวหลานและคนอื่นๆ ไปเป็นสาวใช้ห้องข้าง นางจึงได้กลายเป็นคนคอยปรนนิบัติฮูหยินห้าอย่างใกล้ชิด และเป็นสตรีที่หน้าตางดงาม
“ไม่ต้องหรอก” สีหน้าของสวีลิ่งควนดูเป็นกังวล เขาเอื้อมมือไปกอดตานหยางไว้ในอ้อมแขน “ข้าไม่คิดเลยว่าหวังหลังจะตาย!”
ที่แท้ก็เพราะเรื่องนี้นี่เอง
อย่างไรเสียทั้งสองคนก็รู้จักกันมาตั้งแต่เด็ก และเขาก็เป็นคนใจอ่อน
เมื่อคิดได้เช่นนี้ฮูหยินห้าก็ไม่ได้คิดถึงเรื่องที่จะหาคนมาปรนนิบัติสวีลิ่งควนอีก เอนศีรษะพิงไหล่ของสามีแล้วพูดเบาๆ ว่า “ใช่แล้ว ใครก็คิดไม่ถึง ความจริงแล้วตอนข้าเด็กๆ ก็ไม่ชอบเขาเช่นกัน รู้สึกว่าสายตาที่เขามองคนอื่นทำให้รู้สึกขนลุกขนพอง มักจะรู้สึกว่าเขาเป็นคนไม่ซื่อสัตย์ สักวันจะต้องก่อเรื่องขึ้นอย่างแน่นอน แต่คิดไม่ถึงว่าจะเสียชีวิตตั้งแต่อายุยังน้อยเช่นนี้ ไม่รู้ว่าคนร้ายเป็นใคร รู้หรือไม่ว่าเขาเป็นบุตรชายจวนเม่ากั๋วกง หวังหลินช่างโชคร้ายจริงๆ ที่มีน้องชายเช่นนี้ หลายปีมานี้ที่นางอยู่ที่สกุลเจียงนั้นไม่ง่ายเลย ต้องคอยเอาอกเอาใจผู้อาวุโส แล้วต้องให้ความเคารพผู้น้อย แล้วยังต้องคอยดูแลเด็กๆ หากไม่ใช่เพราะมีน้องชายคอยเป็นตัวถ่วง นางก็ไม่จำเป็นต้องทำเช่นนี้…”
สวีลิ่งควนฟังฮูหยินห้าบ่นพลางลูบหัวนางไปด้วย แต่จิตใจกลับล่องลอยไปไกล
ตอนนั้นที่พี่สี่ตำหนิเรื่องที่เขาไปก่อเรื่องกับหวังหลัง ภายนอกเขาดูเหมือนเชื่อฟังทุกอย่าง แต่ในใจกลับไม่เห็นด้วย พอเห็นว่าพี่ชายจะตำหนิก็รีบวิ่งหนีไปให้ไกล…ตอนนี้พอคิดขึ้นมาได้ก็รู้สึกขอบคุณพี่สี่ ไม่เช่นนั้นเขาก็ไม่รู้ว่าตัวเองจะทำเรื่องเหลวไหลไปมากน้อยเพียงใด…เรื่องพึ่งจะเกิดขึ้น ศาลว่าการก็ได้ส่งคนมาบอกพี่สี่ทันที ดูเหมือนว่าเขาอยากจะฟังความเห็นของพี่สี่ ไม่รู้ว่าเรื่องที่พี่สี่ถูกปลดออกจากตำแหน่งนั้นคนที่ศาลว่าการรู้เรื่องนี้หรือไม่ ถ้าหากรู้แล้ว ก็ไม่รู้ว่าต่อไปพวกเขาจะมีน้ำใจเช่นนี้หรือไม่ แม้ว่าเรื่องนี้จะไม่เกี่ยวอะไรกับสกุลสวีมากนัก แต่อย่างไรเสียก็เกี่ยวพันกับสกุลเดิมของพี่สะใภ้สี่ หากศาลว่าการไม่เห็นแก่หน้าพี่สี่ การที่พี่สะใภ้สี่ไม่ได้รับความสำคัญในสกุลหลัวนั้นเป็นเรื่องเล็ก แต่การที่พี่สี่เสียศักดิ์ศรีต่อหน้าพี่สะใภ้สี่นั้นเป็นเรื่องใหญ่
จะต้องคิดหาวิธีช่วยพี่สี่ถึงจะถูก
เพียงแต่ตอนนี้ไม่รู้ว่าฆาตกรเป็นใคร
น่าเสียดายที่เมื่อครู่ตอนได้ยินข่าวการตายของหวังหลัง เขาตกใจจนลืมถามพี่สี่ว่าฆาตกรเป็นใคร…
เมื่อคิดได้เช่นนี้เขาก็รีบลุกขึ้นนั่ง ขยับตัวอย่างแรงจนเกือบจะทำให้ฮูหยินห้าตกเตียง
“ซื่อเป่า ซื่อเป่า” สวีลิ่งควนตะโกนเรียกชื่อบ่าวรับใช้คนสนิท “พรุ่งนี้เช้าเจ้าไปที่ศาลว่าการ ไปสืบถามว่าใครเป็นคนฆ่าหวังหลัง”
บ่าวรับใช้ตอบรับแล้วเดินออกไป
ฮูหยินห้าดึงแขนเสื้อของเขาไว้ พูดอย่างออดอ้อนว่า “ท่านโหวบอกว่าไม่ให้เจ้าไปยุ่งเกี่ยวกับเรื่องของหวังหลัง เหตุใดเจ้าต้องเข้าไปพัวพันด้วยเล่า”
ไม่รอให้นางได้พูดอะไรต่อ สวีลิ่งควนก็เอ่ยขึ้นว่า “ข้าก็แค่อยากจะช่วยพี่สี่”
เมื่อฮูหยินห้าได้ฟังก็อารมณ์ไม่ดี ไม่เชื่อว่าเขาทำไปเพื่อที่จะช่วยสวีลิ่งอี๋ “ท่านโหวต้องการให้เจ้าช่วยหรือ”
สวีลิ่งควนไม่กล้าพูดออกไปว่ากำลังกังวลอำนาจศาลว่าการ กลัวว่าเขาจะไม่สนใจคำพูดของสวีลิ่งอี๋ จึงบอกปัดไปว่า “เกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้น แน่นอนว่ายิ่งคนเยอะพลังก็จะยิ่งมากขึ้น ทางการจะได้เกรงกลัว…”
ฮูหยินห้าถึงกับพูดไม่ออก
ทางการกลัวคนเยอะตั้งแต่เมื่อไรกัน
เขาคงอยากจะออกหน้าให้สืออีเหนียงกระมัง!
เมื่อได้ยินสามีพูดจาเหลวไหลนางก็ดึงผ้าห่มพลางพลิกตัวหันหลังให้สวีลิ่งควนแล้วนอนหลับไป
******
เวลานี้สืออีเหนียงกำลังปรนนิบัติรับใช้สวีลิ่งอี๋เอาเท้าแช่น้ำอุ่น
“นอกจากจะปลดออกจากตำแหน่งผู้บัญชาการห้าเหล่าทัพแล้ว ฝ่าบาท…ยังพูดเรื่องอื่นอีกหรือไม่เจ้าคะ”
นางกังวลใจเล็กน้อย
สวีลิ่งอี๋หลับตาแล้วเอนหลังพิงเก้าอี้ สีหน้าเย็นชาเล็กน้อย “พูด…”
แต่กลับไม่ได้พูดอะไรต่อ
สืออีเหนียงลังเลอยู่ครู่หนึ่ง หยิบผ้าเช็ดหน้าที่วางอยู่บนเก้าอี้มาเช็ดมือ แล้วเอนกายลงบนเก้าอี้จิ่นอู้ ถามเขาเสียงเบาว่า “คุยอะไรกันบ้าง”
กลิ่นหอมของดอกกุหลาบอ่อนๆ ล่องลอยในบรรยากาศอันอบอุ่น
เขาลืมตาขึ้น
ดวงตาคู่นั้นเปล่งประกายราวกับดวงดาวในคืนมืดมิด
เขายิ้มเล็กน้อย “ฝ่าบาททรงมีรับสั่งให้หวังจิ่วเป่าเข้าเมืองหลวง”
ฝ่าบาทให้หวังจิ่งเป่าเข้าเมืองหลวง?
สกุลหวังกับสกุลโอวเป็นศัตรูกัน…
สืออีเหนียงพูดพึมพำ “เช่นนี้หมายความว่าฝ่าบาททรงอยู่ข้างพวกเราแล้ว”
สวีลิ่งอี๋พยักหน้า แววตาเผยให้เห็นรอยยิ้ม “แม้ว่าเหลียงเก๋อเหล่าและคนอื่นๆ จะคัดค้าน แต่เฉินเก๋อเหล่ายังคงนิ่งเงียบ ดังนั้นฮ่องเต้จึงตัดสินใจรับสั่งให้หวังจิ่วเป่าเข้าเมืองหลวงและพูดคุยเกี่ยวกับการปิดอ่าว”
เฉินเก๋อเหล่าเป็นสมุหราชเลขาธิการ การที่เขานิ่งเงียบเช่นนี้แสดงว่าความสำเร็จในเรื่องนี้จะเป็นไปได้หกส่วน
แต่สืออีเหนียงคิดไม่ถึงว่าเหลียงเก๋อเหล่าจะคัดค้าน “…เหลียงเก๋อเหล่ามาหาท่านตอนวันตรุษจีนไม่ใช่หรือเจ้าคะ”
สวีลิ่งอี๋ยิ้มเยาะ “ตอนนั้นเขาแค่มาสืบดูความคิดของข้า ประการแรกข้าไม่ต้องการที่จะมีส่วนร่วมในเรื่องนี้ ประการที่สองเมื่อพวกเขานึกขึ้นได้ว่าหวงอวี้หลบหลีกเขาแล้วนำจดหมายของหวังจิ่วเป่ามาส่งให้ข้าได้ เขาจึงได้เริ่มระมัดระวังตัว ข้าวางมวยกับเขาอยู่นาน แต่ก็ไม่ได้แสดงท่าทีว่าจะสนับสนุนเรื่องปิดอ่าวหรือไม่”
ดูแล้วขุนนางในราชสำนักจะมีความคิดเห็นที่แตกต่างกันว่าจะปิดอ่าวทะเลหรือไม่
เมื่อเทียบกับเรื่องนี้แล้ว นางยิ่งกังวลเกี่ยวกับการเคลื่อนไหวของสกุลโอว “ในเมื่อฝ่าบาททรงเรียกหวังจิ่วเป่าเข้าเมืองหลวง เช่นนั้นสกุลโอวก็น่าจะมีการเคลื่อนไหวเช่นกัน”
“ไม่เร็วขนาดนั้นหรอก” สวีลิ่งอี๋พูดต่อว่า “ครั้งนี้ฝ่าบาทตัดสินใจอย่างกะทันหันมาก และมีท่าทางเด็ดเดี่ยว หยิบราชโองการที่คณะราชทูตเขียนถวายขึ้นมาส่งให้เก๋อเหล่าแต่ละหน่วย เก๋อเหล่าหลายคนตั้งตัวไม่ทัน พวกเขาโต้เถียงกันเกือบหนึ่งชั่วยามเรื่องที่จะให้หวังจิ่วเป่าเข้าเมืองหลวงและเรื่องปิดอ่าว สุดท้ายก็เป็นเฉินเก๋อเหล่าที่ออกโรง เรื่องนี้จึงได้สงบลง ข้าเองก็พึ่งรู้ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงสกุลโอวที่อยู่ไกลถึงฝูเจี้ยน แม้พวกเขาส่งคนเก่งมาประจำการอยู่ที่เยี่ยนจิง แต่เรื่องการตัดสินใจก็ยังต้องรอฟังสกุลโอวที่อยู่ฝูเจี้ยน”
สืออีเหนียงพยักหน้า
สวีลิ่งอี๋พูดขึ้นว่า “จุดนี้เราต้องใช้ประโยชน์จากมันจึงจะถูก เพียงแต่ว่าข้าไม่สะดวกออกโรงเอง อย่าลืมว่าข้างกายฮ่องเต้ยังมีโอวหยางหมิง! เกรงว่าเขาจะคอยจับตาดูข้าอยู่ตลอดเวลา หากจะยอมให้เขาจับจุดอ่อนได้ ไม่สู้รอให้หวังจิ่วเป่าเข้าเมืองหลวงก่อนแล้วค่อยว่ากัน ข้าคิดว่าหวังจิ่วเป่าจะต้องยินดีที่จะแสดงพลังออกมาให้ฮ่องเต้และขุนนางในราชสำนักเชื่อว่าเขามีความสามารถพอที่จะต่อกรกับสกุลโอว”
นี่เหมือนกับการลงคะแนนเสียง
หวังจิ่วเป่าไม่สามารถปฏิเสธได้
สืออีเหนียงยิ้มเจื่อนๆ
การเมืองไม่ใช่สิ่งที่ทุกคนจะเล่นได้
“ส่วนโอวหยางหมิง” สวีลิ่งอี๋ยิ้มเยาะ “ข้าจะถือโอกาสนี้ดูการตอบสนองของเขา”
สืออีเหนียงประหลาดใจ
เหตุใดโอวหยางหมิงถึงมาเกี่ยวด้วย
“ตอนที่องค์ชายห้าสิ้นพระชนม์ โอวหยางหมิงไปบวงสรวงบรรพบุรุษกับองค์ชายใหญ่ ให้ข้าไปที่เขาซีซานกับฮองเฮาและองค์ชายสาม” สวีลิ่งอี๋เงยหน้ามองลวดลายบนเพดานสีฟ้าคราม “เขามององค์ชายใหญ่เป็นดั่งรัชทายาท และพยายามป้องกันไม่ให้ข้าสนิทสนมกับองค์ชายใหญ่มากเกินไป ในเมื่อข้ามองออก เช่นนั้นโอวหยางหมิงจะมองไม่ออกหรือ ถ้าเขามองไม่ออก ก็ไม่คู่ควรจะเป็นขุนนางของฮ่องเต้ในอนาคต”