ร้อยรักปักดวงใจ - ตอนที่ 228 กระสับกระส่าย(ปลาย)
“ฮูหยิน คุณชายน้อยห้า!” ลี่ว์อวิ๋นกับหงซิ่วที่คอยปรนนิบัติอยู่ข้างๆ พุ่งเข้าไปด้วยความตกใจ
จุนเกออึ้งไปครู่หนึ่งก่อนจะวิ่งไปหาสืออีเหนียง “ท่านแม่ ท่านเป็นอย่างไรบ้างขอรับ”
สืออีเหนียงไม่ได้รู้สึกเจ็บ แต่เมื่อเงยหน้ามองกลับเห็นใบหน้าตกใจกลัวของทุกคน
การเล่นเกมย่อมหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะเกิดการชนกัน ยิ่งไปกว่านั้นหน้าที่รับผิดชอบของลี่ว์อวิ๋นกับหงซิ่วคือคอยดูแลตัวเอง เรื่องเล็กๆ น้อยๆ เช่นนี้เกรงว่าจะทำให้กลายเป็นเรื่องใหญ่ได้ กระทั่งทำให้จุนเกอกับสวีซื่อเจี้ยรู้สึกหวั่นกลัว
“ไม่เป็นไร ไม่เป็นไร” นางลุกขึ้นช้าๆ ยิ้มพลางโอบสวีซื่อเจี้ยที่ล้มอยู่ในอ้อมแขนของตน “เจี้ยเกอ เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง”
สวีซื่อเจี้ยไม่ได้รับบาดเจ็บ ในใจไม่ได้รู้สึกอะไร เมื่อเห็นสืออีเหนียงยิ้มจึงคิดว่านี่เป็นเพียงส่วนหนึ่งของเกมเท่านั้น หัวเราะคิกคักแล้วโผเข้ากอดสืออีเหนียง
สืออีเหนียงยิ้มพลางลูบหัวเขา
ทุกคนเห็นแล้วก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก
แววตาของจุนเกอเผยให้เห็นถึงความอิจฉา แต่กลับพูดออกมาว่า “ท่านแม่รีบลุกขึ้นเถิด บนพื้นมันสกปรก”
ภาพตรงหน้าทำให้สืออีเหนียงนึกถึงตอนที่พบหยวนเหนียงเป็นครั้งแรก
จุนเกอหัวเราะอยู่ในอ้อมกอดของท่านแม่เช่นเดียวกันกับสวีซื่อเจี้ย
นางเอื้อมมือไปดึงจุนเกอที่นั่งอยู่ข้างๆ มาไว้ในอ้อมกอด ยิ้มแล้วพูดว่า “พวกเราล้มกันหมด เจ้าจะยืนอยู่คนเดียวได้อย่างไร”
จุนเกอคิดไม่ถึงว่าจะถูกสืออีเหนียงดึง เพียงแค่ดึงเบาๆ เขาก็ล้มลงในอ้อมกอดของนาง
เขาเอาศอกดันแขนของสืออีเหนียงไว้ สีหน้าตกตะลึง ร่างกายแข็งทื่อ
มีเพียงสวีซื่อเจี้ยที่หัวเราะอย่างไร้เดียงสา “ส้มกันหมดแล้ว ล้มกันหมดแล้ว!”
มุมปากของจุนเกอยกขึ้นเผยให้เห็นรอยยิ้ม ใบหน้าค่อยๆ สดใสดั่งแสงจันทร์ “ล้มกันหมดแล้ว” ร่างกายค่อยๆ อ่อนลงแล้วหมอบอยู่บนไหล่ของสืออีเหนียง
“ตายแล้ว ฮูหยิน พื้นมันเย็นนะเจ้าคะ” ลี่ว์อวิ๋นที่อยู่ข้างๆ ท่าทางกังวลใจ แต่ก็ไม่กล้าดึงพวกเขาขึ้นมา หงซิ่วไปหยิบพรมมาหนึ่งผืน “ฮูหยิน พวกท่านมานอนบนพรมดีไหมเจ้าคะ”
สืออีเหนียงหัวเราะเสียงดัง หอมแก้มสวีซื่อเจี้ยแล้วลูบผมของจุนเกอ “ดูสิ ทำเอาพวกนางตกอกตกใจกันหมด พวกเราลุกขึ้นเถิด…”
ยังไม่ทันพูดจบ สาวใช้น้อยที่ถูกให้ไปเฝ้าด้านนอกเรือนก็รีบเข้ามา “ฮูหยิน แย่แล้ว แย่แล้วเจ้าค่ะ ท่านโหวกลับมาแล้วเจ้าค่ะ!”
ทั้งห้าคนต่างตกตะลึง จุนเกอรีบลุกขึ้น เมื่อหันกลับไปก็เห็นสืออีเหนียงที่กำลังกอดซื่อเจี้ยยังนั่งอยู่ จึงรีบไปดึงสืออีเหนียง “ท่านพ่อ ท่านพ่อกลับมาแล้ว!”
ตอนนี้ลี่ว์อวิ๋นกับหงซิ่วพึ่งได้สติ คนหนึ่งไปอุ้มสวีซื่อเจี้ย อีกคนหนึ่งไปดึงสืออีเหนียง แต่สองมือของสวีซื่อเจี้ยรัดคอสืออีเหนียงไว้แน่น สืออีเหนียงไม่สามารถลุกขึ้นได้ จุนเกอจึงไปช่วยหงซิ่วดึงสืออีเหนียง…ขณะที่กำลังวุ่นวายอยู่นั้น เสียงอันน่าเกรงขามก็ดังขึ้นที่หน้าประตู “นี่มันเรื่องอันใดกัน!”
เสียงที่คุ้นเคยเช่นนี้ไม่ต้องหันไปมองก็รู้ว่าเป็นใคร
ทุกคนแอบตะโกนเสียงดังในใจว่า แย่แล้ว
สืออีเหนียงรีบพูดขึ้นมาว่า “ไม่มีอะไร ไม่มีอะไร ข้าแค่กระโดดเชือกแล้วล้มไป…”
ขณะที่กำลังพูดนางก็ลุกขึ้นไปด้วย
ลี่ว์อวิ๋นกับหงซิ่วเข้าไปคารวะสวีลิ่งอี๋ สืออีเหนียงอาศัยโอกาสนี้จัดเสื้อผ้าที่ยุ่งเหยิง จุนเกอเดินไปอยู่ข้างหน้านาง โค้งคำนับสวีลิ่งอี๋แล้วเอ่ยเรียกอย่างนอบน้อมว่า “ท่านพ่อ”
“ท่านโหวกลับมาแล้วหรือ” สืออีเหนียงรีบพาสวีซื่อเจี้ยเดินเข้าไปเพื่อคารวะสวีลิ่งอี๋ แต่กลับเห็นจุนเกอขวางหน้านางไว้ กลัวว่าสวีลิ่งอี๋จะโกรธจนทำให้เด็กๆ ตกใจ จึงดึงจุนเกอไปไว้ด้านหลังก่อน แล้วจึงย่อเข่าคำนับสวีลิ่งอี๋
สวีลิ่งอี๋เดินเข้าประตูมาก็เห็นสืออีเหนียงที่เสื้อผ้ายุ่งเหยิงอยู่กับเด็กๆ และสาวใช้ เห็นว่าบรรยากาศวุ่นวายจึงขมวดคิ้วเล็กน้อย เมื่อเห็นว่าแก้มของนางแดงระเรื่อ แววตาสดใสเปล่งปลั่งกว่าปกติ เด็กทั้งสองก็มีรอยยิ้ม สีหน้าของเขาจึงได้ผ่อนคลายลง มองจุนเกอที่เดินไปขวางหน้าสืออีเหนียง แล้วสืออีเหนียงก็ดึงจุนเกอไปไว้ข้างหลังตัวเอง เห็นทุกคนมองเขาด้วยสายตาระแวดระวัง…คำตำหนิของเขาที่อยากจะพูดออกมากลับติดที่ลำคอ
สวีลิ่งอี๋ไม่ได้พูดอะไร
เขากำลังคิดว่าควรจะพูดอย่างไร หรือว่าโกรธจนพูดไม่ออก
สืออีเหนียงไม่สนใจเรื่องนี้ การคว้าโอกาสเป็นสิ่งสำคัญ
นางรีบกำชับลี่ว์อวิ๋นกับหงซิ่วทันที “ยืนนิ่งกันอยู่ทำไมเล่า ยังไม่พาคุณชายน้อยทั้งสองไปล้างมือล้างหน้าอีก หงซิ่ว เจ้าไปเรียกชุนมั่วกับซย่าอีมาช่วยเปลี่ยนชุดให้ท่านโหว” แล้วหันไปมองสวีลิ่งอี๋ด้วยรอยยิ้ม “วันนี้ท่านโหวกลับมาเร็วเชียว เดี๋ยวข้าจะไปชงชาเถี่ยกวนอินมาให้ท่านโหวนะเจ้าคะ!” นางพูดพลางเดินไปเปิดผ้าม่านด้วยตัวเอง แต่สายตากลับมองไปที่จุนเกอ
ลี่ว์อวิ๋นกับหงซิ่วที่ยังไม่คลายจากแรงกดดันมหาศาลที่จู่ๆ สวีลิ่งอี๋ก็พลันปรากฏตัวขึ้นในตอนนี้ เหมือนพึ่งตื่นขึ้นจากความฝัน ไม่นานไหวพริบของพวกนางก็กลับมา
คนหนึ่งไปดึงจุนเกอกับสวีซื่อเจี้ย “คุณชายน้อยรีบตามบ่าวไปเปลี่ยนเสื้อผ้าเถิดเจ้าค่ะ”
อีกคนหนึ่งก็วิ่งไปเรียกชุนมั่วกับซย่าอี
จุนเกอกับสวีซื่อเจี้ยมีท่าทางลังเล จุนเกอรู้สึกว่าท่านพ่อยังไม่ทันเอ่ยปากก็ถอยออกมาโดยพลการนั้นเป็นการเสียมารยาท ส่วนเจี้ยเกอไม่อยากจะห่างจากสืออีเหนียง ตาโตๆ ของเขาหันไปมองนางตาปริบๆ
มีหรือที่สวีลิ่งอี๋จะไม่เข้าใจการกระทำของสืออีเหนียง
เขาส่งเสียง “เหอะ” ออกมาอย่างเย็นชา
ช่างเป็นมารดาที่รักบุตรเสียจริง!
เมื่อคิดได้ดังนั้นก็ชะงักไปครู่หนึ่ง
ที่แท้ในใจของตัวเองสืออีเหนียงคือแม่ที่รักลูกๆ…
สายตาของเขาจับจ้องไปที่สืออีเหนียงโดยไม่รู้ตัว
เห็นนางมองจุนเกอด้วยความวิตกกังวล
บางทีอาจเป็นเพราะการเลี้ยงดูที่แตกต่างกัน สืออีเหนียงรู้สึกว่าการดูแลเด็กควรจะปล่อยให้พวกเขามีอิสระดีกว่า ให้พวกเขามีพื้นที่สำหรับการพัฒนาตนเอง เป็นประโยชน์ทั้งต่อร่างกายและจิตใจ ดังนั้นนางจึงรู้สึกว่าการที่พาลูกๆ กระโดดเชือกนั้นไม่ใช่เรื่องผิด แต่ในใจก็รู้ว่าคนในสมัยโบราณนั้นมีความต้องการให้ลูกๆ เป็นบัณฑิตที่มีความสุขุม ดังนั้นสวีลิ่งอี๋จึงไม่ชอบเห็นบรรยากาศที่สนุกสนานเช่นนี้
นางเพียงแต่หวังว่าสวีลิ่งอี๋จะไม่ตำหนิเด็กๆ เพราะเหตุนี้
หากจะบอกว่ามีความผิด เช่นนั้นก็ผิดที่ตนไม่ได้สังเกตเห็นความแตกต่างของยุคสมัย ทำอะไรที่ล้ำเส้นมากเกินไป
จุนเกอเห็นแม่เลี้ยงส่งสายตาให้ตัวเอง แม้ท่านพ่อจะยังคงสีหน้าเรียบเฉย แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรออกมา
การตำหนิภรรยาต่อหน้าลูกๆ เป็นการแสดงออกที่ไม่ให้ความเคารพภรรยา
เขานึกถึงเสียงหัวเราะของทุกคนเมื่อครู่ ไม่รู้เพราะเหตุใดในใจถึงได้รู้สึกเศร้าหมองเล็กน้อย จูงมือสวีซื่อเจี้ยแล้วพาเดินตามลี่ว์อวิ๋นออกไป
สืออีเหนียงผ่อนคลายลง รอยยิ้มบนใบหน้าดูสงบนิ่งกว่าเดิม
สวีลิ่งอี๋เห็นสีหน้าของนางก็รู้ทันทีว่าจุนเกอกับสวีซื่อเจี้ยได้ออกไปพร้อมกับสาวใช้แล้ว
นางคงกลัวว่าจะโดนเขาตำหนิกระมัง!
เมื่อนึกถึงบรรยากาศแห่งความสุขและใบหน้ายิ้มแย้มของสืออีเหนียงตอนที่เขาเดินเข้ามาในห้อง เขาก็ลังเลอยู่ชั่วครู่ หากไม่ตำหนิ ฮูหยินหย่งผิงโหวผู้สูงสง่าสวมเสื้อกันหนาวพาเด็กๆ กระโดดร้อยเชือก ช่างเสียมารยาทจริงๆ หากจะตำหนิ เดิมทีนางก็แค่อยากจะพาเด็กๆ มาเล่นด้วย นั่นก็เป็นความหวังดี…ขณะที่กำลังลังเล ก็ได้ยินเสียงแหวกผ้าม่านดังขึ้นจากด้านหลัง
“ท่านโหว ฮูหยินเจ้าคะ!” เสียงนอบน้อมเช่นนี้เขาคุ้นเคยเป็นอย่างมาก เป็นชุนมั่วกับซย่าอี
สวีลิ่งอี๋ถอนหายใจด้วยความโล่งอก
ตัวเองจะตำหนิสืออีเหนียงต่อหน้าสาวใช้ได้อย่างไร มิฉะนั้นต่อไปเมื่ออยู่ต่อหน้าสาวใช้นางจะเอาหน้าไปไว้ไหน!
เมื่อคิดได้เช่นนี้ เขาก็รู้สึกว่าการที่ตัวเองไม่ได้ตำหนิสืออีเหนียงนั้นเป็นการตัดสินใจที่ถูกต้อง
เขาเดินไปที่ห้องด้านในอย่างใจเย็น
เรื่องนี้ก็ปล่อยให้จบไปเช่นนี้เถิด!
สืออีเหนียงรีบเรียกหู่พั่วเข้ามา รีบเปลี่ยนเป็นสวมเสื้อกั๊กยาวสีถั่วเขียวก่อนที่สวีลิ่งอี๋จะออกมาจากห้องชำระ แล้วยกชามาให้สวีลิ่งอี๋อย่างกระตือรือร้น
มีสาวใช้น้อยเข้ามารายงานว่า “ป้าหังจากตรอกกงเสียนมาพบเจ้าค่ะ”
ตอนนี้หรือ ใกล้จะได้เวลาทานข้าวเย็นแล้ว…หรือว่าจะเกิดเรื่องอันใดขึ้น
“ข้าจะไปดูสักหน่อย” สืออีเหนียงไม่มีเวลามาอธิบายเรื่องกระโดดเชือกให้สวีลิ่งอี๋ฟัง กำชับสาวใช้ว่า “เชิญป้าหังเข้ามา” พลางเดินไปที่ห้องโถง
“คุณหนูสิบเอ็ด” ป้าหังคำนับอย่างนอบน้อม ยิ้มแล้วพูดว่า “นายท่านใหญ่ให้บ่าวมาบอกท่านว่าพี่เขยสิบของท่านหายจากอาการป่วยแล้ว บ่ายวันนี้ได้พาคุณหนูสิบมาอวยพรตรุษจีนนายท่านใหญ่ ให้ท่านเลิกเป็นกังวลได้แล้วเจ้าค่ะ”
สืออีเหนียงประหลาดใจมาก เพราะไม่รู้ว่าป้าหังรู้เรื่องนี้มากน้อยเพียงใดจึงไม่ถามอะไรมาก อดกลั้นความอยากรู้อยากเห็นเอาไว้ ยิ้มพลางพยักหน้าแล้วพูดว่า “เข้าใจแล้ว”
ป้าหังลุกขึ้นกล่าวลา
สืออีเหนียงบอกเรื่องนี้กับสวีลิ่งอี๋ “…ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ ไม่รู้ว่าสกุลหวังเป็นคนตามหวังหลังกลับมาหรือว่าเป็นองค์หญิงที่ตามเริ่นคุนกลับมา หรือว่าทั้งสองคนเพียงแค่ออกไปเที่ยวเล่น พอเล่นจนพอใจแล้วก็เลยกลับมา?”
สวีลิ่งอี๋ฟังแล้วก็ไม่ได้รู้สึกแปลกใจ ยิ้มแล้วพูดว่า “ทั้งสองคนยังมีงานต้องทำ พวกเขาไม่สามารถทิ้งมันไว้แบบนี้ได้ อีกอย่างเรื่องเช่นนี้ก็มีถมเถไป ขอเพียงแค่เป็นบุตรชาย มีคำอธิบายให้กับคนในตระกูล ไม่ว่าจะเป็นสกุลหวังหรือว่าองค์หญิง ต่างก็พากันเอาหูไปนาเอาตาไปไร่ ส่วนใหญ่ก็จะอ้างว่าออกไปเที่ยวเล่นเท่านั้น”
ก็จริง ชีวิตคนเราก็ไม่ได้ล่องลอยอยู่ในอากาศ จะออกไปเที่ยวเล่นมีหรือที่จะไม่ใช้เงิน ทั้งสองคนเป็นคนชนชั้นพิเศษ เมื่อความเป็นจริงกับความคิดแตกต่างกัน หากกลับตัวกลับใจไม่เพียงแต่จะไม่ถูกตำหนิ ซ้ำยังถูกมองว่าการที่คนไม่ดีกลับตัวกลับใจนั้นมีค่ายิ่งกว่าทองคำเสียอีก…แต่แน่นอนว่าเขาคงกลับมาโดยที่ไม่ได้มีความรู้สึกผิดในใจ!
แต่เมื่อเป็นเช่นนี้ เกรงว่าสือเหนียงคงจะไม่ได้อยู่อย่างสงบสุขอีกแล้ว
เมื่อคิดได้เช่นนี้นางก็อดถอนหายใจไม่ได้
ขณะที่กำลังพูดคุยกัน สาวใช้ของไท่ฮูหยินก็มาเชิญไปทานข้าว
ทั้งสองหยุดการสนทนา พาจุนเกอกับสวีซื่อเจี้ยไปหาไท่ฮูหยิน
เมื่อกลับมาตอนกลางคืน สืออีเหนียงก็เข้าไปอธิบายกับสวีลิ่งอี๋ว่า “…จุนเกอร่างกายไม่ค่อยแข็งแรง การกระโดดเชือกจะทำให้กล้ามเนื้อและกระดูกได้เคลื่อนไหว หากท่านโหวคิดว่าไม่ดี ต่อไปข้าจะระวังให้มากกว่านี้”
แสงไฟในตะเกียงที่ได้มาจากพระตำหนักหยางเจี่ยวสาดส่องเข้ามา ทำให้โครงร่างของสืออีเหนียงเปลี่ยนเป็นสีทอง ดูนุ่มนวลกว่าปกติ ขณะเดียวกันใบหน้าก็ดูอ่อนเยาว์ยิ่งขึ้น
สวีลิ่งอี๋ถอนหายใจเบาๆ ยิ้มพลางช่วยนางจัดผ้าห่ม “ต่อไปก็อย่าเล่นพิเรนทร์อีกก็พอแล้ว”
“เจ้าค่ะ” น้ำเสียงของสืออีเหนียงนั้นสดใสมีชีวิตชีวา
บอกแค่ว่าไม่ให้เล่นพิเรนทร์ แต่ไม่ได้บอกว่าห้ามกระโดด
นางยิ้มพลางพลิกตัวแล้วหลับไป
วันต่อมาจุนเกอมาหา “ท่านพ่อไม่ได้พูดอะไรใช่หรือไม่ขอรับ” ท่าทางกังวลเป็นอย่างมาก
“บอกแค่ว่าไม่ให้พวกเราเล่นอะไรพิเรนทร์อีก” สืออีเหนียงยิ้มแล้วเสนอขึ้นมาว่า “พวกเรามาเล่านิทานกันดีไหม”
เมื่อวานตอนกลางคืนนางคิดอยู่นานกว่าจะทำอย่างไร อย่าลืมว่าการศึกษาที่ทำให้เด็กเข้าใจได้ดีที่สุดคือการเล่านิทาน ยิ่งไปกว่านั้นจุนเกออายุมากกว่า ส่วนสวีซื่อเจี้ยอายุน้อยกว่า คนหนึ่งเป็นคนพูด คนหนึ่งเป็นคนฟัง คนที่พูดจะตั้งใจเรียนเพื่อที่จะได้มาเล่าเรื่องราวได้ดี ส่วนคนที่ฟังก็จะได้ประโยชน์ไปด้วย
จุนเกอรีบตอบรับทันที
หากเปลี่ยนมาเล่านิทานท่านพ่อคงจะไม่โกรธใช่หรือไม่
สืออีเหนียงอุ้มสวีซื่อเจี้ยไปนั่งบนเตียงเตา ส่วนจุนเกอนั่งอยู่ตรงข้ามนาง
ตอนที่สาวใช้ยกขนมมานางถามจุนเกอว่า “เจ้ารู้จักนิทานสุภาษิตเรื่อง ‘มารดาของเมิ่งจื่อย้ายถิ่นฐานสามครั้ง’ หรือไม่”
จุนเกอพยักหน้า “บิดาของเมิ่งจื่อเสียไปตั้งแต่เขายังเด็ก ส่วนมารดา…” เขาพูดจาคล่องแคล่ว คำพูดฉะฉาน สีหน้าเต็มเปี่ยมไปด้วยอารมณ์ มีลำดับขั้นตอน
สวีซื่อเจี้ยก็ไม่สนใจเรื่องของกินแล้ว เขาเอาแต่มองจุนเกอ ตั้งใจฟังเป็นอย่างมาก
สืออีเหนียงพยักหน้าเล็กน้อย
นิทานสุภาษิตเรื่อง ‘มารดาของเมิ่งจื่อย้ายถิ่นฐานสามครั้ง’ เป็นนิทานสุภาษิตในคัมภีร์สามอักษร การที่จุนเกอรู้เรื่องราวชัดเจนเช่นนี้ เห็นได้ชัดว่าเขาได้รับการศึกษาก่อนวัยเรียนที่ดี
เมื่อเขาเล่าจบ สืออีเหนียงก็ยิ้มแล้วชื่นชมเขาทันที “ที่แท้จุนเกอรู้เยอะขนาดนี้เชียวหรือ”
จุนเกอยิ้มอย่างเขินอาย
สืออีเหนียงเรียกให้เขาทานขนม
สวีซื่อเจี้ยที่นั่งอยู่ในอ้อมกอดของสืออีเหนียงพลันเอ่ยขึ้นว่า “ท่านพี่เล่าอีก ท่านพี่เล่าอีก!”
ทุกคนต่างก็ตกตะลึง
สวีซื่อเจี้ยเป็นเด็กไม่ค่อยพูด ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าเขาจะเอ่ยปากพูดกับจุนเกอ